นักพรตซุนพลันหัวเราะเสียงดังด้วยความเบิกบานใจ “ดีนักนะ หลิ่วชีกับเฉาจู่คู่นั้นก็มาแล้ว ไม่มาก็แล้วไปเถิด พอมาก็มากันครบถ้วน จ้านหราน เจ้าไปเชิญอาจารย์ทั้งสองมาที่นี่ ป๋ายเซียนกับซูจื่อช่างมีหน้าตาใหญ่โตเสียจริง อารามเสวียนตูแห่งนี้ของข้าผินเต้า…เรียกว่าอย่างไรแล้วนะ นายท่านใหญ่เยี่ยน?”
เยี่ยนจั๋วตอบ “สามปีไม่ทำการค้า ทำทีกินได้สามปี”
นักพรตหญิงชุนฮุยรับคำสั่ง เตรียมจะขอตัวลาจากไป ต่งฮว่าฝูกลับเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่าออกไปรับอาจารย์ผู้เฒ่าซูด้วยตัวเอง แต่กลับให้พี่หญิงจ้านหรานไปรับหลิ่วเฉาสองคนมา บัณฑิตอาจเกิดความเห็นบางอย่างได้ง่าย เข้าประตูมาหัวเราะคิกคัก ออกจากประตูด่ากราดไปทั่วหัวถนน”
นักพรตซุนลูบหนวดคิดหนัก รู้สึกว่าต่งฮว่าฝูพูดจามีเหตุผล “ปวดหัว ปวดหัวจริงๆ เวลานี้ข้าเริ่มปวดขาปวดเท้าเดินไม่ไหวแล้ว”
ชุนฮุยรู้สึกลังเลเล็กน้อย ในเมื่อหลิ่วเฉาสองคนสามารถจับมือกันบินทะยานจากใต้หล้าไพศาลมายังใต้หล้ามืดสลัวได้ ขอบเขตก็ดี ชื่อเสียงก็ช่าง ก็ล้วนสามารถเป็นแขกผู้มีเกียรติของอารามเสวียนตูใหญ่ได้
ตามคำกล่าวของต่งถ่านดำ หากอาจารย์ปู่เลือกที่รักมักที่ชังแบบนี้ก็ออกจะไม่เหมาะสมเท่าไรจริงๆ แต่หากอิงตามคำกล่าวของบรรพจารย์เจ้าอารามในอดีตกลับเรียบง่ายยิ่งกว่า แสร้งทำเป็นว่าไม่อยู่ ทุกอย่างมอบให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานไปปวดหัวกันเอง เพียงแต่ว่าวันนี้ซูจื่ออยู่ด้วย บรรพจารย์เจ้าอารามก็คล้ายว่าจะค่อนข้างกระอักกระอ่วนไม่น้อย
เวลานี้นอกประตูของอารามเสวียนตูใหญ่มีคนหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลา ตรงเอวห้อยกิ่งหลิวหักท่อนหนึ่ง ใช้เวทคาถาตระกูลเซียนแกะสลักบทกวีเป็นตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนลงบนกิ่งหลิวเล็กบาง
นั่นก็คือหลิ่วชีผู้ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งใต้หล้าไพศาล
ที่ใดก็ตามที่มีภูตผีปีศาจออกอาละวาดย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อ ที่ใดก็ตามที่มีบ่อน้ำย่อมต้องท่องวลีหลิ่วชี
หวงโย่วห้าปี ไพศาลหลิ่วชี ล่ำลาจากไปไกล ค่อยๆ จิบสุราคลอเพลง หลงลืมยุทธภพ
สาวงามคลอเคลียในห้องบุปผา ขุนนางชุดขาวหลิ่วชีหลาง
ข้างกายหลิ่วชีมีบุรุษสวมชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตาเหมือนคนวัยสามสิบปี เรือนกายสูงเพรียว สง่างามมีเสน่ห์ไม่ต่างกัน เขาสะพายร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ
เฉาจู่ จื่อหยวนผัง
คนผู้นี้เป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมายทั้งบนภูเขาและล่างภูเขา
ในใต้หล้าไพศาล วลีถูกมองเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่พัฒนามาจากกวีนิพนธ์มาโดยตลอด พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นของที่เหลือจากบทกวีนั่นเอง ยากที่จะเอาออกหน้าออกตาได้ ส่วนร้อยกรองนั้นก็ยิ่งเป็นระดับรองลงมา ดังนั้นพอหลิ่วชีและเฉาจู่มาถึงใต้หล้ามืดสลัวถึงได้ตั้งชื่อพื้นที่มงคลที่พวกเขาค้นพบโดยบังเอิญแห่งนั้นว่าซืออวี๋ (เป็นอีกคำเรียกของคำว่าวลี ซึ่งหมายถึงวลีที่พัฒนามาจากกวีนิพนธ์) โดยตรง นอกจากจะเป็นการเสียดสีตัวเองแล้ว ก็ยังมีอารมณ์อัดอั้นรวมอยู่ด้วย พื้นที่ลับที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าพื้นที่มงคลสือไผแห่งนี้ ช่วงแรกๆ ที่บุกเบิกก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน พื้นที่มงคลที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางปรากฏตัวอยู่บนโลกมานานหลายปี แม้ว่าจะไม่ได้เลื่อนเป็นอันดับของพื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่ง แต่ขุนเขาสายน้ำก็งดงาม สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม คือพื้นที่มงคลระดับกลางโดยธรรมชาติแห่งหนึ่ง แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ฝึกตนเข้ามาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่น้อยมาก หลิ่วเฉาสองคนคล้ายจะเห็นตลอดทั้งพื้นที่มงคลเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษอีกแห่งหนึ่งของตัวเอง แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งของตระกูลเซียนด้วย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหญิงของทั้งสองสามารถเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว ขยับจากขอบเขตรั้งคนไปเป็นขอบเขตหยกดิบโดยตรง นอกจากจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์สองท่านแล้วก็ยังมีโชควาสนาเฉพาะตัวที่หนาหนักอยู่ติดกายด้วย
วันนี้อารามเสวียนตูใหญ่ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ถึงขั้นไม่มีคนเฝ้าประตูสักคนเดียว ปล่อยให้แขกสองคนที่เดินทางมาไกลยืนคอยอยู่บนถนนใหญ่หน้าประตูอย่างนี้
คนหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยวนผัง เจ้าคิดว่าวันนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าจะปรากฏตัวไหม? หรือว่า…จะบอกว่าสุขภาพไม่ใคร่จะดี อ้างว่าป่วยไม่ยอมออกมา?”
สือไผ (ชื่อท่วงทำนองของโคลงประกอบดนตรี) ในใต้หล้ามีทั้งหมดเกือบเก้าร้อยแบบ คนหนุ่มชุดขาวคนเดียวก็คิดค้นขึ้นมาถึงหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าแบบแล้ว ช่วยบุกเบิกเส้นทางมากมายให้กับนักประพันธ์รุ่นหลัง ในเรื่องนี้ ต่อให้เป็นซูจื่อก็ยังไม่อาจทัดเทียมเขาได้
บุรุษชุดดำเอ่ยล้อเลียน “ไม่ว่าจะมาพบพวกเราหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปทักทายถามสารทุกข์สุขดิบเจ้าอารามผู้เฒ่าเสียหน่อย”
หลิ่วชีชุดขาว สำหรับเฉาจู่แล้ว เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเหมือนป๋ายเหย่กับหลิวสือลิ่วที่ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนในอดีต
ซุนไหวจงบรรพจารย์ของอารามเสวียนตูใหญ่เคยเดินทางไปเยือนใต้หล้าไพศาลสองครั้ง ครั้งหนึ่งเอากระบี่ให้ป๋ายเหย่ยืมในท้ายที่สุด ครั้งหนึ่งเพราะอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวไม่มีอะไรทำ ด้วยความเบื่อล้วนๆ จึงออกเดินทางไกลไปรอบหนึ่ง บวกกับที่เขาต้องการตัดขาดบุญคุณความแค้นเก่าแก่ที่หล่นร่วงอยู่ในอุตรกุรุทวีปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปด้วย ระหว่างที่เดินทางไกลไปยังต่างบ้านต่างเมือง นักพรตผู้เฒ่าเลื่อมใสเหมยซานซูจื่ออย่างมาก เป็นความเลื่อมใสที่มาจากใจจริง แต่สำหรับนักประพันธ์ใหญ่สองท่านที่มาจากสำนักวลีแห่งไพศาลเช่นเดียวกันแล้ว อันที่จริงความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาธรรมดา ธรรมดามากๆ ดังนั้นต่อให้หลิ่วชีและเฉาจู่จะมาอยู่อาศัยในใต้หล้าบ้านเกิดของตนนานหลายปีแล้ว นักพรตซุนก็ไม่ได้ ‘ไปรบกวนการฝึกตนอันเงียบสงบของอีกฝ่าย’ ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นซูจื่อ ป่านนี้เจ้าอารามผู้เฒ่าก็คงไปเยือนถ้ำสวรรค์สือไผมาหลายสิบรอบแล้ว และนี่ยังเป็นเงื่อนไขที่ว่าซูจื่ออาจปิดด่านไม่ต้อนรับแขกด้วย ในความเป็นจริงแล้วตอนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าท่องเที่ยวไปในใต้หล้าไพศาล ก็ค่อนข้างจะมีอคติต่อหลิ่วชีและเฉาจู่อยู่แล้ว กระตุ้งกระติ้ง กระบิดกระบวน เอาแต่กลิ้งเกลือกอยู่ในกองผงเครื่องประทินโฉม ขุนนางชุดขาวหลิ่วชีหลางอะไร เฉาหยวนผังที่มีอยู่ทั่วทุกห้องหอของสตรีในโลกมนุษย์อะไรนั่น เจ้าอารามผู้เฒ่ารำคาญเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด
อย่าเห็นแค่ว่าเวลาปกตินักพรตซุนพูดจา ‘เรียบง่าย’ ในความเป็นจริงแล้วก็เคยเอ่ยถ้อยคำที่มีท่วงทำนองแห่งความสง่างาม บอกว่าบทประพันธ์คือบ้านเกิด บทกวีคือตระกูลเศรษฐีชั้นสูง วลีคือตระกูลที่ตกอับ แต่ก็ยังมีฐานะพอมีอันจะกิน ส่วนร้อยกรองกลับกลายเป็นพวกคนยากจนแร้นแค้นไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่วลีมีซูจื่อ ผึ่งผายยิ่งใหญ่ ทำให้ฟ้าดินเปี่ยมด้วยภาพปรากฎการณ์อันแปลกตา มาดแห่งเซียนกลิ่นอายของเทพเปี่ยมล้น ไล่ตามป๋ายเหย่ไปติดๆ นอกจากนี้พวกชีหลางผังหยวนอะไรนั่น ก็หนีไม่พ้นเป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานบนมหามรรคาที่ต้องค้อมเอวฝนหมึกให้ป๋ายเซียน ก้มหน้าส่งจอกสุราให้ซูจื่อ
คำพูดร้ายกาจเช่นนี้หลุดออกจากปาก เรียกได้ว่าน้ำท่วมทับไปแล้วยากจะเก็บกลับคืน ดังนั้นจะให้นักพรตซุนไปต้อนรับหลิ่วเฉาสองคนได้อย่างไร? นี่ทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าต้องลำบากใจอย่างหาได้ยากแล้ว เมื่อก่อนนักพรตซุนรู้สึกว่าถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็เป็นความสัมพันธ์ที่ว่าต่อให้ตายก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน ไหนเลยจะคิดได้ว่าป๋ายเหย่จะมาที่อารามเต๋าก่อน ซูจื่อก็ตามมาเป็นแขกอีก หลิ่วเฉายังจะตามมาคิดบัญชีย้อนหลังด้วย
ต่งฮว่าฝูขยิบตาให้เจ้าอ้วนเยี่ยน
เยี่ยนจั๋วรีบทำความดีชดใช้ความผิดด้วยการเอ่ยกับเจ้าอารามผู้เฒ่าทันที “ปีนั้นเฉินผิงอันช่วยแกะสลักตราประทับ เขียนอักษรบนหน้าพัดให้คนอื่น ก็เคยพูดถึงวลีของอาจารย์หลิ่วเฉาสองท่านนี้กับข้าพอดี บอกว่าวลีของหลิ่วชีสูงไม่เท่าเหมยซาน แต่มากพอจะชมเชยว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดแห่งสายวลี’ ได้ จะมองเป็นแค่ถ้อยคำที่เอ่ยหลังเคล้าคลอนารีเมามายไม่ได้เด็ดขาด ความตั้งใจความมุ่งมั่นของอาจารย์หลิ่ว ความปรารถนาที่ต้องการให้คนมีรักบนโลกได้ครองคู่กันจากใจจริง และคำกล่าวที่ว่าบุปผางามจันทร์กลมกระจ่างคนอายุยืนยาวก็มีความนัยที่งดงามอย่างยิ่ง ถ้อยคำของผังหยวนก็บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ไม่สามัญอย่างแน่นอน จุดที่แสดงความสามารถของเขาได้มากที่สุดไม่ได้อยู่ที่การกลึงเกลาตัวอักษรแล้ว แต่เป็นการใช้ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง ทั้งมีเสน่ห์ของสตรีในห้องหอชนชั้นสูง แล้วยังมีความน่ารักน่าใกล้ชิดของบุตรสาวตระกูลเล็ก หนึ่งประโยคในนั้นที่บอกว่า ‘เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม ขู่ข่มเงาบุปผาล่าถอยหนี’ ก็ช่างมีจินตนาการบรรเจิดเสียจริง คิดในสิ่งที่คนรุ่นก่อนๆ ไม่เคยคิดถึง แปลกใหม่ ความหมายลึกซึ้ง น่าประทับใจ ควรจะได้รับคำสรรเสริญว่าเป็น ‘วลีในหมู่บุปผา’”
เจ้าอารามผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ารับเบาๆ “ดีๆๆ สองคำกล่าวที่ว่าต้นกำเนิดวลีและหมู่บุปผานี้ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย ลึกตรงใจของข้าพอดี ความคิดของสหายเฉินในเรื่องนี้ตรงกับผินเต้าโดยไม่ได้นัดหมาย ตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายจริงๆ”
ทันใดนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าก็กระแอมสองสามที เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “บอกตามตรง อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ ปีนั้นที่ข้ากับสหายเฉินพบเจอกันในอุตรกุรุทวีปแล้วออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน ได้แต่เจ็บใจที่เจอกันช้าไป ยามที่สหายเฉินต้มสุราร่ำบทประพันธ์กับข้า เป็นข้าที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะถูกใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยืมเอาไปใช้ สหายเฉินตัวดี ไม่ว่าผ่านที่ใดหญ้าสักต้นก็ไม่มีเหลือจริงๆ ช่างเถิดๆ ข้าไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยแบบนี้กับสหายเฉินแล้ว ใครพูดก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ คิดเล็กคิดน้อยเรื่องแบบนี้จะทำลายมิตรภาพระหว่างกันไปเสียเปล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!