หวงหลินยืนอยู่บนหัวเรือ เผยร่างกายธรรมชุดลัทธิขงจื๊อสูงร้อยจั้ง ส่วนร่างจริงของหวงหลินนั้นใช้นิ้วมือต่างมีด กรีดฝ่ามือ ใช้เลือดสดแห่งชะตาชีวิตเป็นวัตถุดิบในการวาดตำราสีชาดของสายยันต์ ตอนที่หวงหลินเขียนตัวอักษรลงบนฝ่ามือ กายธรรมก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ตรงฝ่ามือมียันต์สีทองแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น หวงหลินสงบใจรวบรวมสมาธิเขียนตัวอักษรพลางเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ขุนนางเซียนสั่งการหกเทพ ออกคำสั่งกำราบเผ่าพันธุ์น้ำ”
ตรงกลางฝ่ามือของกายธรรมร้อยจั้ง อักษรใหญ่หลายสิบตัวบนยันต์ที่เป็นคาถาตามหลังคำพูดส่งประกายแสงสีทองไหลเวียนวน สาดส่องสะท้อนสี่ทิศ ไอเมฆหมอกสกปรกเหมือนถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ในพื้นที่หลายลี้รอบด้านพลันกลายเป็นเหมือนหิมะที่หลอมละลายภายในเสี้ยววินาที
หวงหลินกรีดฝ่ามืออีกครั้ง เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ถือโองการโอรสสวรรค์ กักกันวัตถุในน้ำ!”
ตรงฝ่ามือของกายธรรมมีรัศมีทรงกลดสีขาวเป็นชั้นๆ แสงทองพลันเปล่งประกายเจิดจ้า ฝนกระหน่ำพลันเทลงมา ยิ่งเหมือนน้ำเดือดในหม้อใบใหญ่ที่หล่นลงมากลางลมหิมะ
ท่ามกลางภาพมายา หอเรือนหลังหนึ่งพังครืนลงมา เงาร่างใหญ่โตมโหฬารที่แอบซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างพุ่งตัววูบเดียวก็หายวับไป
ผู้โดยสารคนหนึ่งที่เดินทางไกลข้ามทวีปเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “จะช่วยสหายหวงคุมหลังสังหารปีศาจเอง!”
เพียงแต่ว่าวิธีฝึกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ผู้นี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เขาที่อยู่บนหอชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งถึงขั้นมีพายุลมกรดผุดใต้ฝ่าเท้า สองมือทำมุทรากระบี่ แล้วถึงได้เป่าลมออกมาเบาๆ พ่นเม็ดกระบี่ที่ส่องประกายวิบวับเม็ดหนึ่งออกมา เม็ดกระบี่พุ่งออกไปอย่างว่องไว พอออกห่างจากเรือข้ามฟากไปได้ร้อยจั้ง เม็ดกระบี่ที่เดิมทีมีขนาดไม่เกินสามชุ่นกลับเปลี่ยนมาเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์สีดำสนิทที่สลักยันต์สีหมึกตระกูลเซียนเอาไว้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นยังคงก้าวเดินว่องไวไม่หยุด สุดท้ายใต้เท้าเท้ากลายเป็นยันต์ค่ายกลเป่ยโต้ว และยิ่งมีปลาดำตัวหนึ่งดำผุดดำว่าย ผู้ฝึกกระบี่เหยียบอยู่บนแผ่นหลังของปลาดำ ยามที่มุทรากระบี่หล่นร่วงลงก็พึมพำว่า “คนบนภูเขาข้ามปลาขึ้นฟ้า ผู้มีความรู้เห็นค่าคนโง่เขลา สายฟ้าในมือโจมตีกระบี่อิงฟ้า ตรงดิ่งฟันผ่าปลาวาฬทะเลแหวก”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่พุ่งตรงเข้าหาตำหนักและสายรุ้งขาวเล่มนั้นปล่อยแสงกระบี่แวววาว ลากสะบัดแม่ทัพเทพสวมห่มเกราะสีทององค์หนึ่งออกมา ในมือถือกระบี่ยักษ์สีหมึก แสงสายฟ้าตัดสลับ หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งกระบี่บินพุ่งตรงไป พยายามจะฟันทั้งรุ้งขาวและตำหนักแห่งนั้นให้ผ่าออกพร้อมกัน
หลังการโจมตีครั้งหนึ่งผ่านไป เสียงประหนึ่งฟ้าคำราม ลมหอบเมฆม้วนตัว ลมปราณกระเพื่อมไหว แม้แต่เรือข้ามฟากก็ยังสั่นสะเทือนรุนแรงโยกคลอนไม่หยุดตามไปด้วย
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ยื่นมือไปประคองราวรั้ว รีบใช้จิตดึงกระบี่บินกลับมา คิดไม่ถึงว่าปราณสกปรกมืดฟ้ามัวดินขุมหนึ่งจะทะลักล้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง ห่อหุ้มกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้ เหมือนการตัดขาดฟ้าดิน ถึงขั้นสะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับวัตถุแห่งชะตาชีวิต ผู้ฝึกกระบี่หน้าซีดขาวไร้สีเลือด จิตใจสะเทือนไหวไม่หยุด หวงหลินรีบร่ายเวทอภินิหาร ช่วยผู้ฝึกกระบี่ตามหากระบี่บินที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยนั่น
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักกำลังเท้าเบาๆ อยู่นานแล้ว เป็นเหตุให้ห้องทั้งสองด้านข้างสงบนิ่งมั่นคงเหมือนยามปกติ ไม่ถูกลมปราณขุมนั้นพุ่งมาชน
เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเรือข้ามฟากลำนี้ เส้นสายตาของเฉินผิงอันไม่ได้ตามหาเรือนกายใหญ่โตมโหฬารที่เป็นเวทอำพรางตานั้น แต่จับจ้องอยู่ที่ม่านฟ้ามุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหอเรือนมายาอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันยกมือข้างซ้ายขึ้น โคจรตราประทับอักษรน้ำ ห้าอสนีมารวมตัวกันจำแลงอยู่บนฝ่ามือ เฉินผิงอันไม่ได้เรียกเวทอสนีที่ครบถ้วนสมบูรณ์นี้ออกมาโดยตรง แต่เลือกที่จะใช้เวทวารีอสนีหนึ่งในนั้นมาชักนำฟ้าแลบฟ้าร้องให้เกิดฝนตก สยบพวกเผ่าพันธุ์น้ำทั้งหมดที่ก่อกวนอาละวาดอย่างเจียวใหญ่ งูพิษ หอยกาบพิษ ฯลฯ พร่างพรมโปรยพิรุณ ลมโหมคลื่นโถม ควบคุมจวนน้ำ
ข้อมือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันพลันบิดหมุน วารีอสนีที่รวมตัวกันมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดไข่มุกก็พุ่งไปอย่างเร็วรี่ เทียบกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนดินคอขวดโอสถทองคนนั้นแล้วยังเหนือกว่าหนึ่งระดับ เป็นเหตุให้พวกผู้ฝึกตนบนเรือไฉ่อีไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยนี้ ดังนั้นรอกระทั่งวารีอสนีเปลี่ยนจากภาพบรรยากาศที่ไม่ชัดเจนจนกลายมาเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง แล้วค่อยส่งเสียงครืนครั่นประหนึ่งอสนีสะเทือนไหว ฟาดผ่าลงมาดั่งทัณฑ์สวรรค์ยิ่งใหญ่ ผู้คนบนเรือถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นวิชาอภินิหารของผู้ดูแลหวงหลิน
ขณะเดียวกันนั้นมือซ้ายของเฉินผิงอันก็รวบเวทอสนีขึ้นมาอีก มือขวารวมปราณเป็นกระบี่ แล้วเอามาผสานกันกลายเป็น ‘ยันต์ตัดรุ้ง’
วารีอสนีก่อนหน้านี้กระแทกลงบนที่ซ่อนตัวของหอยกาบยักษ์ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถือเป็นการเคาะประตูบ้านตามมารยาทของคนเป็นแขก
ทว่ายันต์ตัดรุ้งที่เป็นการโจมตีตามหลังของขวัญทักทายนี้กลับมีพลานุภาพน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ใต้ฝ่าเท้ามีพายุลมกรดโจมตีอย่างเต็มกำลัง ก็ยังได้แค่ทำให้สายรุ้งที่ลอยโค้งตัวอยู่เหนือตำหนักส่ายสะบัดเท่านั้น เมื่อยันต์กระบี่ตัดรุ้งที่เวทอสนีถูกปลุกเสกให้พลานุภาพยิ่งใหญ่กว่าเดิมนี้ปรากฏขึ้น ท่ามกลางหอเรือนมายาจึงคล้ายกับว่ามีแสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งที่กรีดผ่าฟ้าดินเล็กแล้วกรีดยาวลงมา ฟันรุ้งขาวพร้อมกับตำหนักตระกูลเซียนให้ขาดสะบั้น จากนั้นสายฟ้าก็พลันสาดประกาย ทั้งสองสิ่งจึงแตกสลายไปในทันที
คนยังไม่ทันไป
สายฟ้า ยันต์กระบี่ก็ทลายค่ายกลสำเร็จก่อนแล้ว
ฟ้าดินสว่างเจิดจ้า บรรยากาศเปลี่ยนใหม่ ไม่เหลือหอเรือนภาพมายาขัดขวางทางไปอีกแล้ว
หอยกาบยักษ์ผลุบหายเข้าไปในจุดลึกใต้ท้องทะเล พื้นผิวทะเลมีคลื่นลูกยักษ์โถมตัวน่าพรั่นพรึง ถูกลมปราณที่ซัดตลบสับสนชักนำ ต่อให้จะมีค่ายกลแห่งขุนเขาสายน้ำ เรือข้ามฟากไฉ่อีก็ยังโคลงเคลงไม่หยุด
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองตกตะลึงระคนยินดีอย่างถึงที่สุด ท่ามกลางเมฆหมอกเบาบางจุดหนึ่งเขาสัมผัสได้ถึงแสงกระบี่หนึ่งเสี้ยว จึงรีบใช้เสียงในใจบังคับกระบี่บินเล่มนั้นกลับเข้ามาบำรุงความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงลมปราณทันที
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยก่อนกำหมัดเบาๆ เก็บมุทรากระบี่ครั้งใหม่กลับมา ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามไปสังหารหอยกาบตัวใหญ่นั้น เพราะชงเชี่ยนเซียนเหรินจะต้องอยู่ระหว่างทางมุ่งหน้ามาที่นี่อย่างแน่นอน
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นกุมหมัดเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “เกาอวิ๋นซู่ผู้ฝึกกระบี่แห่งเกราะทองทวีปขอบคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ช่วยเหลือ!”
เงียบสนิท ไร้เสียงใดๆ ตอบรับ
เกาอวิ๋นซู่จึงได้แต่คิดว่ายอดฝีมือเซียนกระบี่ท่านนั้นไม่ชอบการพูดจาปราศรัย รำคาญพิธีการยิบย่อยพวกนี้ จึงยิ่งรู้สึกนับถือมากกว่าเดิม
ในใจคิดว่าเซียนกระบี่ที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางผู้นั้น ในเมื่อโดยสารเรือข้ามฟากของอูซุนหลันลำนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้อาวุโสของเกราะทองทวีปบ้านตนอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันปิดหน้าต่างลงแล้ว ฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้องของตัวเองต่อไป
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากไฉ่อีมีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนชั้นดีหลายกามามอบให้ ตอนที่นางเคาะประตู สีหน้าค่อนข้างจะแปลกประหลาด
เห็นได้ชัดว่านางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ถวายงานหวงหลินถึงได้ปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่รักตัวกลัวตายอย่างมีมารยาทเช่นนี้
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางคำหนึ่ง แล้วรับสุรามาอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “ขอถามแม่นางสักหน่อย เหล้าหนึ่งการาคาขายปกติคือเท่าไร?”
ผู้ดูแลหวงหลินน่าจะสัมผัสได้ เพียงแต่ว่าไม่เอ่ยออกมาก็เท่านั้น
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นคล้ายจะโมโหไม่เบา นางเค้นรอยยิ้มออกมา ย้อนถามว่า “ลูกค้าท่านรู้สึกว่าเรือข้ามฟากไฉ่อีจะขายเหล้าบ้านของตนหรือ?”
เฉินผิงอันวางเหล้าหมักตระกูลเซียนเหล่านั้นลงบนโต๊ะ ไม่เหมือนกับสุราที่ซื้อดื่มก่อนหน้านี้ สุราพวกนี้แปะกระดาษสีที่ทำด้วยกรรมวิธีลับของอูซุนหลัน หากฉีกออกแล้วนำไปขายต่อให้คนอื่น คาดว่าอาจจะมีราคามากกว่าตัวเหล้าหมักเองเสียอีก
เฉินผิงอันเดินนิ่งเสร็จแล้วก็เดินฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดช้ามาก ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว หลังจากเฉินผิงอันลืมตาขึ้นก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเด็กทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงไปเปิดประตู เพียงไม่นานเด็กเก้าคนก็ทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง
อวี๋ชิงจางถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือ
เฮ้อเซียงถิงยืนเคียงบ่ากับอวี๋ชิงจาง
ซุนชุนหวังคล้ายว่าจะไม่เข้าพวก ตำแหน่งที่ยืนห่างจากทุกคนมาเล็กน้อยอย่างน่าขบคิด
เด็กสามคนนี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเอ่ยอะไรกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว ในทางส่วนตัวพวกเขาก็เงียบขรึมพูดน้อยเช่นกัน
เฉินผิงอันพอจะเดาต้นสายปลายเหตุได้คร่าวๆ แล้วก็ไม่ยินดีจะซักไซ้ให้ได้คำตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!