หันอวี้ซู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนบนภูเขาย่อมต้องมีมรรคกถามาคอยรับรองดูแลใต้เท้าอิ่นกวานเอง จะไม่ปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้เด็ดขาด ก็แค่จ่ายเงินฟาดเคราะห์เพื่อป้องกันหนึ่งในหมื่นเท่านั้นเอง ใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยๆ ก็ได้เลื่อนขั้นอยู่ในตำแหน่งสูงคงไม่ได้รู้สึกว่าใต้หล้านี้มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ถึงจะไปมาหาสู่กับ ‘หนึ่งในหมื่น’ ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า แต่กลับพูดนอกเรื่องไปว่า “คราวก่อนข้ากลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิด เคยมีสหายคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าจนเมามายจึงเอ่ยถ้อยคำของคนเมา เพียงแต่ว่าตอนนั้นสหายทั้งสองของข้าคออ่อน คนหนึ่งพูดไปแล้วก็คงจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไป อีกคนหนึ่งฟุบอยู่บนโต๊ะ นอนหลับส่งเสียงกรนครอกๆ เลยไม่ได้ยิน ตอนนั้นสหายคนนั้นของข้าบอกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน คือบ้านเกิดแห่งการแก้แค้น ย่อมไม่ใช่สถานที่ที่จะซุกซ่อนความสกปรกเอาไว้ได้”
หันอวี้ซู่หัวเราะหยัน “ความนัยของอิ่นกวานก็คือไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ปากของสหายหันเต็มไปด้วยอาจม โชคดีที่พวกเราสองพี่น้องอยู่ห่างกันมาไกล มันถึงไม่ได้กระเด็นมาเลอะตัวข้า”
หันอวี้ซู่ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากข้าลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม น่าเสียดายก็แต่กิจการบรรพบุรุษส่วนหนึ่งของสำนักว่านเหยา”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่หาวิธีอื่นในการหยัดยืนตั้งสำนักแล้ว สังหารเฉินผิงอัน ภัยแฝงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังมีมากเกินไป แผงลอยเละเทะเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคงได้แต่เก็บกวาดเอาช่วงปลายมาเท่านั้น ในอนาคตตนจะได้ผลัดเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ปรากฏตัวบนโลกในบางทวีปของใต้หล้าไพศาลได้อีกครั้ง คุณความชอบในการสังหารอิ่นกวานก็จะถูกผลาญไปครึ่งหนึ่ง ส่วนสำนักว่านเหยาและพื้นที่มงคลสามภูเขาก็ไม่ต้องคิดให้มากความ อย่างน้อยที่สุดภายในระยะเวลาหลายร้อยปีก็คงได้แต่ปิดด่านแยกตัวออกจากทางโลกไปเท่านั้น
ระหว่างที่หันอวี้ซู่เอ่ยพูด นิ้วมือก็ขยับแกนม้วนภาพที่อยู่ด้านหลัง ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมสะบัดพึ่บพั่บ เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ของหันอวี้ซู่ ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหริน ต่อให้ได้เป็นเทพเทวดาของฟ้าดินน้อยใหญ่สองแห่งนี้ ก็ยังคงไม่ได้ผ่อนคลายนัก
เพราะนี่คือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อย่างการทวนกระแสแม่น้ำแห่งกาลเวลา
หลังจากนี้ใต้เท้าอิ่นกวานที่เวลาผ่านไปนานหลายปีกว่าจะได้กลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลคนนี้ก็จะต้องอยู่เพียงลำพัง อาศัยเรือนกายของผู้ฝึกยุทธและกระบี่บินสองเล่มมาเผชิญหน้ากับเซียนเหรินหนึ่งคนและขอบเขตบินทะยานครึ่งตัวแล้ว
ครู่หนึ่งต่อมาหันอวี้ซู่มองคนหนุ่มที่สีหน้าคล้ายจะมีความเลื่อนลอยอยู่เสี้ยวหนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน เยาว์วัย เยาว์วัยยิ่งนัก เยาว์วัยจนทำให้คนอื่นอิจฉา
กาลเวลาไหลย้อนกลับ คนทั้งสองกลับมายืนคุมเชิงในจุดที่ห่างกันไปไกลอีกครั้ง
คนหนุ่มผู้นั้นคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงรีบยื่นมือมาทำท่าวักน้ำ แกว่งโชคชะตาน้ำกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในฝ่ามือเบาๆ ก้มหน้าลงจ้องมองนิ่งแล้วพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเดือดดาล “หันอวี้ซู่ เจ้าถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้เชียวรึ? เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไร พูดอะไร?!”
ระมัดระวังตัวได้ดีจริงๆ สัมผัสถึงความผิดปกติได้ไวเพียงนี้
หันอวี้ซู่หัวเราะเยาะตอกคำพูดของอีกฝ่ายกลับคืนไป “เจ้าลองเดาดูสิ?”
เฉินผิงอันพลันหรี่ตาลง “ความนัยของสหายหันก็คือไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว?”
จิตใจของหันอวี้ซู่สั่นสะเทือน
“เซียนเหรินกระดาษเปียก ก็มีดีแค่นี้เอง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า มองเซียนเหรินผู้นั้นด้วยสายตาเวทนา “เทียบกับฝีมือของมหาสมุทรความรู้โจวมี่แล้วไม่ได้ห่างกันแค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง”
นาทีถัดมาหันอวี้ซู่ก็เข้ามาอยู่ในตราผนึกฟ้าดินสองชั้นเช่นเดียวกัน ชั้นหนึ่งคือฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ หันอวี้ซู่ไม่มีเวลามามัวตกตะลึงแล้ว เพราะเพียงชั่วพริบตานั้นหันอวี้ซู่ก็ถูกคนหนุ่มผู้นี้ตอบโต้กลับคืน ขอบเขตเซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นถูกกระชากดึงดวงจิตเสี้ยวหนึ่งออกไป ถูกกระชากพาไปยังนอกยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ส่วนดวงจิตดวงหนึ่งของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ที่นี่ตลอดเวลา หลังจากร่างจริงพาหันอวี้ซู่มาถึงที่แห่งนี้แล้วก็ทำท่าราวกับว่าหลงกลใครบางคน รีบพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งไล่ฆ่า จึงได้แต่เผ่นหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น แต่กลับโดนหมัดหนึ่งต่อยแสกหน้าจึงกระเด็นออกไปนอกฟ้าดิน
หันอวี้ซู่รู้ว่าแย่แล้ว จากนั้นก็ได้แต่รู้สึกราวกับว่าน้ำหนักของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลกดทับลงมาบนร่างของตนคนเดียว ได้ยินแต่เสียงเปี่ยมพลานุภาพดั่งเสียงลั่นระฆังใหญ่ที่กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนดวงจิตเสี้ยวนั้นของหันอวี้ซู่และจิตวิญญาณทั้งหมดที่อยู่นอกดวงจิตให้แหลกลาญ โอสถทอง ก่อกำเนิดที่อยู่นอกฟ้าดินล้วนสลายกลายเป็นผุยผงพร้อมกัน เหลือเพียงเนื้อหนังมังสาที่เป็นโครงกระดูกเดินได้เท่านั้น
ในช่วงเวลาที่ใกล้จะตาย เซียนเหรินหันอวี้ซู่ได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายในชีวิตนี้ว่า “มดปลวกตัวน้อย แล้วยังโง่เขลา”
ท่ามกลางฟ้าดินของม้วนภาพ เฉินผิงอันที่ถูกหนึ่งหมัดต่อยจนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ถูกต่อยจนหัวเกือบแยก หลังจากที่พยายามฝืนดวงจิตหยัดยืนให้มั่นคงแล้วก็เห็นกับตาตัวเองว่าด้านในนกในกรงกระบี่บินของตน บนร่างของ ‘หันอวี้ซู่’ มีเส้นยาวๆ หลายเส้นที่พลันขาดผึงแล้วสลายหายไปในเสี้ยววินาที ถึงกับถูกบุคคลที่อยู่บนยอดเขาผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ผลกรรมและชะตาชีวิตทั้งร่างของเซียนเหรินหันอวี้ซู่สลายไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ? พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในใจเฉินผิงอันก็เกิดความมั่นใจแล้วว่า สามารถเอาเงินไม่เอาชีวิตได้แล้ว ไม่มีเวลามามัวเช็ดคราบเลือด รีบยื่นมือออกไปคว้า กำแกนภาพสองแกนที่ไหลลื่นหลุดจากมือของ ‘หันอวี้ซู่’ เอาไว้แน่น สองมือซ้ายขวาปาดออกไปข้างละที คลี่ม้วนภาพออก อยู่ห่างกันประมาณร้อยกว่าจั้ง จากนั้นเฉินผิงอันก็อิงตามวิชาที่อยู่ในบันทึกลับทั้งหมดของคฤหาสน์หลบร้อน รวมไปถึงประสบการณ์ความเข้าใจด้านสายยันต์บางส่วนจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่ตนตั้งใจศึกษาอยู่บนหัวกำแพงเมืองมานานหลายปี บวกกับผลประโยชน์มหาศาลบนมหามรรคาจากยันต์สามภูเขาก่อนหน้านี้ เริ่มจัดการกับขุนเขาสายน้ำอย่างไม่คล่องมือเท่าใดนัก ขณะเดียวกันก็โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตขุนเขาสายน้ำสองชิ้นของตน ด้านหนึ่งก็ช่วยงานสหายหัน รั้งการไหลเวียนของโชคชะตาในห้าขุนเขาและแม่น้ำลำคลองเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พอม้วนภาพถูกเลิกออกมุมหนึ่งก็เท่ากับเผยพิรุธให้หันเจี้ยงซู่เห็น พลางสกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างพอเหมาะพอควร นำมาใช้ชดเชยวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ ช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตและภูเขาทายาททั้งหมดล้วนเหมือนพื้นดินที่แห้งแล้งมานานได้เจอฝนรสหวาน ในที่สุดก็สามารถกินดื่มอิ่มหนำอย่างสำราญใจมื้อหนึ่งโดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดอีก
ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันร่ายวิธีการยิ่งใหญ่ของเซียนเหรินประเภทนี้ มือเท้าจึงยุ่งวุ่นวายอย่างมาก เขาพลันใช้ปลายเท้าตวัดเกี่ยวขึ้นมาเบาๆ หนึ่งที บังคับวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่กระเด็นออกมาจากในร่างของ ‘หันอวี้ซู่’ มาไว้ข้างกายตนเอง คือดาบอาคมชิงเสียที่เกือบจะฟันหัวตัวเองขาดเล่มนั้น ถูกเฉินผิงอันเก็บไว้ในชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมทันที มือสองข้างถึงได้ว่างลง มีเรื่องให้ต้องทำอีกแล้ว แขนข้างหนึ่งยื่นออกไปบังคับยันต์ภูเขาบรรพบุรุษแผ่นหนึ่งที่คิดจะหลอมรวมตัวเองเข้ามาอยู่ในขุนเขาสายน้ำของม้วนภาพโดยอัตโนมัติให้มาเก็บอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาบอาคมชิงเสีย พวกคนบนเส้นทางเดียวกันบางส่วนของสหายหัน หากวันหน้าคิดอยากจะอนุมานสาเหตุการตายของหันอวี้ซู่ ระดมกำลังพลยกใหญ่เพื่ออนุมานหาความลับสวรรค์ เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากดวงจิตของพวกเขาจะบุกเข้ามาใน ‘ซากปรักฟ้าดิน’ บางแห่ง ก็เหมือนอย่างตอนที่อยู่ในสนามรบ โชคชะตาของกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างพัวพัน ปะปนกันจนแยกไม่ออก คิดจะพบตัวเฉินผิงอันที่แบกรับชื่อจริงเอาไว้ ไม่แน่ว่าท่ามกลางขั้นตอนของการสาวเส้นไหมหาเบาะแสอย่างต่อเนื่องก็คงจะ ‘มีเรื่องให้พูดคุย’ กับหลงจวิน ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ หรือแม้กระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว…
โอ้โห ทรัพย์สมบัติของเซียนเหรินท่านนี้มีเยอะจริงๆ ยุ่งยิ่งนัก สมบัติอาคมกดทับมือหมดแล้ว!
การพบเจอที่ทำให้ผ้าห่อบุญเก็บของอย่างหูตาพร่าลายเช่นนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับปีนั้นที่ประมือกับหลีเจินแล้วทำให้เขาต้อง ‘หยุดแต่พอสมควร’ อยู่มาก
น่าเสียดายวัตถุจื่อชื่อของเซียนเหริน เนื่องจากจิตวิญญาณ โอสถทองและก่อกำเนิดล้วนแหลกสลายไปหมดแล้ว แม้กระทั่งวัตถุแห่งชะตาชีวิตเจ็ดแปดชิ้นของเขาที่มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดก็ยังไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ ช่างเถิดๆ ถึงอย่างไรน้ำดีก็ไม่ควรไหลเข้านาคนอื่น ปล่อยให้สลายกลายเป็นปราณวิญญาณอยู่ในฟ้าดินม้วนภาพเหมือนกับภูเขาไท่ซานลูกนั้นก็แล้วกัน สุดท้ายเฉินผิงอันที่สองมือถือแกนม้วนภาพก็เตรียมจะเก็บฟ้าดินขุนเขาสายน้ำกลับคืนมา
ส่วนอวิ๋นตุนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หุ่นเชิดเป็นฝ่ายเข้าไปหลบซ่อนอยู่ภายใน ดาบอาคมชิงเสีย ยันต์ขุนเขาสายน้ำรากฐานของภูเขาบรรพบุรุษสำนักว่านเหยาสองแผ่น น้ำเต้าสีแดงเข้มที่บำรุงอัคคีสมาธิไว้…ล้วนอยู่ในชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมเฉินผิงอันทั้งหมด เขายังไม่กล้าเอาใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ยิ่งไม่กล้าใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ วิชาอภินิหารอย่างจักรวาลชายแขนเสื้อนี้ มีแล้วแต่ไม่ใช้เดี๋ยวก็จะเสียเปล่า ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตลำดับหนึ่งของร้านผ้าห่อบุญ
ไหล่ของเฉินผิงอันพลันเอียงไปข้างหนึ่ง เขาบ่นเบาๆ ชายแขนเสื้อหนักจริงๆ
แล้วก็อดเอ่ยด้วยความสะท้อนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ เซียนเหรินกระดาษเปียกประเภทนี้ ยิ่งพบเจอมากก็ยิ่งดีนะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดบุคคลที่อยู่บนยอดเขาถึงต้องเก็บเนื้อหนังมังสาของหันอวี้ซู่เอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!