คนรุ่นเยาว์มากความสามารถที่เป็นคนท้องถิ่นของใบถงทวีปแต่กำเนิดอย่างกลุ่มพวกเขานี้ ครั้งนี้จับกลุ่มกันออกเดินทางมาหาประสบการณ์ในการสังหารปีศาจ เบื้องล่างภูเขาของใบถงทวีปทุกวันนี้ ซากปรักทุกหนทุกแห่งต่างรอคอยการกอบกู้กลับมาเจริญรุ่งเรือง เพียงแต่ว่ายังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่บนบกของใบถงทวีป บ้างก็ทำตัวลับๆ ล่อๆ อำพรางตัวซ่อนอยู่ในป่าเขา รอจังหวะฉวยโอกาสลงมือ บ้างก็สันดานยากจะเปลี่ยน เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว สร้างหายนะให้พื้นที่หนึ่ง เพียงแต่ว่ากากเดนเผ่าปีศาจพวกนี้มีเซียนดินอยู่น้อย ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนและเผ่าปีศาจที่เป็นก่อกำเนิด โอสถทอง หากไม่กายดับมรรคาสลายอยู่ท่ามกลางสงคราม ก็ติดตามกระโจมทัพใหญ่ต่างๆ อาศัยทางเข้าบนมหาสมุทรจุดที่น้ำไหลมารวมกัน (ภาษาจีนคือกุยซวี 归墟 แปลตรงตัวได้ว่ากลับคืนสู่ซากปรัก ในตำนานจีนจะหมายถึงที่ซึ่งน้ำทั้งหมดรวมถึงทางช้างเผือกไหลลงสู่ความว่างเปล่าที่ลึกที่สุด ลักษณะคล้ายน้ำวน) หนีจ้าละหวั่นไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือไม่ก็หนีไม่ทันแล้วถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใบถงทวีปที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมมือกับผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์สังหารจนสิ้นซาก
บวกกับที่ใบถงทวีปในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนของทวีปอื่นแทรกซึมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่างเช่นตระกูลโหวแห่งนครมังกรเฒ่าที่ราชวงศ์สกุลอวี๋ไปผูกมิตรด้วย และยังมีสวี่จวินเซียนกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือชวีซาน เขาก็คือหนึ่งในตัวแทนของนายท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวในใบถงทวีป และไม่ว่าคนเหล่านี้จะมาเยือนใบถงทวีปด้วยเป้าหมายใด แต่กับเรื่องของการสังหารปีศาจแล้ว ล้วนไม่เคยเลอะเลือน ดังนั้นใบถงทวีปทุกวันนี้จึงนับว่าปลอดภัยอย่างมาก พวกบรรพจารย์ของสำนักต่างๆ จึงค่อนข้างวางใจให้พวกผู้เยาว์รวมกลุ่มกันเดินทางลงจากเขาไปหาประสบการณ์
ทางฝั่งของศาลา ชุยตงซานมองเห็นคนหนุ่มสาวกลุ่มนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ หันมามองเจียงซ่างเจิน “ดูสิ เจ้าดูสิ ล้วนเป็นเพราะการกระทำต่ำช้าของสำนักกุยหยกพวกเจ้า ถึงได้ทำให้พวกผู้อาวุโสของเจ้าคนพวกนี้เป็นดั่งคนที่ขอแค่เจอลมเมฆก็พร้อมกลายร่างเป็นมังกร (เปรียบเปรยว่าคนที่ไม่ธรรมดา ขอแค่เจอโอกาสก็จะแสดงด้านที่โดดเด่นออกมา) แต่ละคนยังไม่เห็นความดีของอดีตเจ้าสำนักเจียงอย่างเจ้าแม้แต่น้อย”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ยังดีๆ ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าถูกคนด่าว่านั่งยองในหลุมส้วมแล้วไม่ยอมถ่ายมากนัก”
พรรคตระกูลเซียนใหญ่ทางแถบทิศเหนืออย่างอารามจินจิ่ง ตำหนักพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋ เสี่ยวหลงชิว และยังมีสำนักทางภาคกลางและทางภาคใต้อีกสองสามแห่ง ทุกวันนี้ล้วนถูกมองเป็นสำนักตัวสำรอง หากมองจากภาพรวมภายนอกของใบถงทวีป คือสำนักกุยหยกที่ยึดครองความเป็นใหญ่ไปเพียงลำพัง ในอนาคตพันปีก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ส่วนสำนักใบถงที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เละเทะก็เลือกที่จะปิดภูเขาอย่างรู้กาลเทศะ นอกจากนี้ตระกูลเซียนตัวอักษรจงบางแห่งที่เดิมทีมีรากฐานลึกล้ำ พลังอำนาจยิ่งใหญ่ก็ล้วนสูญเสียพลังต้นกำเนิดอย่างมหาศาลกันแทบทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ว่าควันธูปของศาลบรรพจารย์ล้วนถูกกลบไปจนหมดแล้ว ดังนั้นอารามจินติ่งภูเขาทางทิศเหนือจึงร่วมมือกับถ้ำมังกรขาวตระกูลเซียนขนาดใหญ่ของภาคกลาง และเรือนอวิ๋นฉ่าวแห่งภูเขาผูซานทางทิศใต้ ทั้งสามฝ่ายร่วมมือกันริเริ่ม รวมแล้วมีพรรคบนภูเขาทั้งสิ้นสิบหกแห่ง บวกกับพรรคใต้อาณัติของแต่ละฝ่ายอีกสามสิบสี่แห่ง ร่วมกันลงนามสัญญาภูเขาสายน้ำที่มีพลังบารมีน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ร่วมรุกร่วมรับไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้หากผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ของใบถงทวีปเกิดข้อขัดแย้งกับผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มาจากแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีป ก็จะมอบให้ผู้ฝึกตนใหญ่สองคนที่เหมือนจะกลายเป็น ‘ราชาบนภูเขา อัครเสนาบดีกลางภูเขา’ ของหนึ่งทวีปออกหน้าไกล่เกลี่ยให้
ส่วนเจ้าของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานก็คือผู้ฝึกยุทธหญิงเต็มตัวคนหนึ่ง เย่อวิ๋นอวิ๋นที่เพราะชอบสวมชุดสีเหลือง จึงมีคำเรียกขานที่ไพเราะอีกอย่างหนึ่งว่า ‘หวงอีอวิ๋น’ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนี้หลงใหลอยู่กับวิถีวรยุทธ ไม่เคยถามไถ่เรื่องทางโลก เป็นเหตุให้เรือนอวิ๋นฉ่าวกลายเป็นสถานที่ของการฝึกตนไปเกินครึ่งแล้ว นางก็ยังไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามใหญ่ นางเพียงแค่ออกจากภูเขาบ้านตัวเองไปเพียงลำพังเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีใจพร้อมตาย เดินทางไปเยือนราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเรือนอวิ๋นฉ่าวอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดนครเซิ่นจิ่งถึงยืนหยัดตระหง่านไม่ล้มลงได้ นี่กลายเป็นเรื่องประหลาดที่ใหญ่ที่สุดล่างภูเขาของใบถงทวีป เพราะตั้งแต่ต้นจนจบกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเอาแต่โอบล้อมเมืองหลวงต้าเฉวียนเอาไว้ไม่ยอมโจมตี
เพราะพันธมิตรที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่นั้นจัดขึ้นที่ท่าเรือใบท้อในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียน จึงเป็นเหตุให้ถูกเรียกขานว่า ‘สันนิบาตใบท้อ’
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “พี่โจวเฝยช่างน่าสงสารนัก”
เจียงซ่างเจินนั่งขัดสมาธิ สองมือสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ “ก็ใช่น่ะสิ ยังคงเป็นเหล่าพี่สาวเทพธิดาในภาพแยนจือที่สามารถปลอบประโลมจิตใจข้าได้”
ผู้ฝึกตนในพื้นที่ของใบถงทวีปมีความไม่พอใจต่อท่าทีที่อ่อนข้อเกินไปในเรื่องใหญ่หลายๆ เรื่องของยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยกมานานมากแล้ว บวกกับที่สำนักเบื้องล่างของสำนักใบหยกเลือกสถานที่เป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของแจกันสมบัติทวีป มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสกุลซ่งต้าหลี เหวยอิ๋งก็ยิ่งเป็นอดีตเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้งที่ได้เลื่อนขั้น ดังนั้นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปจึงรู้สึกว่านับตั้งแต่เจียงซ่างเจินมาจนถึงเหวยอิ๋ง ต่างก็มีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป ละโมบจนน่าเกลียด คิดเหยียบเรือสองแคม แต่กลับไม่เหยียบลงไปทางใดทางหนึ่ง คอยใช้ความเสียหายของใบถงทวีปทั้งทวีปแลกเปลี่ยนมาเป็นผลประโยชน์ของสำนักกุยหยกเพียงสำนักเดียว
เหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดก็คือ เจียงซ่างเจินมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมขนาดนี้กับเทียนซือใหญ่รุ่นปัจจุบัน หากเป็นพันธมิตรกับจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วเจียงซ่างเจินแสดงท่าทีแข็งกระด้างกว่านี้สักหน่อย ร่วมมือกันต่อต้านการลงใต้ฮุบกลืนอาณาเขตของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีป ออกคำสั่งห้ามเรือสินค้าที่เดินทางข้ามทวีปเหล่านั้นอย่างเข้มงวด
ใบถงทวีปในทุกวันนี้มีหรือจะถูกคนนอกมาคอยจับจ้องจนคนในขยับตัวไปทางไหนก็อึดอัด ถูกคนนอกยึดครองตำแหน่งสูงไปจนหมด แล้วยังเดือดร้อนให้ผู้ฝึกตนบ้านตัวเองต้องก้มหัวอ่อนข้อให้ผู้อื่นเช่นนี้?
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความกังวลใจ “ขออย่าให้ทางฝั่งนั้นเกิดเรื่องขัดแย้งเลย ถึงเวลานั้นจะเดือดร้อนให้พี่โจวเฝยวางตัวลำบากแล้ว”
เหมือนถูกชุยตงซานเอาดินเหลืองๆ มาขยี้เต็มใบหน้า สีหน้าเจียงซ่างเจินเต็มไปด้วยความอ่อนใจ นี่มันอะไรกับอะไรกันเล่า อย่าว่าแต่แขกจากต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งเลย ต่อให้เป็นลูกหลานสกุลเจียงบ้านตนหรือพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาเสินจ้วน กล้าไปมีเรื่องกับตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ตอนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าขุนเขาชั่วคราว เจียงซ่างเจินก็ไม่ถือสาที่จะปรนนิบัติพวกเขาด้วยกฎของตระกูล
โชคดีที่ไม่มีความขัดแย้งอะไร สตรีที่มาจากเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานผู้นั้นประทับใจในตัวแม่นางน้อยทั้งสองมาก จึงโบกมือลาพวกนาง
น่าหลันอวี๋เตี๋ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังยกมือขึ้นโบก ถือเป็นมารยาทตอบแทนกลับคืน
เพียงแต่ว่าเด็กชายเพียงคนเดียวในกลุ่มของเซียนซือกลับเงยหน้าขึ้นมองป๋ายเสวียนที่นั่งอยู่บนราวรั้ว แล้วถามว่า “เจ้ามองอะไร?”
ป๋ายเสวียนไม่ได้สนใจ
เด็กคนนั้นเดินไปข้างหน้าพลางหันหน้ากลับมาจ้องมองป๋ายเสวียนอยู่ตลอดเวลา “ป้ายถือศีลแค่ไม่กี่แผ่น โอ้อวดอะไรกัน”
ป๋ายเสวียนยังคงไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่หยิบป้ายถือศีลขึ้นมา โคลงศีรษะ เป่าลมใส่มันเบาๆ
เด็กชายหยุดเดิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าชื่ออะไร? มาเป็นสหายกันไหม”
ป๋ายเสวียนวางแผ่นหยกลง อ้าปากหาว ยังคงไม่สนใจคนวัยเดียวกันผู้นั้น
สตรีคนนั้นหันหน้ามาเอ่ย “หลินจื่อ อย่าก่อเรื่อง นิสัยของเจ้าก็เก็บเอาไว้เสียบ้าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่เมืองหลวงต้าเฉวียน ลืมเรื่องที่ตัวเองก่อไปแล้วหรือไร? ไม่กลัวว่ากลับไปถึงถ้ำมังกรขาวแล้วจะถูกอาจารย์ของเจ้าลงโทษเอาหรือ?”
สตรีขยับเส้นสายตาเล็กน้อย มองไปยังคนหนุ่มที่มีนามว่าโหยวชีแล้วบ่นว่า “เจ้าก็ไม่คิดจะควบคุมหลินจื่อบ้างเลยหรือ?”
โหยวชีเอ่ยอย่างจนใจ “แม่นางเย่ เจ้าสามารถเรียกเขาว่าหลินจื่อได้ตามสบาย แต่หากอิงตามลำดับศักดิ์ในทำเนียบของที่บ้านข้า หลินจื่อคืออาจารย์อาของข้าจริงแท้แน่นอนเชียวนะ”
เด็กชายที่ถูกเรียกว่าหลินจื่อกระตุกมุมปาก ไม่สนใจเจ้าคนใบ้ที่นั่งอยู่บนราวรั้วอีก เพียงแค่มองน่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียน เขายิ้มตาหยียกมือสองข้างขึ้นทำท่าบิดแก้ม
ป๋ายเสวียนกระโดดผลุงขึ้น นิ้วทั้งสิบสอดเข้าด้วยกัน
น่าหลันอวี้เตี๋ยรีบหันหน้ามาพูด “ไม่เป็นไร เจ้าอย่าทำตัวเหลวไหลนะ อาจารย์เฉาก็ไม่อยู่ด้วย”
เด็กชายคนนั้นหลุดหัวเราะพรืด ก่อนก้าวยาวๆ จากไป เพียงแต่ก้าวเดินไม่เร็วนัก จึงยังคงรั้งท้ายกลุ่มคน เขาหันหน้ากลับมาเปิดปากพูดแต่กลับไร้เสียง ไม่ใช่เสียงในใจอะไร แต่เป็นขยับปากน้อยๆ ยิ้มเอ่ยสองคำว่า ขี้ขลาด
ป๋ายเสวียนกระทืบเท้าลงบนราวรั้ว เอ่ยอย่างมีโทสะ “น่ารำคาญนัก!”
เพราะอาจารย์เฉาเคยกำชับพวกเขาเอาไว้ว่า ห้ามเปิดเผยตัวตนของผู้ฝึกกระบี่ออกมาง่ายๆ
อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เหมือนเฉิงเฉาลู่ที่เป็นลูกสมุนตัวน้อยของใต้เท้าอิ่นกวานที่วันๆ เอาแต่พัวพันขอให้อิ่นกวานสอนวิชาหมัดให้เสียด้วย
ป๋ายเสวียนเคยสาบานกับตัวเองลับๆ ว่า อยู่ในใต้หล้าไพศาลจะต้องเอาอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน ขอแค่เป็นการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น เขาจะต้องไม่พ่ายแพ้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!