ในขณะที่เฉินผิงอันนั่งยองเหม่อลอย น่าหลันอวี้เตี๋ยที่เป็นคนเดียวที่มีวัตถุฟางชุ่นก็หยิบเอาตำราเทพเซียนที่มีชื่อว่า ‘บทเสริมขุนเขามหาสมุทร’ ออกมา ในอดีตทางตระกูลได้ไหว้วานให้คนซื้อมาจากภูเขาห้อยหัว แม่นางน้อยเคลื่อนไหวว่องไว เปิดหน้าหนังสือดังพั่บๆ ครู่เดียวก็เจอบทใบถง ในตำราเทพเซียนเล่มนี้ บนหน้าหนังสือแผ่นหนึ่งสามารถบันทึกตัวอักษรเล็กๆ หลายพันตัวและภาพขุนเขาสายน้ำไว้ได้หลายสิบภาพ มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยฝึกตน ความสามารถในการมองเห็นไม่ดีพอก็ไม่มีทางเห็นเนื้อหาจากตัวอักษรได้อย่างชัดเจน
ปีนั้นเฉินผิงอันกระเป๋าฟีบแบนจึงซื้อแค่ ‘บันทึกขุนเขามหาสมุทร’ มาเท่านั้น ตัดใจซื้อ ‘บันทึกบทเสริม’ ที่มีเนื้อหามากกว่า บันทึกเรื่องขุนเขาสายน้ำงดงามได้ละเอียดกว่าไม่ลง แม่นางน้อยเริ่มอธิบายประวัติความเป็นมาของท่าเรือเขตการปกครองอวี๋โจวนี้ให้ทุกคนฟัง แม่นางน้อยเพิ่งจะเริ่มพูดก็พลันนึกถึง ‘คำเตือน’ ประโยคที่ตนจดบันทึกไว้ด้วยตัวเองขึ้นมาได้จึงรีบเก็บตำราใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่น ปัดมือ นั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยื่นมือไปดันพื้นดินเลียนแบบอาจารย์เฉา แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังหน่อยก็พอ”
ความผิดเล็กๆ กระทำความผิดเร็ว รู้ความผิดเร็ว ผู้อาวุโสบอกกล่าวแต่เนิ่นๆ เด็กๆ ก็จะจดจำไว้ได้แต่เนิ่นๆ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “อวี้เตี๋ย ข้าจะช่วยอำพรางให้เจ้าเอง เปิดตำราอ่านต่อเถอะ ช่วยอธิบายให้พวกเราฟังที อันที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของท่าเรือแห่งนี้ หากเป็นไปได้เจ้าก็ใช้ภาษากลางของใบถงทวีปอธิบายแล้วกัน”
“อาจารย์เฉาก็ไม่รู้หรือ? นี่กำลังทดสอบว่าข้าพูดภาษากลางได้คล่องหรือไม่ ใช่ไหม? ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน”
น่าหลันอวี้เตี๋ยถึงได้หยิบเอา ‘บทเสริม’ เล่มนั้นออกมาใหม่อีกครั้งแล้วใช้ภาษากลางของใบถงทวีปอธิบายเนื้อหาในหนังสือด้วยสำเนียงที่ชัดเจนถูกต้อง เขตการปกครองอวี๋โจวคืออาณาเขตทางทิศใต้สุดของราชวงศ์ใหญ่ต้าอิ๋ง ราชวงศ์ต้าอิ๋งเก่ามีจังหวัดสองร้อยกว่าจังหวัดใต้อาณัติของเขตการปกครองสามสิบกว่าแห่ง ล้วนมีอักขรานุกรมประจำจังหวัดทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นก็คืออักขรานุกรมเขตการปกครองอวี๋โจวที่มีเรื่องเล่าแปลกพิสดารของเทพเซียนมากที่สุด ด้านบนมีเซียนเหรินอยู่หกแห่ง ด้านล่างมีถ้ำมังกรมีจวนน้ำอยู่เก้าแห่ง ในอดีตมีวัดวาอารามมีศาลมากถึงหกสิบกว่าแห่ง ท่าเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนเวลานี้มีชื่อว่าท่าเรือชวีซาน (เคลื่อนภูเขา) เล่าลือกันว่าราชครูคนแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์มีชาติกำเนิดเป็นชาวประมง ได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งอย่างระฆังทอง ยามเขย่าไร้เสียง แต่กลับทำให้พื้นดินและภูเขาสั่นคลอน ก่อนที่ราชครูจะละสังหารจากโลกนี้ไปได้ผนึกระฆังทองเอาไว้ ทิ้งมันจมลงสู่ใต้น้ำ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายสกุลหลิ่วของต้าอิ๋งพ่ายแพ้สงครามใหญ่ติดต่อกันที่สนามรบชายแดนทิศเหนือ จึงเกิดความคิดบรรเจิดว่าจะ ‘เปิดทางสายใหม่ บุกเบิกอาณาเขต’ จึงออกคำสั่งให้อาจารย์หล่อหลอมหลายร้อยคนไปตามหาในลำคลองแม่น้ำและหุบเขา สุดท้ายก็ฝ่าพันธนาการหนาชั้นของจวนน้ำที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่งไปได้จนพบระฆังทอง เคลื่อนภูเขาลงมหาสมุทร เติมเต็มทะเลให้กลายเป็นพื้นดินได้สำเร็จ กลายเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณูปการด้านการต่อสู้บุกเบิกพื้นที่ในประวัติศาสตร์ของต้าอิ๋งเป็นรองแค่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นเท่านั้น…พวกเด็กๆ ฟังเรื่องเก่าแก่ของราชวงศ์พวกนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แค่ฟังเป็นเหมือนเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำที่น่าสนใจอยู่บ้างเท่านั้น ทว่าเฉินผิงอันที่ฟังกลับรู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากรู้ว่าตระกูลเซียนและกองกำลังของราชวงศ์ในทุกวันนี้ที่รับผิดชอบสร้างท่าเรือชวีซานขึ้นมาใหม่ คนตัดสินใจหลักแท้จริงแล้วเป็นทายาทรุ่นหลังของสกุลหลิ่วต้าอิ๋ง หรือว่าเป็นสำนักบนภูเขาบางแห่งที่โชคดีหนีพ้นหายนะมาได้ ยกตัวอย่างเช่นสำนักกุยหยกกันแน่?
การที่เฉินผิงอันไม่ได้ตรงดิ่งไปยังแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิด หนึ่งเพราะประจวบเหมาะได้เจอกับเรือข้ามฟากไฉ่อีเรือข้ามทวีปท่องเที่ยวผ่านทางมาพอดี เดิมทีเฉินผิงอันยังคิดจะซื้อรายงานขุนเขาสายน้ำจากเรือข้ามฟากเพื่อใช้มันมาทำความเข้าใจกับสถานการณ์ใหญ่ของไพศาลในทุกวันนี้ นอกจากนี้หากให้พวกเด็กๆ กลับเข้าไปในถ้ำสวรรค์เล็กปิ่นหยกขาว แม้ว่าจะไม่เป็นอุปสรรคต่ออายุขัยที่ยืนยาวและการฝึกตนฝึกกระบี่ของพวกเขา แต่การไหลรินของเวลาในฟ้าดินกว้างใหญ่ก็มีการแบ่งช้าเร็ว ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเวทนา ราวกับว่าเขาทำให้พวกเด็กๆ ต้องพลาดทัศนียภาพงดงามมากมายไปเปล่าๆ ต่อให้การเดินทางไกลครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเห็นแค่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทิวทัศน์มีแต่เดิมๆ น่าเบื่อหน่าย แต่เฉินผิงอันก็ยังหวังให้พวกเด็กๆ ได้เห็นขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลมากหน่อย
สุดท้ายคือเฉินผิงอันมีใจที่เห็นแก่ตัว เพราะถูกฝันประหลาดสามอย่างนั้นทำให้เป็นกระต่ายตื่นตูมไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะเหยียบลงบนพื้นดินของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอยากอาศัยหอสยบปีศาจของใบถงทวีปมาทดสอบความจริงเท็จ มาช่วย ‘ไขความฝัน’
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้เปลืองแรงเปล่า เมื่อครู่ที่ทรุดตัวลงนั่งยองก็เพราะเฉินผิงอันเกือบจะสะดุดล้ม นี่ทำให้เขาสบายใจได้หลายส่วนทันที
หลังจากลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันก็จงใจยืดเอวให้ตรง เรือนกายไม่งองุ้มอีกต่อไป เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิม แต่กลับมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
การเดินก็คือการเดินนิ่งที่ดีที่สุด คือการฝึกหมัดไม่หยุด ถึงขั้นที่ว่าการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้งที่ขอแค่ความเคลื่อนไหวของเฉินผิงอันค่อนข้างมากสักหน่อยก็เหมือนการที่ลมปราณซึ่งหลงเหลืออยู่ของใบถงทวีปได้มารวมตัวกันเป็นผู้ฝึกยุทธที่รวบรวมโชคชะตาบู๊ไว้กับตัว มาคอยป้อนหมัดให้กับเฉินผิงอัน
รู้สึกเหมือนว่าหากทุบตีหนักๆ สักหน่อย คอขวดของผู้ฝึกยุทธยอดเขาขอบเขตเก้าก็จะคลายตัวออกได้ ลางสังหรณ์บอกกับเฉินผิงอันว่า คิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางนั้นไม่ง่ายเลย เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่รีบร้อนจะฝ่าทะลุขอบเขต กลับกันยังยิ่งทะนุถนอมเห็นค่าการขัดเกลาที่มองไม่เห็นจาก ‘สนามประลองยุทธ’ ธรรมชาติของใบถงทวีปแห่งนี้ด้วย
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เคยมีคนบอกว่าการช่วงชิงของขอบเขตสิบก็คือกุญแจสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะตัดสินความสูงต่ำบนวิถีวรยุทธระหว่างเขากับเฉาสือในอนาคต หลังจากที่พ่ายแพ้สามครั้งติดแล้ว ชีวิตนี้ก็จะพ่ายแพ้ไปตลอดทาง หรือว่าจากลากันไปนานหลายปี การประมือในสนามที่สี่ เฉินผิงอันจะเป็นฝ่ายพลิกกลับมาเอาชนะได้ ก้าวแรกก็ต้องดูที่ว่าเขาสามารถเลื่อนจากขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดไปเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางได้หรือไม่
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งออกมาจากเรือข้ามฟากไฉ่อี พอหาพวกเฉินผิงอันพบก็ยืนนิ่งไม่ขยับ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร “เจ้าคือ?”
ผู้ฝึกตนหญิงแห่งอูซุนหลันกอดประคองกล่องบรรจุภาพไม้หวงฮวาหลีที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ประณีตกล่องหนึ่งไว้ในอ้อมอก สี่มุมของกล่องบรรจุภาพขนาดเล็กฝังเลื่อมเครื่องประดับทองสัมฤทธิ์ขาวลายหรูอี้ ด้านบนที่เปิดเป็นลายเมฆขาวที่แกะสลักมาจากหยกมันแพะเนื้อดี แค่มองก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากในวัง นางมองบุรุษวัยกลางคนสวมงอบแล้วยิ้มเอ่ย “อาจารย์ของข้า หรือก็คือผู้ดูแลเรือไฉ่อีให้ข้านำของชิ้นนี้มามอบให้เซียนซือ หวังว่าเซียนซือจะไม่ปฏิเสธ ด้านในบรรจุกระดาษสีหลากหลายสีสันของอูซุนหลันพวกเราเอาไว้ รวมแล้วหนึ่งร้อยแปดแผ่น”
เฉินผิงอันตบงอบเบาๆ รีบยื่นมือไปรับกล่องไม้บรรจุม้วนภาพใบนั้นมา เอ่ยขอบคุณผู้ดูแลหวงหลินหนึ่งคำ จากนั้นก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกก็คงไม่ลอกกระดาษสีที่แปะอยู่บนกาเหล้าลงมาแล้ว เดี๋ยวคราวหน้าจะแปะลงไปใหม่ พวกสหายจะได้ไม่ตำหนิหาว่าข้าดูของไม่เป็น”
ผู้ฝึกตนหญิงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ให้ข้านำความมาบอกเซียนซือ ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเคยออกคำสั่งห้ามไม่ให้บนภูเขาผลิตรายงานขุนเขาสายน้ำนานห้าปี ยังขาดอีกครึ่งปีคำสั่งถึงจะยกเลิก ดังนั้นไม่ใช่ว่าทางเรือข้ามฟากของพวกเราไม่อยากขาย แต่เป็นเพราะมีใจแต่ไร้กำลัง”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย มิน่าเล่าตอนนั้นขึ้นเรือมาได้ไม่นานเท่าไรก็สัมผัสได้ว่านอกเรือข้ามฟากมีแสงกระจกบนฟ้าหนึ่งเสี้ยวและกลิ่นอายของเซียนเหรินหนึ่งขุมคอยป้วนเปี้ยนอยู่อย่างเงียบเชียบ ที่แท้ตนที่เป็นผู้ฝึกตนใบถงทวีปไม่ทันระวังเผยพิรุธออกมา ภายหลังเรือข้ามฟากผ่านภาพลวงตา หากตนไม่ได้ลงมืออย่างเฉียบขาด ไม่แน่ว่าน้ำชาที่ติดค้างศาลบรรพจารย์เกาะหลูฮวาเอาไว้คงต้องชดเชยบนเรือข้ามฟากไฉ่อีลำนี้แทนแล้ว นอกจากผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของต้าหรางสุ่ยและชงเชี่ยนเซียนเหรินสตรีจากหลิวเสียทวีปแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องมียอดฝีมือคนอื่นๆ มานั่งรับรองแขกด้วย
ทางฝั่งของเรือไฉ่อีนี้ ผู้ถวายงานลำดับรองแห่งอูซุนหลัน หวงหลิน อันที่จริงคือลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อที่ชาติกำเนิดถูกต้องชอบธรรม ก่อนหน้านี้ใช้ตัวอักษรถ่ายทอดโองการสยบเผ่าพันธุ์น้ำ หวงหลินได้อาศัยปราณเที่ยงธรรมไพศาลบนร่าง เอื้อนเอ่ยคำพูดคาถาตามติด แหวกฝ่าสิ่งกีดขวางของภาพลวงตาไปได้เยอะมาก แล้วยังมีถ้อยคำในตำราของอริยะปราชญ์ที่บอกว่า ‘ถือโองการโอรสสวรรค์’ นั่นอีก ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหวงหลินถึงตัดใจสละสถานะนักปราชญ์วิญญูชนทิ้ง หันไปเป็นผู้ถวายงานของอูซุนหลันได้ลง คาดว่าคงเป็นตำรายวนยางเล่มหนึ่งท่ามกลางกลียุควุ่นวายกระมัง?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!