เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “พอไปถึงแจกันสมบัติทวีป ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด จำไว้ว่าพวกเราต้องอ้อมผ่านภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็น ไม่อย่างนั้นกังวลว่าหากอดไม่ไหว ข้าอาจจะไปเป็นแขกที่ศาลบรรพจารย์ของพวกเขาก็เป็นได้”
ชุยตงซานกล่าว “ศิษย์จำเอาไว้แล้ว ระหว่างที่เดินทางจะเตือนให้อาจารย์หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าคิดอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ากลับไปถึงบ้านแล้วจะต้องทำอย่างนั้น เดินก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่งก็แล้วกัน ไปถึงยอดเขาจี้เซ่อ พวกเราค่อยมาปรึกษากันอีกที”
ชุยตงซานพยักหน้ารับเบาๆ
เฉินผิงอันพึมพำประโยคหนึ่งอยู่ในใจ
อยู่ท่ามกลางกฎทุกช่วงเวลา กฎไร้อุปสรรคทุกหนทุกแห่ง
ชุยตงซานยื่นมือมาป้องข้างปาก กระซิบเบาๆ ว่า “อาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่อยากจะกำชายแขนเสื้อของท่านน่ะ”
เผยเฉียนหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ห่านขาวใหญ่!”
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นสะบัดชายแขนเสื้อ “เอาไปได้ตามสบายเลย”
เผยเฉียนหรือจะกล้า นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ เอาศอกกระทุ้งไหล่ชุยตงซาน ห่านขาวใหญ่รีบร้องอึกอักในลำคอหนึ่งที ร่างกระเด็นออกไปในแนวขวาง พลิกตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบจนนับไม่ถ้วน หล่นลงพื้นแล้วยังกลิ้งต่อไปอีกเจ็ดแปดตลบ กระทั่งนอนตัวตรงแน่วอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันถาม “การกระทำนี้ของเจียงซ่างเจิน?”
ชุยตงซานดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย พยักหน้าเอ่ย “ทุกวันนี้เรือนอวิ๋นฉ่าวถือว่าเป็นกระแสน้ำใสท่ามกลางเทือกเขาของใบถงทวีปที่หาได้ยาก คาดว่าเจียงซ่างเจินคงจะหวังให้พี่หญิงเย่ของเขารีบมาทำความรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเอาไว้ วันหน้าจะได้สะดวกให้ไปมาหาสู่กนบ่อยๆ เพราะถึงอย่างไรรอกระทั่งน้ำลดหินผุด พวกเราป่าวประกาศเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง ด้วยนิสัยที่ปลีกตัวสันโดษของหวงอีอวิ๋นแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาพวกเราก่อน รอกระทั่งพวกเรามาก่อสำนักตั้งพรรคที่นี่ เวลานั้นภูเขาผูซานก็น่าจะเกิดความขัดแย้งกับอารามจินติ่งและถ้ำมังกรขาวแล้ว เรือนอวิ๋นฉ่าวมาเป็นพันธมิตรกับพวกเราก็ถือว่ากำลังไฟกำลังพอเหมาะพอดี เจียงซ่างเจินต้องเดาความคิดของอาจารย์ออกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ พี่น้องโจวเป็นผู้ถวายงานที่อุทิศตนทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจจนไม่มีอะไรให้ตำหนิเลยจริงๆ”
ทางฝั่งของท่าเรือนี้ เรือข้ามฟากลำหนึ่งยังคงลอยเท้งเต้งอยู่บนใจกลางแม่น้ำ นอกจากพวกเขาสามคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการทุ่มทองนับพันชั่งของเจียงซ่างเจิน จนถึงตอนนี้นักท่องเที่ยวของยอดเขาอวิ๋นจี๋และภูเขาเหล่าจวินจำนวนไม่น้อยต่างก็ยังถูกกักตัวไว้ที่หน้าประตู ไม่อาจอาศัยหาดหินหวงเฮ้อผ่านไปยังจุดชมทัศนียภาพแห่งอื่นได้ เว้นเสียจากว่าเลียนแบบเผยเฉียนที่มีความกล้าหาญและมีความสามารถจริงมาฝ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำเอาเท่านั้น
อันที่จริงบนแม่น้ำยังมีสะพายลอยอีกแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกเฉิงเฉาลู่ก็ใช้สะพานนี้ข้ามแม่น้ำกันไป หากผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหาดหินหวงเห้อหลุบตาลงมามองยังแม่น้ำใหญ่ กลับจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการบดบังทัศนียภาพอันงดงาม
เฉินผิงอันหยุดอยู่ตรงท่าเรือ เห็นได้ชัดว่าคิดจะโดยสารเรือข้ามแม่น้ำ
ก่อนหน้านี้ตนกับเผยเฉียน อาจารย์และศิษย์สองคนทยอยกันข้ามแม่น้ำมา ความเคลื่อนไหวไม่ใช่น้อยๆ สายน้ำซัดเชี่ยวกรากจนเรือลำน้อยโยกคลอนไม่หยุด ผู้เฒ่าคนพายเรือบ่นพึมพำ เกินครึ่งน่าจะกำลังสบถด่าอยู่
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากจะเอ่ยขออภัยกับเขาด้วยตัวเองสักครั้ง นี่ไม่เกี่ยวกับกับว่าผู้เฒ่าคนพายเรือที่ถ่อเรือข้ามแม่น้ำหาเงินเป็นใคร มีขอบเขตอะไร จะใช่ยอดฝีมือหลบเร้นตัวที่ชอบเป็นชาวประมงแต่งบทกวีหรือไม่
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังรอคอยให้เรือข้ามฟากขยับเข้ามาใกล้ ก็เอ่ยกับเผยเฉียนที่ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านข้างไปด้วยว่า “เมื่อก่อนไม่อยากให้เจ้ารีบร้อนเติบโต ก็เพราะอาจารย์พ่อมีความกังวลนานัปการเป็นของตัวเอง แต่ในเมื่อเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังต้องเจอกับความลำบากมาไม่น้อย อันที่จริงการเติบใหญ่เช่นนี้ก็เป็นการเติบโตอย่างหนึ่ง เจ้าก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว เพราะอาจารย์พ่อก็เคยเดินผ่านมันมาก่อนเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสายตาของอาจารย์พ่อ เจ้าก็ยังคงเป็นเด็กคนนั้นไปตลอดกาล”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “มีอาจารย์พ่ออยู่ ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยื่นฝ่ามือมาทำท่าวัดอยู่สองที หนึ่งคือวัดส่วนสูงของเผยเฉียนตอนที่อาจารย์และศิษย์จากกันในปีนั้น อีกหนึ่งคือวัดส่วนสูงของเผยเฉียนที่เฉินผิงอันคิดไว้ในใจยามที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง ยังคงไม่ถึงไหล่ของเผยเฉียนในตอนนี้ แล้วยิ้มเอ่ย “พูดก็ส่วนพูด แต่อันที่จริงในใจอาจารย์พ่อก็อดวูบโหวงไม่ได้ ส่วนสูงเพิ่มพรวดพราดขนาดนี้ อาจารย์พ่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี วันหน้าจะต้องชดใช้ให้เจ้า ใช่แล้ว หลายปีมานี้คงไม่ได้เลิกคัดตัวอักษรกระมัง?”
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “ไม่สักหน่อย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ส่วนเรื่องการกดขอบเขตป้อนหมัดนั้นก็ช่างเถิด ก่อนหน้านี้อาจารย์พ่อเพิ่งฝ่าทะลุขอบเขตได้ไม่นาน แล้วยังโดนหมัดหนึ่งไปเต็มๆ บาดเจ็บไม่เบา เจ้าก็เห็นว่าหวงอีอวิ๋นมาถามหมัดกับอาจารย์พ่อ อาจารย์พ่อก็ยังไม่ตอบตกลงเลยไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนหน้ามุ่ย แต่ในสายตากลับกลั้นยิ้ม
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่หล่นลงมาโดยที่เผยเฉียนไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงเบาว่า “ยังชอบร้องไห้เหมือนเดิม กลับไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กสักเท่าไร”
ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างโอดครวญขึ้นมา “อาจารย์ อันที่จริงศิษย์เองก็มีน้ำตาแห่งความยากลำบากอยู่เหมือนกันนะ มากมายจนวักมาไว้ในมือแล้วชมจันทร์ได้แล้วล่ะ”
“ไสหัวไป”
“ได้เลย”
เรือข้ามฟากยังไม่ทันได้เทียบท่าอย่างแท้จริง คนพายเรือผู้เฒ่าก็ใช้ไม้ไผ่ถ่อเรือในมือยันท่าเรือเอาไว้ก่อน ให้เรือทิ้งระยะห่างจากท่าจอดมาเล็กน้อย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขึ้นเรือข้ามแม่น้ำ หนึ่งคนหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ลูกค้าตัดใจควักเงินอยุติธรรมนี่ไม่ลงหรือ?”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “การกระทำก่อนหน้านี้ไร้มารยาท จึงอยากขอโทษท่านผู้เฒ่า แค่คำพูดคำจาอาจแสดงความจริงใจไม่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายเงินถือเป็นการชดใช้ให้แล้วกัน”
เผยเฉียนกุมหมัดตามอาจารย์พ่อไปด้วย เพียงแต่ว่านางพูดไม่เก่งเหมือนอาจารย์พ่อ จึงไม่เอ่ยอะไร
คนพายเรือเฒ่าคลี่ยิ้มทันใด รีบปล่อยมือจากไม้พาย เรือข้ามฟากจึงกระทบกับท่าเรือเบาๆ “วิธีหาเงินของสกุลเจียงใจดำเกินไป ถึงขนาดมีสะพานลอยอยู่เหนือแม่น้ำแล้ว ยังจะไร้จิตสำนึกสั่งให้ข้ามาพายเรือข้ามฟากอีก หากไม่เป็นเพราะพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น มีกฎให้ต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นการข้ามแม่น้ำวันนี้ก็คงไม่ให้ลูกค้าควักกระเป๋าเงินแล้ว”
เฉินผิงอันจ่ายเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญ คนพายเรือผู้เฒ่าเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ หันหัวเรือให้เอียงข้างเทียบท่า ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหัวเรือของเรือลำเล็ก
คนทั้งสามขึ้นเรือ เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงหัวเรือ เผยเฉียนนั่งต่อจากอาจารย์พ่อ สองมือกำเป็นหมัดวางเบาๆ ไว้บนหัวเข่า ส่วนชุยตงซานนั่งอยู่ตรงกลางเรือลำน้อยเพียงลำพัง โยนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งลงน้ำ มองดูคล้ายใช้ชายแขนเสื้อตกปลา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!