สรุปเนื้อหา บทที่ 743.1 ตีเกราะเคาะไม้ลาดตระเวนยามค่ำคืน – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 743.1 ตีเกราะเคาะไม้ลาดตระเวนยามค่ำคืน ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
นักพรตซุนพลันหัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานใจ “ดีนักนะ หลิ่วชีกับเฉาจู่คู่นั้นก็มาแล้ว ไม่มาก็แล้วไปเถิด พอมาก็มากันครบถ้วน จ้านหราน เจ้าไปเชิญอาจารย์ทั้งสองมาที่นี่ ป๋ายเซียนกับซูจื่อช่างมีหน้าตาใหญ่โตเสียจริง อารามเสวียนตูแห่งนี้ของข้าผินเต้า…เรียกว่าอย่างไรแล้วนะ นายท่านใหญ่เยี่ยน?”
เยี่ยนจั๋วตอบ “สามปีไม่ทำการค้า ทำทีกินได้สามปี”
นักพรตหญิงชุนฮุยรับคำสั่ง เตรียมจะขอตัวลาจากไป ต่งฮว่าฝูกลับเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่าออกไปรับอาจารย์ผู้เฒ่าซูด้วยตัวเอง แต่กลับให้พี่หญิงจ้านหรานไปรับหลิ่วเฉาสองคนมา บัณฑิตอาจเกิดความเห็นบางอย่างได้ง่าย เข้าประตูมาหัวเราะคิกคัก ออกจากประตูด่ากราดไปทั่วหัวถนน”
นักพรตซุนลูบหนวดคิดหนัก รู้สึกว่าต่งฮว่าฝูพูดจามีเหตุผล “ปวดหัว ปวดหัวจริงๆ เวลานี้ข้าเริ่มปวดขาปวดเท้าเดินไม่ไหวแล้ว”
ชุนฮุยรู้สึกลังเลเล็กน้อย ในเมื่อหลิ่วเฉาสองคนสามารถจับมือกันบินทะยานจากใต้หล้าไพศาลมายังใต้หล้ามืดสลัวได้ ขอบเขตก็ดี ชื่อเสียงก็ช่าง ก็ล้วนสามารถเป็นแขกผู้มีเกียรติของอารามเสวียนตูใหญ่ได้
ตามคำกล่าวของต่งถ่านดำ หากอาจารย์ปู่เลือกที่รักมักที่ชังแบบนี้ก็ออกจะไม่เหมาะสมเท่าไรจริงๆ แต่หากอิงตามคำกล่าวของบรรพจารย์เจ้าอารามในอดีตกลับเรียบง่ายยิ่งกว่า แสร้งทำเป็นว่าไม่อยู่ ทุกอย่างมอบให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานไปปวดหัวกันเอง เพียงแต่ว่าวันนี้ซูจื่ออยู่ด้วย บรรพจารย์เจ้าอารามก็คล้ายว่าจะค่อนข้างกระอักกระอ่วนไม่น้อย
เวลานี้นอกประตูของอารามเสวียนตูใหญ่มีคนหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลา ตรงเอวห้อยกิ่งหลิวหักท่อนหนึ่ง ใช้เวทคาถาตระกูลเซียนแกะสลักบทกวีเป็นตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนลงบนกิ่งหลิวเล็กบาง
นั่นก็คือหลิ่วชีผู้ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งใต้หล้าไพศาล
ที่ใดก็ตามที่มีภูตผีปีศาจออกอาละวาดย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อ ที่ใดก็ตามที่มีบ่อน้ำย่อมต้องท่องวลีหลิ่วชี
หวงโย่วห้าปี ไพศาลหลิ่วชี ล่ำลาจากไปไกล ค่อยๆ จิบสุราคลอเพลง หลงลืมยุทธภพ
สาวงามคลอเคลียในห้องบุปผา ขุนนางชุดขาวหลิ่วชีหลาง
ข้างกายหลิ่วชีมีบุรุษสวมชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตาเหมือนคนวัยสามสิบปี เรือนกายสูงเพรียว สง่างามมีเสน่ห์ไม่ต่างกัน เขาสะพายร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ
เฉาจู่ จื่อหยวนผัง
คนผู้นี้เป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมายทั้งบนภูเขาและล่างภูเขา
ในใต้หล้าไพศาล วลีถูกมองเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่พัฒนามาจากกวีนิพนธ์มาโดยตลอด พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นของที่เหลือจากบทกวีนั่นเอง ยากที่จะเอาออกหน้าออกตาได้ ส่วนร้อยกรองนั้นก็ยิ่งเป็นระดับรองลงมา ดังนั้นพอหลิ่วชีและเฉาจู่มาถึงใต้หล้ามืดสลัวถึงได้ตั้งชื่อพื้นที่มงคลที่พวกเขาค้นพบโดยบังเอิญแห่งนั้นว่าซืออวี๋ (เป็นอีกคำเรียกของคำว่าวลี ซึ่งหมายถึงวลีที่พัฒนามาจากกวีนิพนธ์) โดยตรง นอกจากจะเป็นการเสียดสีตัวเองแล้ว ก็ยังมีอารมณ์อัดอั้นรวมอยู่ด้วย พื้นที่ลับที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าพื้นที่มงคลสือไผแห่งนี้ ช่วงแรกๆ ที่บุกเบิกก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน พื้นที่มงคลที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางปรากฏตัวอยู่บนโลกมานานหลายปี แม้ว่าจะไม่ได้เลื่อนเป็นอันดับของพื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่ง แต่ขุนเขาสายน้ำก็งดงาม สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม คือพื้นที่มงคลระดับกลางโดยธรรมชาติแห่งหนึ่ง แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ฝึกตนเข้ามาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่น้อยมาก หลิ่วเฉาสองคนคล้ายจะเห็นตลอดทั้งพื้นที่มงคลเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษอีกแห่งหนึ่งของตัวเอง แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งของตระกูลเซียนด้วย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหญิงของทั้งสองสามารถเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว ขยับจากขอบเขตรั้งคนไปเป็นขอบเขตหยกดิบโดยตรง นอกจากจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์สองท่านแล้วก็ยังมีโชควาสนาเฉพาะตัวที่หนาหนักอยู่ติดกายด้วย
วันนี้อารามเสวียนตูใหญ่ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ถึงขั้นไม่มีคนเฝ้าประตูสักคนเดียว ปล่อยให้แขกสองคนที่เดินทางมาไกลยืนคอยอยู่บนถนนใหญ่หน้าประตูอย่างนี้
คนหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยวนผัง เจ้าคิดว่าวันนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าจะปรากฏตัวไหม? หรือว่า…จะบอกว่าสุขภาพไม่ใคร่จะดี อ้างว่าป่วยไม่ยอมออกมา?”
สือไผ (ชื่อท่วงทำนองของโคลงประกอบดนตรี) ในใต้หล้ามีทั้งหมดเกือบเก้าร้อยแบบ คนหนุ่มชุดขาวคนเดียวก็คิดค้นขึ้นมาถึงหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าแบบแล้ว ช่วยบุกเบิกเส้นทางมากมายให้กับนักประพันธ์รุ่นหลัง ในเรื่องนี้ ต่อให้เป็นซูจื่อก็ยังไม่อาจทัดเทียมเขาได้
บุรุษชุดดำเอ่ยล้อเลียน “ไม่ว่าจะมาพบพวกเราหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปทักทายถามสารทุกข์สุขดิบเจ้าอารามผู้เฒ่าเสียหน่อย”
หลิ่วชีชุดขาว สำหรับเฉาจู่แล้ว เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเหมือนป๋ายเหย่กับหลิวสือลิ่วที่ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนในอดีต
ซุนไหวจงบรรพจารย์ของอารามเสวียนตูใหญ่เคยเดินทางไปเยือนใต้หล้าไพศาลสองครั้ง ครั้งหนึ่งเอากระบี่ให้ป๋ายเหย่ยืมในท้ายที่สุด ครั้งหนึ่งเพราะอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวไม่มีอะไรทำ ด้วยความเบื่อล้วนๆ จึงออกเดินทางไกลไปรอบหนึ่ง บวกกับที่เขาต้องการตัดขาดบุญคุณความแค้นเก่าแก่ที่หล่นร่วงอยู่ในอุตรกุรุทวีปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปด้วย ระหว่างที่เดินทางไกลไปยังต่างบ้านต่างเมือง นักพรตผู้เฒ่าเลื่อมใสเหมยซานซูจื่ออย่างมาก เป็นความเลื่อมใสที่มาจากใจจริง แต่สำหรับนักประพันธ์ใหญ่สองท่านที่มาจากสำนักวลีแห่งไพศาลเช่นเดียวกันแล้ว อันที่จริงความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาธรรมดา ธรรมดามากๆ ดังนั้นต่อให้หลิ่วชีและเฉาจู่จะมาอยู่อาศัยในใต้หล้าบ้านเกิดของตนนานหลายปีแล้ว นักพรตซุนก็ไม่ได้ ‘ไปรบกวนการฝึกตนอันเงียบสงบของอีกฝ่าย’ ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นซูจื่อ ป่านนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าก็คงไปเยือนถ้ำสวรรค์สือไผมาหลายสิบรอบแล้ว และนี่ยังเป็นเงื่อนไขที่ว่าซูจื่ออาจปิดด่านไม่ต้อนรับแขกด้วย ในความเป็นจริงแล้วตอนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าท่องเที่ยวไปในใต้หล้าไพศาล ก็ค่อนข้างจะมีอคติต่อหลิ่วชีและเฉาจู่อยู่แล้ว กระตุ้งกระติ้ง กระบิดกระบวน เอาแต่กลิ้งเกลือกอยู่ในกองผงเครื่องประทินโฉม ขุนนางชุดขาวหลิ่วชีหลางอะไร เฉาหยวนผังที่มีอยู่ทั่วทุกห้องหอของสตรีในโลกมนุษย์อะไรนั่น เจ้าอารามผู้เฒ่ารำคาญเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด
อย่าเห็นแค่ว่าเวลาปกตินักพรตซุนพูดจา ‘เรียบง่าย’ ในความเป็นจริงแล้วก็เคยเอ่ยถ้อยคำที่มีท่วงทำนองแห่งความสง่างาม บอกว่าบทประพันธ์คือบ้านเกิด บทกวีคือตระกูลเศรษฐีชั้นสูง วลีคือตระกูลที่ตกอับ แต่ก็ยังมีฐานะพอมีอันจะกิน ส่วนร้อยกรองกลับกลายเป็นพวกคนยากจนแร้นแค้นไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่วลีมีซูจื่อ ผึ่งผายยิ่งใหญ่ ทำให้ฟ้าดินเปี่ยมด้วยภาพปรากฎการณ์อันแปลกตา มาดแห่งเซียนกลิ่นอายของเทพเปี่ยมล้น ไล่ตามป๋ายเหย่ไปติดๆ นอกจากนี้พวกชีหลางผังหยวนอะไรนั่น ก็หนีไม่พ้นเป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานบนมหามรรคาที่ต้องค้อมเอวฝนหมึกให้ป๋ายเซียน ก้มหน้าส่งจอกสุราให้ซูจื่อ
คำพูดร้ายกาจเช่นนี้หลุดออกจากปาก เรียกได้ว่าน้ำท่วมทับไปแล้วยากจะเก็บกลับคืน ดังนั้นจะให้นักพรตซุนไปต้อนรับหลิ่วเฉาสองคนได้อย่างไร? นี่ทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าต้องลำบากใจอย่างหาได้ยากแล้ว เมื่อก่อนนักพรตซุนรู้สึกว่าถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็เป็นความสัมพันธ์ที่ว่าต่อให้ตายก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน ไหนเลยจะคิดได้ว่าป๋ายเหย่จะมาที่อารามเต๋าก่อน ซูจื่อก็ตามมาเป็นแขกอีก หลิ่วเฉายังจะตามมาคิดบัญชีย้อนหลังด้วย
ต่งฮว่าฝูขยิบตาให้เจ้าอ้วนเยี่ยน
เยี่ยนจั๋วรีบทำความดีชดใช้ความผิดด้วยการเอ่ยกับเจ้าอารามผู้เฒ่าทันที “ปีนั้นเฉินผิงอันช่วยแกะสลักตราประทับ เขียนอักษรบนหน้าพัดให้คนอื่น ก็เคยพูดถึงวลีของอาจารย์หลิ่วเฉาสองท่านนี้กับข้าพอดี บอกว่าวลีของหลิ่วชีสูงไม่เท่าเหมยซาน แต่มากพอจะชมเชยว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดแห่งสายวลี’ ได้ จะมองเป็นแค่ถ้อยคำที่เอ่ยหลังเคล้าคลอนารีเมามายไม่ได้เด็ดขาด ความตั้งใจความมุ่งมั่นของอาจารย์หลิ่ว ความปรารถนาที่ต้องการให้คนมีรักบนโลกได้ครองคู่กันจากใจจริง และคำกล่าวที่ว่าบุปผางามจันทร์กลมกระจ่างคนอายุยืนยาวก็มีความนัยที่งดงามอย่างยิ่ง ถ้อยคำของผังหยวนก็บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ไม่สามัญอย่างแน่นอน จุดที่แสดงความสามารถของเขาได้มากที่สุดไม่ได้อยู่ที่การกลึงเกลาตัวอักษรแล้ว แต่เป็นการใช้ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง ทั้งมีเสน่ห์ของสตรีในห้องหอชนชั้นสูง แล้วยังมีความน่ารักน่าใกล้ชิดของบุตรสาวตระกูลเล็ก หนึ่งประโยคในนั้นที่บอกว่า ‘เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม ขู่ข่มเงาบุปผาล่าถอยหนี’ ก็ช่างมีจินตนาการบรรเจิดเสียจริง คิดในสิ่งที่คนรุ่นก่อนๆ ไม่เคยคิดถึง แปลกใหม่ ความหมายลึกซึ้ง น่าประทับใจ ควรจะได้รับคำสรรเสริญว่าเป็น ‘วลีในหมู่บุปผา’”
เจ้าอารามผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ “ดีๆๆ สองคำกล่าวที่ว่าต้นกำเนิดวลีและหมู่บุปผานี้ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย ลึกตรงใจของข้าพอดี ความคิดของสหายเฉินในเรื่องนี้ตรงกับผินเต้าโดยไม่ได้นัดหมาย ตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายจริงๆ”
ทันใดนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าก็กระแอมสองสามที เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “บอกตามตรง อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ปีนั้นที่ข้ากับสหายเฉินพบเจอกันในอุตรกุรุทวีปแล้วออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน ได้แต่เจ็บใจที่เจอกันช้าไป ยามที่สหายเฉินต้มสุราร่ำบทประพันธ์กับข้า เป็นข้าที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะถูกใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยืมเอาไปใช้ สหายเฉินตัวดี ไม่ว่าผ่านที่ใดหญ้าสักต้นก็ไม่มีเหลือจริงๆ ช่างเถิดๆ ข้าไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยแบบนี้กับสหายเฉินแล้ว ใครพูดก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ คิดเล็กคิดน้อยเรื่องแบบนี้จะทำลายมิตรภาพระหว่างกันไปเสียเปล่า”
ต่งฮว่าฝูเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เฉินผิงอันเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งเอาไว้ เขาถูกใจมันมากเป็นพิเศษ ตัวอักษรบนนั้นคล้ายจะเขียนว่า ‘บทกวีของซูจื่อเหมือนมองภาพวาด’? ปีนั้นเฉินผิงอันเคยพูดจาน่าเชื่อว่าจะเอามันมาทำเป็นสมบัติตกทอดของตระกูล”
ป๋ายเหย่ถอนหายใจ ขนบธรรมเนียมบางอย่างของสายซิ่วไฉเฒ่านี้ เฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายเรียกได้ว่าเหมารวมเอาไว้หมด อีกทั้งยังเป็นต้นครามที่เกิดจากคราม แต่สีเข้มกว่าคราม ช่ำชองเป็นธรรมชาติเสียจริง
ซูจื่อตกตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย ในความเป็นจริงแล้วเขากับสายเหวินเซิ่งมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดาต่อกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก ตัวเขาเองไม่ถือสาเรื่องบางอย่าง แต่ในบรรดาลูกศิษย์ในสำนักกลับมีคนไม่น้อยที่เนื่องจากปีนั้นซิ่วหู่วิพากษ์วิจารณ์ความสูงต่ำของนักเขียนอักษรพู่กันจีนในใต้หล้า ได้หลงลืมอาจารย์ของตนไป จึงไม่พอใจอย่างมาก และซิ่วหู่ผู้นั้นก็ดันเชี่ยวชาญการเขียนลายมือแบบหวัด ดังนั้นไปๆ มาๆ ก็เหมือนกับการถกเถียงเรื่องกลอนและวลีระหว่างป๋ายเซียนกับซูจื่อในครั้งนั้นที่ต่างก็ทำให้เหมยซานซูจื่อผู้นี้จนใจอย่างมาก ซูจื่อจึงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวินเซิ่งจะมีคนที่เลื่อมใสกลอนและวลีของเขาจากใจจริง
เจ้าอ้วนเยี่ยนแอบยกนิ้วโป้งให้ต่งฮว่าฝู เจ้าถ่านดำผู้นี้พูดจาอะไรไม่เคยเอ่ยถ้อยคำไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ มีแต่จะเป็นคำพูดดั่งการแต้มนัยน์ตามังกรเท่านั้น
ป๋ายเหย่ใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “ซูจื่อจะกลับบ้านเกิดพร้อมกับหลิ่วเฉาหรือ?”
ซูจื่อพยักหน้า “พวกเราสามคนต่างก็ตั้งใจเช่นนี้ ในช่วงยุคสมัยที่สงบรุ่งเรือง กลอนและวลีมีมากมายร้อยพันบท แต่นั่นก็เป็นแค่การปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น เมื่อมาเจอกับกลียุคเช่นตอนนี้ พวกผู้เยาว์ก็จะได้เรียนรู้เอาอย่างอาจารย์ป๋ายได้พอดี นัดกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปที่ฝูเหยาทวีปด้วยกัน”
พูดถึงคำว่าผู้เยาว์ เหมยซานซูจื่อที่เคราครึ้มสวมชุดเขียว ถือไม้เท้าเดินป่ารองเท้าสานก็หันมามองเด็กชายสวมหมวกหัวเสือที่อยู่ข้างกาย อาจารย์ผู้เฒ่ากลั้นยิ้มไม่ค่อยจะอยู่
ป๋ายเหย่พยักหน้ารับ “คนเราเพียงแค่มีความองอาจไพศาล ไม่ว่าเจอสถานการณ์ใดก็ไม่สะทกสะท้าน การกลับบ้านเกิดของซูจื่อครั้งนี้ถือเป็นบทความที่ดีบทหนึ่ง”
หลังจากที่หลิ่วชีและเฉาจู่มาปรากฏตัวที่นี่ก็รีบพากันคารวะป๋ายเหย่ ส่วนเรื่องที่ว่าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือจะอยู่ในภาพลักษณ์แบบใด ล้วนไม่อาจขัดขวางความเคารพนับถือที่ในใจพวกเขามีต่อป๋ายเซียนได้
ป๋ายเหย่กุมมือคารวะกลับคืน ในใจของป๋ายเหย่ บนเส้นทางแห่งวลีถ้อยคำ หลิ่วชีและเฉาจู่ต่างก็ด้อยกว่าซูจื่อหนึ่งระดับ
ในความเป็นจริงแล้วเฉาจู่นับถือเลื่อมใสป๋ายเหย่อย่างถึงที่สุด จนแทบจะถึงขั้นที่ไม่อาจนับถือไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เฉาจู่ยังถึงขั้นแกะสลักตราประทับส่วนตัวขึ้นมาอันหนึ่งที่มีสี่คำว่า ‘ป๋ายเซียนซืออวี๋’ อีกทั้งยังเอาตราประทับนี้ประทับลงบนหน้าแรกของบทรวบรวมกวีของตนอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ดังนั้นจึงยากจะจินตนาการได้ว่า เฉาจู่จะมีท่าทีระมัดระวังตัวเช่นนี้เพียงแค่ได้พบเจอคนผู้หนึ่ง เขาถึงขั้นไม่อาจปกปิดสีหน้าขัดเขินของตัวเองได้แม้แต่น้อย เฉาจู่มองป๋ายเหย่เซียนแห่งกวีที่ตัวเองเลื่อมใสบูชามานานแล้วถึงกับหน้าแดงหูแดง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่สองสามรอบ ทำเอาเจ้าอ้วนเยี่ยนและต่งถ่านดำที่มองดูอยู่ประหลาดใจนัก พบเจอกับอาจารย์ป๋าย เจ้าหมอนี่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!