เฉินผิงอันถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
แม่นางน้อยสองคนอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยและเหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกทันทีว่ามีคนหนุนหลังแล้ว ขนาดเหยาเสี่ยวเหยียนที่มีนิสัยนุ่มนิ่มยังอดโมโหไม่ได้ เป็นความไม่พอใจที่มาถึงอย่างเชื่องช้า
ป๋ายเสวียนรีบเอ่ยเตือนเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ด้านข้างทันที “ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ เฉิงเฉาลู่ เอาความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธออกมาหน่อย เรื่องในวันนี้ ข้ามีคุณธรรมกับเจ้ามากแล้วใช่ไหม หืม?!”
เฉิงเฉาลู่รีบคำคอย่น ร้องอ้อรับหนึ่งคำ
เฉินผิงอันฟังรายงานที่เล่าอย่างคล่องปากจากน่าหลันอวี้เตี๋ยไปรอบหนึ่งก็หันไปถลึงตาใส่ชุยตงซาน
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ แกล้งโง่
เฉินผิงอันเอ่ย “ทำได้ดีมาก วันหน้าต้องสามัคคีกัน ไม่ว่าใครก็ห้ามให้คนนอกมารังแกเอาได้ แต่อย่าลืมกฎสามข้อที่ข้าเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้”
น่าหลันอวี้เตี๋ยกระแอมสองสามทีให้ลำคอชุ่มชื่น แล้วเริ่มท่องเสียงดัง “ข้อแรก พยายามเลี่ยงการต่อสู้ที่สู้ไม่ได้ ไม่ด่าคนที่ด่าไม่ทัน พวกเราอายุน้อย แพ้คนอื่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายหน้า ขุนเขาเขียวไม่เปลี่ยนสายน้ำใสไหลยาว ค่อยๆ คิดบัญชีให้ละเอียด ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”
“ข้อที่สอง หากเป็นฝ่ายมีเหตุผล แล้วยังเจอกับการต่อสู้ที่จะไม่สู้ก็ไม่ได้ ก็ให้ต่อสู้อย่างจริงจัง ต่อสู้ให้ดี แต่ยามลงมือต้องรู้จักหนักเบา ห้ามแบ่งเป็นตายกับคนอื่นง่ายๆ เด็ดขาด ข้อที่สาม สู้ไม่ได้ก็อย่าอวดเก่ง รีบเผ่นหนีให้ไว หากหนีไม่ทันก็ก้มหัวยอมรับผิด จากนั้นไปหาอาจารย์เฉา กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา”
“นอกจากข้อตกลงสามข้อแล้วยังมีประโยคเสริมอีกหนึ่งประโยค สรุปก็คือการแสร้งเป็นหลานก่อนจะต่อสู้ก็เพื่อได้เป็นปู่ตอนที่สู้กันเสร็จแล้ว!”
ป๋ายเสวียนที่ทุกวันชอบเอาสองมือไพล่หลัง วันนี้ค่อนข้างจะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงปรบมือแสดงถึงการชื่นชมน่าหลันอวี้เตี๋ยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ชุยตงซานเองก็ปรบมือเร็วๆ ตามไปด้วย แต่เป็นการปรบมือแบบไม่มีเสียง นี่คือสุดยอดวิชาที่มีเฉพาะภูเขาลั่วพั่ว เป็นวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายเชียวนะ
ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์!
ฟังเข้าสิ การถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจครั้งนี้ คำพูดคำจาเรียบง่าย หลักการเหตุผลตื้นเขิน แต่ร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้…
เฉินผิงอันชั่งห่อสัมภาระของเฉิงเฉาลู่ในมือ ด้านในบรรจุหินฝนหมึกขนาดน้อยใหญ่เอาไว้ เอ่ยว่า “เบาไปหน่อย สามารถใส่เพิ่มได้อีกห้าหกจิน”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้ารับอย่างแรง เหยาเสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงรีบยิ้มอ่อนเอ่ยกับแม่นางน้อยทันที “เด็กผู้หญิงไม่ต้องแบกมากขนาดนั้น”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจ้าคนที่สองมือว่างเปล่าซึ่งพยายามจะซ่อนตัว “ถูกหรือไม่ นายท่านใหญ่ป๋าย?”
ป๋ายเสวียนยิ้มหน้าเป็น “นายน้อย แค่นายน้อย”
ยามอยู่กับเฉินผิงอัน แต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเสวียนมีมาดวีรบุรุษอยู่เสมอ
เจ้าตัวน้อยที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดถูกชุยตงซานใช้แขนรัดคอกระชากไปด้านหลังทันที “ไป พวกเราสองพี่น้องไปพูดคุยเรื่องความในใจกันที่ศาลาโน่น”
ป๋ายเสวียนโอดครวญทันใด “อาจารย์เฉาช่วยข้าด้วย!”
เฉินผิงอันเอ่ยห้ามชุยตงซาน ชำเลืองตามองจวนเปลือกหอยของหาดหินหวงเฮ้อแล้วยิ้มเอ่ยกับพวกเด็กๆ อย่างเฉิงเฉาลู่ว่า “พวกเจ้ากลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋กันก่อน”
พวกเด็กๆ เดินอาดๆ ออกไปจากหาดหินหวงเฮ้อ ไปยังท่าเรือริมน้ำก่อน จากนั้นค่อยไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับยอดเขาอวิ๋นจี๋ ป๋ายเสวียนที่ไร้ชีวิตชีวา พออยู่ในสถานที่ที่ไม่มีชุยตงซานก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง สบถด่าทันใด บอกว่าเจ้าลูกกระต่ายจากถ้ำมังกรขาวผู้นั้น สักวันต้องโดนกระบี่จากนายน้อยทิ่มเข้าสักที
ทางฝั่งของหาดหินหวงเฮ้อ เจียงซ่างเจินเองก็เอ่ยขอตัวลาจากไปอย่างว่องไว บอกว่าจะไปที่ภูเขาเหล่าจวินสักรอบหนึ่ง มีพี่สาวเทพธิดาที่สนิทสนมคุ้นเคยอยู่ที่นั่น ยกศาลาให้กับอาจารย์และลูกศิษย์สองคน
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งครั้ง บ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งก็เปล่งวูบแล้วหายไป สกัดกั้นฟ้าดินทันใด
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? อยู่ที่ใบถงทวีปพอดีหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “อาจารย์ว่าบังเอิญหรือไม่เล่า”
เฉินผิงอันกึ่งเชื่อกึ่งกังขา เงียบไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยเสียงแผ่ว “ได้พบเจ้าก็รู้สึกเหมือนกำลังฝันอีกครั้งแล้ว”
ชุยตงซานนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เป็นความจริง จริงแท้แน่นอน ไม่มีหนึ่งในหมื่น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองไปยังภาพแสงจันทร์กระจ่างเหนือผืนน้ำฤดูใบไม้ผลิ แล้วบนใบหน้าก็ค่อยๆ มีรอยยิ้ม
ฝันในฝัน ฝันซ้อนฝัน ตรงกับความตั้งใจ ตรงกับความไม่ตั้งใจ บนโลกที่เมฆล่องลอย เกิดดับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เดียว ประหนึ่งจริงประหนึ่งมายา แต่พอเห็นดวงจันทร์ที่ลอยกลางอากาศเหนือหาดหินหวงเฮ้อ ทำให้คนอึ้งงันโดยไม่รู้ตัว พิศชมน้ำอย่างไร้คำพูดคำจา มองดวงจันทร์ดวงใจสายน้ำอย่างเงียบงัน คืนสติมองส่องตัวเอง ออกจากบ้านข้ามแม่น้ำยิ้มร่า ถึงได้รู้ว่าข้ามีไข่มุกหนึ่งลูก มองทั่วขุนเขาสายน้ำ คล้ายหมื่นบุปผาบานสะพรั่ง ไม่กลัวฝันใหญ่เป็นดั่งดอกราตรีบานหาย ในใจปลูกต้นไม้ผลิบานหมื่นปี
เฉินผิงอันถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิ กวักมือเรียกชุยตงซาน จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางแม่น้ำนอกศาลา
ชุยตงซานขยับเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งข้างอาจารย์ ทอดสายตามองทิศไกลไปด้วยกัน
เฉินผิงอันตบไหล่ชุยตงซานเบาๆ “คงจะสบายดีสินะ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดีมากๆ พอได้พบอาจารย์ก็ดียิ่งกว่าเดิมอีก”
เฉินผิงอันกำหมัดเบาๆ ต่อยลงบนหัวใจของตัวเอง ถามลูกศิษย์ของตัวเอง “ยังดี?”
ชุยตงซานยังคงพยักหน้า “ยังดีเหมือนกัน อาจารย์ล่ะ?”
เฉินผิงอันเองก็พยักหน้า “ข้าก็ยังดีเหมือนกัน”
เฉินผิงอันวางสองมือทาบไว้บนหัวเข่า “ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วล่ะ?”
ชุยตงซานหัวเราะ “นั่นก็ยิ่งดีๆๆ เลยล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าหรือจะกล้ามาพบอาจารย์เป็นคนแรก มาเพื่อถูกด่าถูกตีหรือไร?”
เงียบกันไปพักหนึ่ง ชุยตงซานก็ยิ้มกล่าว “เล่าเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งให้อาจารย์ฟังดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “เล่ามาสิ”
ชุยตงซานกลั้นขำ “มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งชื่อว่าเจิ้งเฉียน ขอบเขตยอดเขา สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและแจกันสมบัติทวีป ปีนั้นพอสงครามสิ้นสุดลง คนที่ไปหานางเพื่อถามหมัดมีมากมายไม่ขาดสาย จากนั้นข้าก็ได้เจอกับชายชาตรีคนหนึ่งที่ไปถามหมัด พี่ชายคนนั้นเพิ่งจะขอบเขตเจ็ด แต่พูดกับข้าอย่างน่าเชื่อถือว่า ประลองกับนางไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย หมัดเดียวก็ได้นอนหลับอยู่บนพื้น แค่สงบใจรอคอยให้ฟื้นคืนมาก็ได้แล้ว พอฟื้นขึ้นมาก็แค่ไปขอเงินค่ายาให้นางชดใช้เงินได้เลย หมัดก็ได้ประลอง เงินก็หามาได้เช่นกัน”
เฉินผิงอันมีสีหน้าสงสัย ตกตะลึง จากนั้นในดวงตาก็มีแต่รอยยิ้ม สุดท้ายกลับมีความเสียใจปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “มิน่าเล่าถึงมีคนยินดีประลองหมัดกับเฉาสือสี่ครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!