“การเดินทางหวนกลับมายังจุดเดิมครั้งนั้นเลียบทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาขึ้นไป นี่ยังเป็นแค่การเดินตามเส้นทางเดิมที่ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ และพาดวงจิตของหันอวี้ซู่ไปแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นด้วย แต่กลับทำให้ข้าเกือบจะรักษาสมาธิจิตใจไว้ไม่ได้เสียแล้ว เรื่องแบบนี้ ก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็…ถ้าไม่ต้องทำก็อย่าทำดีกว่า การตายของหันอวี้ซู่ต้องปิดบังอำพรางไว้ให้ลึก หากข้าไม่กล้าพูดให้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลฟังก็จะไม่มีใครได้รู้เรื่องนี้ แต่ช่วงนี้ต้องยังไม่มีใครสัมผัสได้อย่างแน่นอน ฟ้าดินเล็กสองชั้นของหันอวี้ซู่เอง บวกกับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งของข้าที่เป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง มากพอจะอำพรางความลับใหญ่นี้ไปได้นานหลายปีแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้ายังมีของขวัญพบหน้าที่ไม่เล็กอีกชิ้นหนึ่ง รอคอยให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนใดของฝ่ายตรงข้ามมารับไปยามที่มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ความลับยามใด ข้าล้วนสัมผัสได้ จะดีจะชั่วก็พอรู้ได้คร่าวๆ และช่วงเวลานั้นก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายควรมาพบหน้าพูดคุยกันได้แล้ว”
หยางผู่พลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน หันเจี้ยงซู่ผู้นั้นคล้ายจะกำลังแอบฟังบทสนาของพวกท่าน”
เพราะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเฉินบาดเจ็บสาหัสเกินไป จึงไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง ดังนั้นหยางผู่จึงสังเกตเห็นว่าหันเจี้ยงซู่ผู้นั้นเพ่งสายตามองมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา อาศัยการขยับริมฝีปากของผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาวิเคราะห์เนื้อหาคร่าวๆ ที่พวกเขาพูดคุยกัน
เฉินผิงอันรีบหันหน้าไปจ้องมองหันเจี้ยงซู่ทันที
ส่วนเจียงซ่างเจินก็ไม่ต้องรอให้เฉินผิงอันเอ่ยมากความ เขาก็กุมหมัดยิ้มเอ่ยกับจุดหนึ่งบนม่านฟ้า “เจ้าสำนักหันจะจากไปแล้วหรือ? ไม่พาพี่หญิงเจี้ยงซู่ไปด้วยหรือไร? สตรีที่งดงามปานบุปผาปานหยกเช่นนี้ ตกอยู่ในกำมือของข้าผู้แซ่เจียงก็น่าเป็นกังวลเรื่องชื่อเสียงนะ ไม่สู้เจ้าสำนักหันกลับยอดเขาเสินจ้วนไปพร้อมข้าและสหายเฉินดีไหม? ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาก็เข้าใจกันได้แล้ว”
ระหว่างการพูดคุยด้วยรอยยิ้มอย่างผ่อนคลายของคนทั้งสอง ก็คือการตัดสินเรื่องที่ว่าพื้นที่มงคลสามขุนเขาและสำนักว่านเหยาจะอยู่หรือจะล่มสลาย
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่อันที่จริงเจียงซ่างเจินกลับเคยคิด เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
หันเจี้ยงซู่เอ่ยเสียงหนัก “ข้าอยู่ที่นี่ก็ได้ ไปเยือนยอดเขาเสินจ้วนเป็นเพื่อนอดีตเจ้าสำนักเจียงสักครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่านางพูดกับหันอวี้ซู่
แม้ว่าหันเจี้ยงซู่จะยังคงสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยของบิดา แต่หันเจี้ยงซู่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด หากตนสามารถตามหาเบาะแสของเซียนเหรินคนหนึ่งได้ ก็ย่อมหมายความว่าเซียนกระบี่สองคนที่อยู่บนขั้นบันได มีแต่จะตามหาบิดาของนางได้เร็วกว่าตัวนางเอง คนอย่างเจียงซ่างเจินผู้นี้ หากเสียสติขึ้นมา ใครบ้างที่เขาไม่กล้าสังหาร? คิดดูแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บิดายอมออมมือต่อเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าผู้นั้น หมาบ้าตัวใหญ่สุดของใบถงทวีปตัวนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนกล้ากัดไปหมด! ในช่วงต้นและช่วงท้ายของสงครามใหญ่ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เจียงซ่างเจินประมือด้วยก็มีเฟยเฟย หยวนโส่ว รวมไปถึงเซียนกระบี่โซ่วเฉินที่เข้ารับตำแหน่งบัลลังก์ราชาแทน นอกจากนี้ยังมีปีศาจใหญ่ฉงกวงที่คุมเชิงอยู่บนและล่างภูเขามานานหลายปี ปีศาจใหญ่ตนนี้ก็ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นสู่บัลลังก์สูงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในช่วงท้ายของสงครามเช่นเดียวกัน
เรื่องที่ทำให้หันเจี้ยงซู่กริ่งเกรงอย่างแท้จริงก็คือถ้อยคำที่เซียนกระบี่ลัทธิเต๋าคนนี้พูดหลังจากที่สงครามใหญ่ของวันนี้ปิดฉากลง นั่นคือเลือกจะเรียกเจียงซ่างเจินว่า ‘เจ้าสำนักเจียง’ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินเองก็พร่ำเรียกอีกฝ่ายว่าสหายของข้า พี่น้องของข้า นี่เป็นปัญหายุ่งยากกว่าคำเรียกแทนตัวว่า ‘เต้าเหย่’ เสียอีก เพราะเห็นได้ชัดว่าคำพูดหนึ่งบอกให้เห็นถึงความห่างเหิน อีกคำพูดหนึ่งกลับแสดงถึงการประจบสอพลอ นี่จึงหมายความว่าสำนักที่เซียนกระบี่ลัทธิเต๋าแซ่เฉินคนนี้อยู่ จะต้องยิ่งใหญ่น่าเกรงขามมากกว่าสำนักกุยหยกเสียอีก…เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่ว? เฉินผิงอัน?
หันเจี้ยงซู่พลันหมดสติไปอีกครั้ง ถูกบีบให้ต้องเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
เจียงซ่างเจินที่ถูกเรียกขานว่าหนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหริน วิชาอภินิหารไม่ได้มีแค่การเข่นฆ่าเอาชีวิตเท่านั้น แต่มีความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน น่าเสียดายก็แต่คนที่เป็นศัตรูกับเจียงซ่างเจิน ส่วนใหญ่มักจะมิอาจเปิดปากอธิบายให้คนอื่นฟังถึงความแปลกพิสดารของใบหลิวนั้นได้แล้ว
เหตุใดเจียงซ่างเจินถึงได้กริ่งเกรงเจ้านครแห่งนครจักรพรรดิขาวถึงเพียงนี้ ระดับความกริ่งเกรงยังถึงขั้นเหนือกว่าเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อีกด้วย? แน่นอนว่าเป็นเพราะในบางเรื่องราว เจียงซ่างเจินกับเจิ้งจวีจงก็คือคนบนเส้นทางเดียวกัน อีกทั้งเจียงซ่างเจินยังยอมรับว่าฝีมือตัวเองสู้คนเขาไม่ได้ เป็นผู้เยาว์ของอีกฝ่าย
กักความคิดและจิตวิญญาณของหันเจี้ยงซู่เอาไว้ก่อนโดยพลการ จากนั้นเจียงซ่างเจินถึงได้ใช้เสียงในใจพูดว่า “คำกล่าวที่ว่าภูเขาลั่วพั่วและเฉินผิงอันนี้ ได้พูดออกจากปากไปแล้ว หันเจี้ยงซู่แม้จะโง่ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้นไร้ทางเยียวยาจริงๆ หลังจากนี้ย่อมต้องขบคิดได้อย่างแน่นอน นี่จึงเป็นปัญหาอยู่บ้าง ให้ข้าช่วยจัดการให้เจ้าดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? รอประโยคนี้ของเจ้าอยู่พอดี หากทำสำเร็จ ตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งก็สามารถปรึกษากันได้”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เจ้าคือเจ้าขุนเขา ใครจะมาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งก็เป็นแค่เรื่องของคำพูดประโยคเดียวไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันอดด่าขำๆ ไม่ไหว “ผายลมเจ้าน่ะสิ ภูเขาลั่วพั่วของข้าหาใช่ว่าข้ามีสิทธิ์ออกเสียงเพียงคนเดียวสักหน่อย”
เจียงซ่างเจินโยนเหล้าไปให้หนึ่งกา “ฉวยโอกาสตอนที่พี่หญิงเจี้ยงซู่ยังนอนหลับฝันหวาน พวกเรามาดื่มเหล้ากันสักกาก่อน”
คู่พ่อลูกห้าขอบเขตบนอย่างหันอวี้ซู่ หันเจี้ยงซู่นี้ ได้มาเจอกับคู่เจ้าขุนเขาผู้ถวายงานอย่างเฉินผิงอันและเจียงซ่างเจิน ก็คงต้องบอกว่า…ออกจากบ้านไม่ได้จุดธูป ไม่ได้พลิกเปิดปฏิทินเหลืองดูก่อนจริงๆ
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ฝึกตนบนภูเขาต้องฝึกอบรมจิตใจด้วย ประสบการณ์ในโลกโลกีย์จะมีน้อยไม่ได้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “การที่สังหารหันอวี้ซู่ เพราะข้ามีเหตุผล ไม่ได้เรียบง่ายแค่เพราะสำนักว่านเหยาคิดจะแตะต้องภูเขาไท่ผิงเท่านั้น”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ทำตัวห่างเหินแล้วใช่ไหม? นี่ไม่ทำให้เสียความรู้สึกกันหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันตบแขนเจียงซ่างเจิน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
เจียงซ่างเจินเองก็ตบหลังมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจียงซ่างเจินยังต้องให้คนมาสงสารด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าสงสารเกินไปแล้ว ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!