กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 742

สรุปบท บทที่ 742.4 สหายเฉินผู้นั้นของข้า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 742.4 สหายเฉินผู้นั้นของข้า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 742.4 สหายเฉินผู้นั้นของข้า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

นักพรตหญิงชุนฮุยคารวะซูจื่อ

อาจารย์ผู้เฒ่าที่ถูกลากตัวข้ามธรณีประตูจนตัวแทบเอียงได้แต่ผงกศีรษะยิ้มบางๆ ตอบรับ

ข้ามประตูใหญ่มาแล้ว นักพรตซุนก็เรียกให้ชุนฮุยไปด้วยกัน จากนั้นก็ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อขุนเขาสายน้ำ พาทุกคนไปยังพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของอารามเต๋า

กระท่อมหลังหนึ่ง รอบด้านปลูกต้นท้อไว้เต็มไปหมด หน้าประตูมีบ่อน้ำเล็กๆ ปูอิฐเขียวเป็นทางสายเล็กไว้สำหรับเดินเล่น

นักพรตซุนจงใจสกัดกั้นฟ้าดิน รังแกเจ้าเด็กหมวกหัวเสือกับผู้ฝึกกระบี่สองคนที่ขอบเขตไม่พอ เพราะถึงอย่างไรหากผ่านไปอีกร้อยกว่าปี โอกาสแบบนี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว

เด็กหนุ่มสะพายหีบหนังสือกับเด็กสาวที่สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ใส่หม้อใส่ไหต่างก็มองเห็นเด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนหนึ่ง กับคนหนุ่มสองคน คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งเหมือนถ่านดำ เส้นสายตาของเด็กสาวมองไปทางเด็กชายหน้าตาน่ารักคนนั้นมากกว่า ส่วนเด็กหนุ่มนั้นมองไปยังผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคนที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง แม้ว่าพวกเขาสองคนจะถือกำเนิดมาจากการจำแลงโชคชะตาบุ๋นของอาจารย์ เกิดมาก็มีวิชาอภินิหารของเซียนดินอยู่บนร่าง สามารถฝึกตนได้เช่นกัน แต่ว่าถูกซูจื่อร่ายเวทอำพรางตา ขณะเดียวกันนายบ่าวสามคนยังจงใจกดขอบเขตเอาไว้ จงใจใช้รูปลักษณ์ของคนธรรมดาเดินเท้าท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ำ ในความเป็นจริงแล้วเด็กสาวเตี่ยนซูเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว คือผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์ เด็กหนุ่มจั๋วอวี้กลับเป็นขอบเขตก่อกำเนิด คือผู้ฝึกกระบี่ คนทั้งสองมีวิชารักษารูปโฉม อายุต่างก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว เพียงแต่ว่าพวกภูตทั้งหลายบนโลก โดยเฉพาะพวกที่จำแลงมาจากชะตาบุ๋นซึ่งหาได้ยากอย่างถึงที่สุดนั้น ขอแค่เหยียบย่างไปบนวิถีทางโลกไม่ลึกพอ ยิ่งแตะต้องโดนฝุ่นธุลีในโลกีย์น้อยเท่าไร จิตใจและสติปัญญาก็จะเปิดออกน้อยเท่านั้น

จั๋วอวี้ใช้เสียงในใจถามเตี่ยนซู “คนไหนคืออาจารย์ป๋าย? เจ้าอ้วนหรือว่าเจ้าดำ?”

เตี่ยนซูเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “อาจารย์ป๋ายกวีผู้ไร้เทียมทาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าเขามีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร”

เด็กชายสวมหมวกหัวเสือเอาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ริมบ่อน้ำ คนหนุ่มร่างอ้วนท้วนที่อยู่ข้างกายกำลังขอร้องให้เขาช่วยแกะสลักตราประทับชิ้นหนึ่งให้ บอกว่าวันหน้าจะได้เอาไปโอ้อวดเฉินผิงอัน

ก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนที่ฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูใหญ่เช่นเดียวกันมาคอยกวนใจเด็กชายสวมหมวกหัวเสือผู้นี้อยู่หลายครั้ง ขอร้องให้เขาช่วยสอนเวทกระบี่ล้ำเลิศให้ตนสักสองสามกระบวนท่า หากไม่ได้ก็เอาสี่สมบัติในห้องหนังสือมาขอผลงานน้ำหมึกจากเขา ยังไม่ได้อีกเหมือนเดิม ตอนนี้ก็เลยได้แต่ขอร้องว่าขอแค่ตัวอักษรสักสองสามตัวก็พอใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ตอบตกลง

เห็นว่าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือไม่สนใจตน เจ้าอ้วนก็บอกว่าหากวันหน้าเฉินผิงอันมาขอคำยืนยันจากอาจารย์ป๋าย อาจารย์ป๋ายก็ไม่ต้องพยักหน้าแล้วก็ไม่ต้องส่ายหน้า ได้ไหม?

เด็กชายหัวเสือกระตุกเชือกร้อยหมวกเบาๆ พยักหน้ารับ ถือว่าเป็นการตอบตกลงแล้ว

คนหนุ่มผิวดำเกรียมหลุดหัวเราะพรืด

เจ้าอ้วนรีบพูดรับรองทันทีว่า ต่งถ่านดำ วันหน้าเจ้าอยู่ในอารามเสวียนตูใหญ่มีข้าคอยปกป้องเจ้า ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการกินดื่ม ไม่ต้องจ่ายเงินสักเหรียญเดียว จะไม่ยอมให้เจ้าต้องแหกกฎหลังออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เด็ดขาด

ต่งฮว่าฝูทรุดตัวลงนั่งยอง โยนหินลงในบ่อน้ำเบาๆ

เจ้าอ้วนนั่งลงบนพื้น คาบต้นหญ้าไว้ในปาก

ไม่ทันระวังก็พูดถึงบ้านเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว

ทุกวันนี้สถานะของต่งฮว่าฝูอยู่ที่ป๋ายอวี้จิง เพียงแค่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบเท่านั้น

อริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็คือเจ้านครเสินเซียวหนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง

ดังนั้นต่งฮว่าฝูจึงไม่มีความลังเลใดๆ หลังจากภูเขาห้อยหัวบินทะยานมาถึงอาณาเขตของป๋ายอวี้จิง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เลือกจะฝึกกระบี่อยู่ที่นครเสินเซียวทันที

อาศัยคำสามคำก่อนที่อริยะผู้เฒ่าจะจากไป

ต่งฮว่าฝูก็แน่ใจแล้วว่าจะเลือกนครเสินเซียว จะฝึกตน ฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ ไม่ยอมรับใต้หล้ามืดสลัว แล้วก็ไม่ยอมรับป๋ายอวี้จิงอะไร

ต่งฮว่าฝูออกมาจากนครครั้งนี้ก็แค่มาเยี่ยมเยียนสหายรักเท่านั้น เพราะเจ้าอ้วนเยี่ยนเลือกฝึกตนอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่ หลังจากซุนไหวจงเจ้าอารามผู้เฒ่าเห็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นแล้วก็สอบถามถึงเรื่องราวของ ‘สหายเฉิน’ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกเล็กน้อย นักพรตผู้เฒ่าเบิกบานใจอย่างยิ่ง ยิ่งมองเจ้าอ้วนเยี่ยนจั๋วก็ยิ่งถูกชะตา โม้ให้ฟังว่าเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าสายบ้านตนไร้เทียมทานในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ด้วยอำนาจหรือหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ก็ล้วนเอามาใช้ทั้งหมด รั้งตัวเจ้าอ้วนเยี่ยนที่เดี๋ยวก็ทำท่าตะลึงเดี๋ยวก็ทำท่าตกใจ พูดสรรเสริญเยินยอไม่หยุดให้อยู่ที่อารามเต๋าบ้านตน

จนกระทั่งบัดนี้เยี่ยนจั๋วถึงได้รู้ถึงความตั้งใจอันดีของเฉินผิงอัน

อารามเสวียนตูใหญ่แห่งนี้ อันที่จริงธรณีประตูสูงมาก

ยิ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในใต้หล้ามืดสลัวปรารถนาอยากมาเยือน

นักพรตซุนเจ้าอารามผู้เฒ่ายังขึ้นชื่อเรื่องนิสัยแปลกประหลาด ดูคนดูที่ว่าถูกชะตาหรือไม่ ไม่เคยสนใจเรื่องไร้สาระอย่างขอบเขต ชาติกำเนิดหรือที่พึ่งอะไรทั้งนั้น เพียงแค่มองแวบเดียวเท่านั้นก็รู้แล้วว่าถูกชะตาหรือไม่

แล้วนับประสาอะไรกับที่นักพรตเฒ่ายังเป็นบุคคลอันดับที่ห้าของใต้หล้าแห่งหนึ่งด้วย

ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่สิบหกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยภูเขาห้อยหัว ‘บินทะยาน’ มาถึงใต้หล้ามืดสลัว ผู้นำคือก่อกำเนิดผู้เฒ่าเฉิงเฉวียน ตอนนั้นเขาสะพายกล่องกระบี่ที่ห่อผ้าฝ้ายมาด้วย

สุดท้ายเฉิงเฉวียนกลับเลือกตำหนักสุ้ยฉูที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับอารามเสวียนตูใหญ่เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงาน เข้าทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนัก แต่กลับเหมือนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยคนอื่นๆ ที่ต่างก็ยังไม่ได้เข้าทำเนียบของนักพรตเต๋า จากนั้นเฉิงเฉวียนก็เอากล่องกระบี่วางไว้บนหินพักมังกรก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางสายน้ำใหญ่นอกหอกว้านเชวี่ย

หนึ่งในนั้นมีผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เก็บด้ามไม้ปัดฝุ่นมาจากบนหัวกำแพงเมือง ได้ติดตามต่งฮว่าฝูเลือกนครเสินเซียวเช่นเดียวกัน มีคนทั้งสิ้นเก้าคน ต่างก็ฝึกตนอยู่ในป๋ายอวี้จิง กระจายกันไปอยู่ในห้านครสิบสองหอเรือน

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็เหมือนเฉิงเฉวียนและเจ้าอ้วนเยี่ยนที่ต่างก็เลือกที่พักพิงตามความชอบของตัวเอง

ป๋ายอวี้จิงยอมแหกกฎมอบอิสระเสรีที่ใหญ่อย่างยิ่งให้กับผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มนี้

รอกระทั่งเฉิงเฉวียนมาถึงตำหนักสุ้ยฉูถึงได้รู้ว่าโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่เปิดกิจการอยู่ในภูเขาห้อยหัวมานานสองสามร้อยปีแห่งนั้น ที่แท้ก็มีความเกี่ยวข้องกับหอกว้านเชวี่ยของตำหนักสุ้ยฉูเช่นนี้ ‘เถ้าแก่หนุ่ม’ ผู้นั้นก็คือคนเฝ้าอายุที่อยู่เบื้องล่างเจ้าตำหนักอย่างอู๋ซวงเจี้ยงเพียงผู้เดียว เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับอีกสี่คนที่เหลือ เพราะจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวของเขา นอกจากเขาแล้วก็ยังมีพ่อครัวและนักการทั้งหมดสี่คนของโรงเตี๊ยมที่ต่างก็ใช้นามแฝงด้วยแซ่เหนียน อีกทั้งยังเป็นการปล่อยจิตหยินเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาล ‘เด็กสาว’ คนหนึ่งในนั้นที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนฮวาก็ยิ่งเป็นทายาทหญิงของเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยง

โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในจุดลึกของตรอกบนภูเขาห้อยหัว พอบินทะยานทีก็มีเซียนถึงสองคนและหยกดิบอีกสองคน

ตอนนั้นต่งฮว่าฝูมาเยือนตำหนักสุ้ยฉูพร้อมกับเฉิงเฉวียน เฉิงเฉวียนมีธุระให้ต้องพูดคุย เขาก็เลยไปเดินเล่นกับเจ้าอ้วนเยี่ยน ไม่มาเที่ยวชมเดี๋ยวจะมาเสียเที่ยวเปล่าๆ

เยี่ยนจั๋วเกาหัวครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าพูดกับป๋ายเหย่ “ไม่สู้อาจารย์ป๋ายเขียนอะไรก็ได้ รอข้ากลับไปแล้วจะรีบทำพัดไม้ท้อมามอบให้ท่านทันที”

เด็กชายสวมหมวกหัวเสือเอ่ย “แกะสลักตัวอักษรบนตราประทับ”

เยี่ยนจั๋วกำลังจะเปิดปากพูด จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา พร้อมกับเสียงที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มดังขึ้นเบื้องหลัง “เยี่ยนจั๋ว แบกต้นท้อใหญ่ขนาดนั้นวิ่งไปวิ่งมาคงไม่สบายเลยใช่ไหม อย่าเห็นว่าต้นท้อต้นหนึ่งของอารามเสวียนตูพวกเราไม่สูงใหญ่ บวกกับกิ่งก้านเกะกะมากมายขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องหนักหลายพันจินนะ ไม่สู้ให้ผินเต้าช่วยนวดไหล่ให้เจ้าดีไหม? อีกเดี๋ยวยังต้องทำพัดอีกหลายร้อยเล่มมาขายแลกเงิน อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยเสียล่ะ หากถ่วงเวลาการฝึกตนของนายท่านใหญ่เยี่ยน ผินเต้าคงปวดใจแย่ วันหน้าอย่าทำเรื่องแบบนี้กลางดึกกลางดื่นอีกล่ะ เดินบนถนนตอนกลางคืนง่ายที่จะชนกิ่งไม้โดยไม่ทันระวัง หลังจบเรื่องยังอาจเข้าใจผิดคิดว่าโดนกระบองฟาดเข้าเสียอีก”

เยี่ยนจั๋วร่างขึงเกร็ง หน้าม่อยใกล้จะร้องไห้เต็มแก่

ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดของคนหรือ? นี่คือคำพูดที่บรรพจารย์เจ้าอารามผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือควรจะพูดหรือ?

ป๋ายเหย่หมุนตัวกลับมา กุมมือเขย่าคารวะซูจื่อ ซูจื่อเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน

ทั้งสองฝ่ายสบตาแล้วยิ้มให้กัน ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย

ราวกับว่าป๋ายเหย่ไม่เคยไปเยือนภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง และอันที่จริงเขาเองก็ไม่เคยพบเจอกับเหมยซานซูจื่อที่บ้านเกิดอยู่ห่างไปไม่ไกลผู้นี้มาก่อน

ส่วน ‘เทียบกวีป๋ายเซียน’ แน่นอนว่าป๋ายเหย่ก็เคยได้ยินมาก่อน ได้ยินมาจากซิ่วไฉเฒ่า สิ่งที่ทำให้ป๋ายเหย่ปลาบปลื้มอย่างแท้จริง แน่นอนว่าไม่ใช่ถ้อยคำชื่นชมที่ซูจื่อมีต่อตนในเทียบอักษร แต่เป็นนิสัยใจคอในฐานะบัณฑิตของซูจื่อ ต่อให้ไม่มีป๋ายเหย่ เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นที่โชคดีเกิดมาในโลกมนุษย์ก่อนซูจื่อหลายร้อยปี จากนั้นก็เดินไปบนเส้นทางที่อยู่เบื้องหน้าซูจื่อ คาดว่าซูจื่อก็จะยังคงเปิดเผยจริงใจ เขียนเทียบให้กับคนผู้นั้น ลดคุณค่าของตัวเองลงอยู่หลายส่วนเช่นเดียวกัน

ความองอาจห้าวหาญของซูจื่อ เป็นเหตุให้บทกวี วลี พู่กัน ภาพวาดและบทความล้วนมีเสน่ห์งดงามร่วมกัน

พันปีให้หลัง ท่วงทำนองความมีชีวิตชีวาของผู้มีความสามารถด้านการประพันธ์ล้วนผึ่งผายองอาจ

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้น ร่างของเยี่ยนจั๋วพลันทรุดลง ไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง หมุนตัวแล้วลุกขึ้นยืน วิ่งปรู๊ดอ้อมไปด้านหลังนักพรตซุนอย่างว่องไวราวกับใต้ฝ่าเท้ามีสายลม มือสองข้างนวดไหล่ให้อีกฝ่าย การกระทำคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ถามประจบว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่า นี่คือวิธีที่เฉินผิงอันสอนข้า แรงเหมาะสมพอดีหรือไม่?”

นักพรตซุนหัวเราะหยัน “ผายลมเหม็นๆ ของเจ้าน่ะสิ สหายเฉินของข้าผู้นั้นแกร่งกร้าว พูดจาซื่อสัตย์จริงใจ มีอะไรก็พูดอย่างนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนหญ้าบนกำแพงเช่นเจ้า”

เยี่ยนจั๋วเตรียมจะหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ

คิดไม่ถึงว่านักพรตเฒ่าจะเอ่ยอย่างเดือดดาล “มีแรงฟันต้นท้อแต่ไม่มีแรงนวดไหล่รึ? อิดออดเหมือนสตรี ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”

อยู่ดีๆ ต่งฮว่าฝูก็โพล่งขึ้นมาว่า “เรื่องตัดต้นไม้ไม่เกี่ยวกับข้า คืนนั้นข้าไม่ได้ออกมาจากห้อง”

นักพรตซุนคลี่ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ เอ่ยชื่นชมว่า “นี่สิถึงจะเหมือนสหายเฉินมาก”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!