เฉินผิงอันถาม “บ่อไข่มุกมรกตแห่งนั้นสามารถคงความงามของสตรีได้จริงหรือ?”
ไต้หยวนเอ่ยเสียงเบา “บอกกับผู้อาวุโสตามตรง ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งสิ้น ก็แค่ว่าทุกปีจะไปเอาหิมะที่สะสมอยู่ในทะเลสาบหิมะบนยอดเขามาหลายร้อยจิน เป็นเหตุให้น้ำในบ่อมีโชคชะตาน้ำเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน จากนั้นแอบโปรยพืชพรรณดอกไม้หายากลงไปในบ่อ สีของบ่อน้ำจึงสดใสกว่าเดิมมาก จากนั้นจึงเชิญผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และฮองเฮาทุกพระองค์ของราชวงศ์สกุลอวี๋ให้มาช่วยพูดจาดีๆ ถึงบ่อไข่มุกมรกตสองสามคำก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ราชวงศ์สกุลอวี๋ไม่นับว่าอยู่ใกล้ที่นี่ ตระกูลโหวแห่งนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีปที่พวกเจ้ากอดขาใหญ่เอาไว้ก็ไม่ใช่สำนักชั้นสูงอะไร เป็นเพียงแค่หนึ่งในแซ่สกุลใหญ่ไม่กี่สกุลของนครมังกรเฒ่าเท่านั้น แต่กลับทำให้สหายไต้มีความกล้าถึงขนาดเดินทางไกลเป็นพันลี้มาหวังครอบครองภูเขาไท่ผิงเช่นนี้ เพราะคิดจะงัดข้อกับสำนักว่านเหยาและเสี่ยวหลงชิวหรือ?”
ไต้หยวนรีบอธิบายให้ชัดเจนทันที “นี่คือความต้องการของบรรพจารย์เกา ข้าน้อยเองก็เลอะเลือนมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าบรรพจารย์มีคำสั่งจึงไม่กล้าไม่ทำตาม”
ไต้หยวนยังคงให้ความร่วมมือด้วยการอธิบายให้ผู้อาวุโสข้างกายผู้นี้ฟังต่อไปด้วยความอดทน “ส่วนตระกูลโหวของนครมังกรเฒ่านั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่ได้ดิบได้ดี พลังการรบแกร่งกร้าว ทุกวันนี้ได้กลายเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูแล้ว และยังมีวิญญูชน ‘เจิ้งเหริน’ อีกคนหนึ่งที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะมารับหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาในใบถงทวีปเรา! อันที่จริงสำนักของพวกเราและฮ่องเต้สกุลอวี๋ต่างก็ได้ยินข่าวกันมาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาวิญญูชนสำนักศึกษาผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับทางตระกูลมาโดยตลอด แต่ว่าเรื่องแบบนี้เราไม่กล้าไม่เห็นเป็นสำคัญจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากผู้ฝึกตนใบถงทวีปอย่างพวกเจ้าจริงๆ ไม่คิดว่าจะตกต่ำถึงขั้นที่ต้องไปสืบข่าวเล็กๆ น้อยๆ จากแจกันสมบัติทวีปแล้ว”
ไต้หยวนถอนหายใจ “แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ร้ายกาจมากนี่นา”
เฉินผิงอันเอ่ย “เอาเถอะ ตามนี้แหละ เรื่องในวันนี้สหายไต้ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน ไม่แน่ว่าวันใดข้าอาจไปเยี่ยมเยือนที่ภูเขาของเจ้า สหายไต้เล่ามามากมายถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าได้รับประโยชน์มากเลยทีเดียว”
ไต้หยวนค้อมเอวก้มหัว ประสานมือคารวะ “ผู้อาวุโสก็แค่เป็นดั่งเทพเซียนที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์แล้วสอบถามเทพแห่งผืนดินเท่านั้น ผู้เยาว์ได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยเหลือท่าน ช่างเป็นบุญกุศลที่สะสมมาเมื่อชาติปางก่อนจริงๆ”
เฉินผิงอันตบไหล่ของผู้ฝึกตนโอสถทอง “สหายไต้กลับคืนไปยังบ้านเกิดได้อย่างสบายใจ แค่ต้องจำไว้ว่าอะไรที่ไม่ควรพูด ต่อให้ถูกตีตายก็อย่าได้พูด หาเหตุผลสักข้อกลบเกลื่อนให้ผ่านด่านไป ส่วนทางฝั่งของผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่เสี่ยวหลงชิวนั้น ข้าจะช่วยไกล่เกลี่ยให้เจ้าเอง จะไม่ยอมให้เขาเคียดแค้นเจ้าแม้แต่นิดเด็ดขาด”
ไต้หยวนมีสีหน้ามึนงง จากนั้นหัวใจก็พลันบีบรัดตัวแน่น
ไกล่เกลี่ยอะไรกัน? ไม่ต้องสักหน่อย เวลาปกติข้าผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสก่อกำเนิดจากเสี่ยวหลงชิวผู้นั้นพูดคุยกันอย่างถูกชะตามากเลยนะ ไม่ว่าจะมีธุระไม่มีธุระก็จะต้องชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน มีชีวิตดั่งเทพเซียนยิ่งนัก
เฉินผิงอันเหล่ตามองโอสถทอง
ไต้หยวนรีบยกมือขึ้นกุมกันอีกครั้งทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว ผู้เยาว์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เห็นว่าสีหน้าของผู้อาวุโสยังคงไม่เป็นมิตร ไต้หยวนก็พลันกระจ่างแจ้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอายใจ รีบหยิบก้อนหมึกโบราณส่งกลิ่นหอมก้อนหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ ประคองถือไว้ด้วยสองมือ “ผู้อาวุโสโปรดรับเอาไว้ นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของผู้เยาว์ ได้ยินเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นของสกุลอวี๋บอกว่าวัตถุชิ้นนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา มีชื่อว่า ‘หมึกนักพรตเต๋าสนใต้ดวงจันทร์’ เนื่องจากทุกๆ คืนที่มีแสงจันทร์ บนหมึกโบราณก็จะมีนักพรตน้อยตัวหนึ่งเดินไปเหมือนแมลงวัน คอยสอบถามคำถาม คำตอบก็คือ ‘ทูตสนดำ ขุนนางแก่นหมึก’ คือบุคคลเก่าแก่ในพระราชวังของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ว่ากันว่าฮ่องเต้จะประทานให้แค่ขุนนางฝ่ายบุ๋นของสำนักฮั่นหลินที่อายุน้อยมีความสามารถมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันรับก้อนหมึกมาแล้วโบกมือ
ไต้หยวนขอตัวจากไปด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นสุขุม แรกเริ่มเขาทะยานลมจากไปอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งเร่งทะยานลมอย่างเต็มกำลัง เพียงไม่นานเรือนกายก็หายวับไป
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักบนนิ้วเล็กน้อย เตรียมจะขยี้ก้อนหมึกให้แหลกสลาย
เจียงซ่างเจินกลับเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ต้องการ สามารถขายให้ข้าได้”
เฉินผิงอันยิ้ม หยุดการกระทำบนมือลง หมึกโบราณก็ไถลเข้าไปในชายแขนเสื้อ
เจียงซ่างเจินค่อนข้างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าทางจิตใจของเฉินผิงอัน จึงลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่ก่อกำเนิดจากเสี่ยวหลงชิวผู้นี้ ข้าจะช่วยไล่ไปให้เอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เจียงซ่างเจินทำอะไร มีแต่จะรอบคอบรัดกุมยิ่งกว่าตน
เขาเดินมานั่งลงบนขั้นบันไดหน้าประตูภูเขา
เฉินผิงอันค้นพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจการถามใจในความฝันที่สองของชุยฉานบ้างแล้ว
หยางผู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกาเหล้าใบนั้นขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอำลา “เจ้าขุนเขาเฉิน ผู้เยาว์คิดว่าจะกลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว”
เฉินผิงอันรีบเก็บความคิดกลับคืน ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ย “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลๆ”
เฉินผิงอันเก็บมือมาแล้วก็ยื่นหมึกโบราณก้อนนั้นให้กับหยางผู่ ยิ้มเอ่ยว่า “จะเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้”
หยางผู่ก้มหน้าลงมองกาเหล้าในมือตนแล้วมองก้อนหมึกในมือของเจ้าขุนเขาเฉินอีกครั้ง ก่อนจะรับมันมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะอีกรอบ
หลังจากมองส่งหยางผู่จากไป ทางฝั่งของเจียงซ่างเจินก็จัดการกับปัญหาได้เรียบร้อยแล้ว เจียงซ่างเจินย้อนก้อนหินสีดำสนิทก้อนหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน “อย่าได้ดูแคลนของชิ้นนี้ คือหนึ่งในหินเยี่ยนอวี้ในอดีต เพียงแต่เจอกับคนที่ไม่ดี จึงไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทุกวันนี้เพียงแค่ถูกพี่ใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้นำมาใช้ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเท่านั้น ดีมากเลยล่ะ พอมีหินก้อนนี้ก็สามารถชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำทุกแห่งในทวีปได้ หากตาเฒ่าสวินยังอยู่ จะต้องแย่งชิงกับเจ้าแน่นอน ใช่แล้ว ช่วงท้ายการประชุมครั้งสุดท้ายในศาลบรรพจารย์ยอดเขาสินจ้วนปีนั้น ตาเฒ่าสวินให้ข้าฝากคำพูดมาบอกกับเจ้า ปีนั้นเป็นเขาที่ทำอะไรไร้คุณธรรมจริงๆ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป”
เฉินผิงอันพยักหน้า “สามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรไม่ยอมรับ…ก็ได้แต่ต้องยอมรับแล้ว สรุปก็คือบุญคุณความแค้นส่วนตัวบางอย่าง ไม่ถ่วงรั้งการเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่แท้จริงของผู้อาวุโสสวิน”
เจียงซ่างเจินสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย “มีประโยคนี้ของเจ้าก็เพียงพอมาแล้ว ชั่วชีวิตนี้มองดูเหมือนตาเฒ่าสวินไม่สนใจหน้าตา แต่ที่จริงกลับสนใจมันมากที่สุด เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าสำนักคนหนึ่ง เรื่องราวหลายอย่างจึงไม่อาจเป็นดังใจเขาได้เสมอไป”
เฉินผิงอันถาม “ศิษย์พี่จั่วของข้าล่ะ?”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ไม่มีข่าวที่แน่ชัด ข้าแค่ได้ยินว่าปีนั้นเขากับเซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เข้าไปถามกระบี่กันยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างผ่านหนึ่งในประตูใหญ่หลายแห่งที่กลายเป็นซากปรักซึ่งโผล่มาเหนือมหาสมุทร บางคนก็บอกว่าอาจารย์จั่วร่วมมือกับเซียวสวิ้นเปิดม่านฟ้าไปยังสนามรบโบราณด้านนอก แต่สรุปก็คือมีเพียงเรื่องเดียวที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่กลับมา”
เฉินผิงอันถามอย่างระมัดระวัง “เทพวารีลำคลองม่ายเหอ? ตำหนักพยัคฆ์เขียวของยอดเขาเทียนแจว๋?”
สีหน้าของเจียงซ่างเจินมีเลศนัย ยิ้มเอ่ยว่า “ศาลบรรพจารย์ของตำหนักพยัคฆ์เขียวย้ายไปที่แจกันสมบัติทวีปแล้วก็มีชีวิตที่ดี รุ่งเรืองก้าวหน้า กลายเป็นผู้ถวายงานของราชวงศ์ต้าหลีแล้ว สหายเก่าของพวกเราคนนั้นเกือบจะตัดใจลงใต้กลับคืนบ้านเกิดไม่ลงเสียแล้ว ส่วนนครเซิ่นจิ่งแห่งต้าเฉวียนกับเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอท่านนั้น เจ้าไปดูเองก็แล้วกัน รับรองว่าเจ้าไม่มีทางเสียใจแน่”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!