กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 753

เฉิงเฉาลู่เก็บหมัด ถอยกลับไปยืนข้างกายน่าหลันอวี้เตี๋ยเงียบๆ

ป๋ายเสวียนนั่งยองอยู่บนราวรั้ว เอามือตบหัวของเจ้าอ้วนน้อย ยิ้มเอ่ย “เจ้าสุนัขรับใช้ตัวน้อย มีมาดได้ครึ่งหนึ่งของข้าแล้วนะ”

เฉิงเฉาลู่ยิ้มซื่อๆ เกาหัว ได้ออกหมัดครั้งแรกหลังจากเรียนวิชาหมัดมา รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา “น่าสนใจ เป็นท่าเดินของอู๋ซู คาดว่าคงจะเป็นลูกศิษย์เปิดภูเขาที่เขารับมาตอนอยู่ต่างถิ่น เป็นขอบเขตร่างทองที่อายุน้อยมาก”

ชุยตงซานเบ้ปาก “นี่ก็ถือว่าอายุน้อยด้วยหรือ? มาเจอกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อายุน้อยยิ่งกว่าของข้า หนึ่งหมัดปล่อยออกไป เจ้าเด็กนี่จะไม่ร่างกระเด้งกระดอนอยู่บนพื้นสามสี่รอบเลยหรือ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “หากน้องชุยจะพูดแบบนี้ วันนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “การทะเลาะกันครั้งนี้คงตีกันต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะไปปิดงานเอง พี่โจวเฝยอยู่ดื่มเหล้าที่นี่ต่อเถอะ”

เด็กชายแห่งถ้ำมังกรขาวที่ชื่อว่าหลินจื่อหน้าเขียวคล้ำ ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา จ้องเขม็งไปยังเฉิงเฉาลู่ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “บอกชื่อของเจ้ามา!”

เฉิงเฉาลู่คิดแล้วก็ตอบไปตามจริง “เพิ่งจะมีฉายาในยุทธภพพอดี หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน”

หลินจื่อโมโหจนตาแดงก่ำ เตรียมจะเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีออกมา แต่กลับถูกเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากดไหล่เอาไว้ จิตวิญญาณของเขาสะเทือนไหว ปราณวิญญาณถึงขั้นถูกกดสยบลงไป เด็กหนุ่มยิ้มบางเอ่ยว่า “หลินจื่อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ดังนั้นยามที่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เจ้าจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไปนักไม่ได้”

เด็กชายพูดอย่างมีโทสะ “กวอป๋ายลู่! โหยวชีเกือบจะถูกคนอื่นตีตายอยู่แล้ว เจ้าเห็นคนนอกดีกว่าคนกันเองงั้นรึ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารู้สึกจนใจเล็กน้อย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ? โหยวชีคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ต่อให้จะไม่ได้เรื่องแค่ไหน ไม่ระมัดระวังตัวมากแค่ไหน ต่อให้โดนหมัดหนึ่งต่อยเข้าก็ไม่ถึงขั้นถูกเด็กคนหนึ่งต่อยจนล้มไปกองอยู่บนพื้นแล้วหมดสติไปทันทีเช่นนี้ เป็นเพราะมียอดฝีมือแอบร่ายเวทกักร่างใส่โหยวชีอย่างลับๆ”

คนชุดขาวผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่บนราวรั้ว นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยิ้มร่าเอ่ยว่า “สวัสดีทุกคน ข้าคือสหายของหมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน จะตีจะด่าจะฆ่าแกง ก็เชิญทำกับข้าได้เลย”

พอชุยตงซานปรากฏตัวด้วยการนั่งยองบนราวรั้ว ป๋ายเสวียนที่เดิมทียังนั่งอยู่ตรงนั้นก็รีบไถลตัวลงมาบนพื้นทันที

กวอป๋ายลู่หันหน้าไปหาเด็กหนุ่มชุดขาว กุมหมัดเอ่ย “ผู้เยาว์กวอป๋ายลู่คารวะผู้อาวุโสเซียนซือ”

ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้า รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย อีกฝ่ายมีคนฉลาดหัวไวอยู่แบบนี้ แล้วตนจะยังราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอีกได้อย่างไร ผู้ปกป้องมรรคาสองคนที่อยู่ในจวนเซียนเปลือกหอยก็ช่างทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังนั่งดูไฟชายฝั่ง ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาเสียที มีวิธีแล้ว ชุยตงซานโบกมือให้กวอป๋ายลู่ บอกเป็นนัยว่าให้เขารีบไสหัวออกไป ก่อนจะมองไปยังหลินจื่อแห่งถ้ำมังกรขาวแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์ที่เป็นบรรพจารย์ถ้ำมังกรขาวของเจ้าคนนั้นเป็นถึงอัครเสนาบดีกลางภูเขาผู้เลื่องชื่อในหนึ่งทวีป ในฐานะที่เจ้าเป็นอาจารย์อาของโหยวชี เทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุไม่ถึงสิบขวบ มองไปทั่วทวีปก็ยังถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอันโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นลำดับศักดิ์ สถานะหรือตบะก็ล้วนวางอยู่ตรงนั้น เจ้ามีอะไรให้ต้องกลัวกันเล่า ยังมีหน้ามาพูดว่าหมัดเทพน้อยไร้เทียมทานบ้านข้าขี้ขลาดอีกหรือ? ไม่สู้ข้าช่วยเจ้าเลือกคนสักคน พวกเราสองฝ่ายมาประลองฝีมือกันสักรอบดีไหม?”

ดวงตาป๋ายเสวียนเป็นประกายเจิดจ้า ยื่นมือออกไปกดหัวใหญ่ๆ ของเฉิงเฉาลู่เอาไว้แล้วผลักออกเบาๆ ตัวเองเดินก้าวยาวๆ ออกไปเบื้องหน้า “ข้าเองๆ”

สีหน้าของเด็กชายจากถ้ำมังกรขาวเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน

ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางเย่กำลังจะเปิดปากพูด

ชุยตงซานไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง “ไปตายไกลๆ ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของอารามจินติ่งราชาบนภูเขา ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ เลยได้แต่เลือกมะพลับนิ่มอย่างถ้ำมังกรขาวมาบีบเล่น”

กระทั่งบัดนี้ในจวนเซียนหาดหวงเฮ้อถึงได้มีผู้เฒ่าสองคนที่ในที่สุดก็อดทนข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จับมือกันทะยานลมมาถึง คนหนึ่งคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่ง ขอบเขตก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเย่อวิ๋นอวิ๋น

มียอดฝีมืออย่างพวกเขาสองคนคอยปกป้องมรรคา บวกกับในกลุ่มของคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ยังมีกวอป๋ายลู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง โหยวชีขอบเขตประตูมังกร การเดินทางหาประสบการณ์ในครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าราบรื่นมาตลอดเส้นทาง คาดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะมาล้มหัวทิ่มอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเอาเสียได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ถึงอย่างไรก็ไม่น่าฟัง และการที่ผู้ปกป้องมรรคาทั้งสองคนไม่ได้รีบร้อนปรากฏตัวก็เพราะมีความกังวลในระดับขั้นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า กังวลว่าเด็กสี่คนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเจียงถ้ำเมฆาหรือไม่ก็ยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยก พวกเขาเดินทางมาหาประสบการณ์ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาครั้งนี้ เดิมทีก็เป็นการแสดงความเป็นมิตรอย่างหนึ่ง ต่อสกุลเจียงและสำนักกุยหยกอยู่แล้ว หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าแสดงการอ่อนข้อ

ไม่พูดถึงเย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน คนอีกสองคนอย่างตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่ง บรรพจารย์ถ้ำมังกรขาว ก่อกำเนิดสองคนนี้ต้องคอยระมัดระวังการประเมินความคิดจิตใจของผู้คน ให้ความระวังเรื่องกำลังไฟกับคนของยอดเขาเสินจ้วนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตู้หันหลิงที่ยังเคยไปเยี่ยมเยือนเซียนกระบี่ใหญ่เหวยอิ๋งอย่างลับๆ เป็นการส่วนตัว ภายหลังถึงได้มีสันนิบาตใบท้อเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ตู้หันหลิงกลับไม่เล่าให้บรรพจารย์ถ้ำมังกรขาวฟังแม้แต่ครึ่งคำ

เห็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามสวมชุดขาวราวกับหิมะ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็กุมหมัดคารวะ ส่วนผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของอารามจินติ่งนั้นคารวะแบบลัทธิเต๋า

ชุยตงซานยิ้มรับไว้แล้ว เพียงแต่ปากยังคงกระพือไฟต่อไปว่า “ทำไม อาศัยว่ามีคนมากอำนาจมาก คิดจะรังแกพวกเราที่มีกันไม่กี่คนหรือ ข้าเป็นคนที่มีอาจารย์นะ รอให้อาจารย์ของข้าปรากฏตัว หนึ่งหมัดกับถ้ำมังกรขาว หนึ่งเท้ากับอารามจินติ่ง พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนนั้นกุมหมัดอีกครั้ง “เซียนซือท่านนี้ล้อเล่นแล้ว ความเข้าใจผิดบางอย่างไม่มีค่าพอให้พูดถึง พวกเด็กๆ ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ไม่บ่อยนัก จึงไม่รู้หนักเบาไม่รู้ถึงความร้ายแรง”

ชุยตงซานถอนหายใจ เป็นคนที่ค่อนข้างใช้เหตุผลอีกคนหนึ่งแล้ว น่ารำคาญยิ่งนัก เขาขยับก้นไถลตัวลงมาจากราวรั้ว งอเข่าค้างแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สะบัดปลายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างเบาๆ

ป๋ายเสวียนชำเลืองตามองเด็กชายจากถ้ำมังกรขาวแล้วผายมือกวักเลียนแบบอีกฝ่าย ทั้งยังเปิดปากพูดไร้เสียง เอ่ยแค่คำว่า ตัวต่อตัว

ชุยตงซานตบหัวป๋ายเสวียน พูดสั่งสอนว่า “เจ้าโง่ หากไม่ระวังถูกเจ้าผายลมใส่ทำให้เทพเซียนน้อยห้าขอบเขตกลางของถ้ำมังกรขาวผู้นี้ตายไป ถึงเวลานั้นเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะชดใช้ได้หรือ? ต้องใช้เงินร้อนน้อย! เจ้ามีเงินหรือ?”

เหยาเสี่ยวเหยียนเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิงอวี้เตี๋ยมีเงินนะ”

น่าหลันอวี้เตี๋ยพยักหน้ารับ “เงินร้อนน้อยห้าเหรียญพอหรือไม่?”

ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “นายน้อยต่อสู้กับคนอื่นตัวต่อตัว แต่ไหนแต่ไรมาต้องลงนามเป็นตายก่อน จะต้องชดใช้ด้วยเงินกะผายลมอะไร”

ชุยตงซานพูดกับน่าหลันอวี้เตี๋ย “จำไว้ว่าต้องจดประโยคนี้ลงไปด้วย วันหน้าพอไปถึงบ้านเกิดของอาจารย์เฉาต้องได้ใช้แน่ ข้าไม่หลอกเจ้าหรอก”

ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง พูดเหมือนคนแก่ว่า “เจ้าชื่อหลินจื่อ (ออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนคนละอย่าง ชื่อจริงของตัวละครหลินจื่อคือ 麟子 ที่แปลว่ากิเลน แต่หลินจื่อที่ป๋ายเสวียนเอ่ยเรียกเขียนว่า 林子 แปลว่าป่าไม้) ใช่ไหม หลินจื่อป่าไม้เหมือนประโยคที่ว่าพอป่าไม้กว้างใหญ่ไม่ว่านกอะไรก็มีหมด (หมายถึงป่าที่กว้างใหญ่ มีนกทุกประเภททั้งนกดีและนกเลว ก็เหมือนคนที่พอมีมากเข้า ก็มีทั้งคนและคนเลวอยู่ปะปนกัน) ดีมาก ข้าเองก็จะไม่รังแกที่เจ้าขอบเขตสูงกว่าข้า อายุมากกว่าข้า พวกเรามาประลองฝีมือกันสักครั้ง สู้กันตัวต่อตัว เจ้าตีข้าตาย ฝ่ายของข้าไม่มีใครช่วยข้าแก้แค้น ข้าตีเจ้าตาย หลุมมังกรขาวอะไรของเจ้านั่นก็เชิญมาหาเรื่องนายน้อยอย่างข้าได้ตามสบาย ขอแค่ข้าขมวดคิ้วสักเล็กน้อย ก็เท่ากับว่าข้าคือบิดานอกกฎหมายที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปี…”

ป๋ายเสวียนถูกชุยตงซานใช้แขนรัดคอเอาไว้แล้ว เด็กชายกลับยังส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่เลิก “มาตีข้าสิ ตีข้าให้ตายเลย…แน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัว…หากไม่เป็นเพราะนายน้อยถูกพี่น้องห้ามไว้ เท้านี้ของข้าเตะออกไป ถีบไปบนหน้าหมาๆ ของเจ้า เจ้ากลับบ้านไปพ่อแม่เจ้าต้องถามแน่ว่าลูกชายข้าอยู่ที่ใด…มารดาเถอะ เจ้าระวังตัวให้ดี เวลาเดินตอนกลางคืนอย่าออกมาเดินคนเดียวล่ะ…”

ป๋ายเสวียนเบี่ยงตัวหันข้าง เท้าหนึ่งเหยียบบนพื้น เท้าอีกข้างเตะสะเปะสะปะอยู่กลางอากาศ สุดท้ายยังถ่มน้ำลายเต็มแรง ถือเสียว่าเป็นการเรียกกระบี่บินออกมาครั้งหนึ่ง

ชุยตงซานเกือบทนไม่ไหวปล่อยเจ้าหมาป่าน้อยตัวนี้ออกไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!