พรรคของผู้เรียนวรยุทธแห่งหนึ่งมักจะมีแค่อาจารย์และศิษย์สองคนเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่ามีปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางคนหนึ่งแล้ว ยังมีขอบเขตยอดเขาอายุน้อยอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างยิ่ง
สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของอู๋ซูทำให้คนนับถือจริงๆ
เย่อวิ๋นอวิ๋นรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาทั้งสิ้นสิบกว่าคน บวกกับตลอดทั้งภูเขาผูซานที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดรับลูกศิษย์มาอีกที จากนั้นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ก็รับลูกศิษย์ ผู้ที่ฝึกวรยุทธจึงมีมากหลายร้อยคน ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังไม่มีใครได้เลื่อนขั้นเป็นยอดเขา ต่อให้เป็นเซวียไหวที่คุณสมบัติดีที่สุดและตั้งใจมานะฝึกวิชาหมัดอย่างถึงที่สุด หากไม่ผิดไปจากที่คาด ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่อาจฝ่าคอขวด ‘พลิกดิน’ ของขอบเขตเดินทางไกลไปได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขา ใช้หมัด ‘คว่ำฟ้า’ พัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางเลย
เจียงซ่างเจินใช้ก้นดันราวรั้วไว้เบาๆ โยนเกาเหล้าที่ว่างเปล่าลงไปในแม่น้ำ ยืดตัวขึ้นยืนตรง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อโจวเฝย เฝยที่แปลว่าอ้วน อ้วนดั่งคำกล่าวที่ว่าหนึ่งคนผอมทั้งทวีปอ้วนน่ะ พวกเจ้าคงมองไม่ออกกระมัง อันที่จริงข้ากับพี่หญิงเย่มีความสัมพันธ์ราวกับพี่สาวน้องชายแท้ๆ เลยล่ะ”
ตอนที่เจียงซ่างเจินแนะนำตัวเอง เขาไม่คิดจะมองเซวียไหวและกวอป๋ายลู่แม้แต่น้อย เอาแต่จับจ้องแม่นางน้อยคนเดียว
เซวียไหวสีหน้าไร้อารมณ์
กวอป๋ายลู่แค่คิดว่าเป็นคำพูดหยอกล้อของผู้อาวุโสบนภูเขาคนหนึ่งที่ไม่ทำลายความสุภาพ
เย่เสวียนจีกลับไม่เข้าใจ เหตุใดบรรพจารย์บ้านตนถึงยังไม่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
หวงอีอวิ๋นแห่งภูเขาผูซาน เนื่องจากมีรูปโฉมงามล้ำ หลายครั้งที่นางออกหมัดล้วนทำให้พวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ตาไร้แววได้รับบทเรียน ความจำดีกันมากขึ้น
เจียงซ่างเจินขยับสายตาขึ้นด้านบน มีคนที่ถือโอกาสมาร่วมวงความครึกครื้นอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่มีทำเนียบนักพรตเต๋า ไม่มีระบบสืบทอดสายเต๋า แต่กลับสวมชุดคลุมอาคมของลัทธิเต๋าจากอารามจินติ่ง ขอบเขตต่ำเตี้ยมาก ทว่าส่วนสูงกลับเป็นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่
ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้คารวะเย่อวิ๋นอวิ๋นด้วยพิธีการของลัทธิเต๋า “ผู้ถวายงานหลูอิงแห่งอารามจินติ่งคารวะเจ้าขุนเขาเย่”
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร แค่แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นไม่ได้ยิน
หลูอิงผู้นี้มีชื่อเสียงไม่ดี ทุกวันนี้เป็นขุนนางผู้ประคับประคองมังกรของเจ้าอารามตู้ราชันบนภูเขา คางคกขึ้นวอก็มักจะผยองพองขน ทำอะไรไร้กฎเกณฑ์ไม่มีความพิถีพิถัน
ถูกหวงอีอวิ๋นเมินเฉย หลูอิงไม่มีท่าทางผิดปกติแม้แต่น้อย จิตแห่งมรรคาไร้คลื่นกระเพื่อม เดิมทีก็เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก
ด้านล่างภูเขาข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ ต้นไม้แห่งมรรคาบนภูเขาก็มีบุปผาหลากสีผลิบานเช่นเดียวกัน จะสานสัมพันธ์ผูกมิตรได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับกันได้
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่ง หลูอิงผู้ฝึกตนก่อกำเนิด กับผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเสี่ยวหลงชิวนั้นมีวิธีการพอๆ กัน เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระมาก่อน วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่นานหลายปี ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ตระกูลเซียนอักษรจงสูงส่งมิอาจปีนป่าย พอขอบเขตสูงมากพอ แต่ชื่อเสียงกลับแย่เกินไป และหากไม่ใช่พรรคตระกูลเซียนที่เป็นสำนัก พวกเขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา สูงก็ไม่ดีต่ำก็ไม่ได้ หากจะบอกให้ตั้งพรรคขึ้นมาอีกก็ขาดรากฐานทุนรอน อีกทั้งชื่อเสียงที่อยู่ด้านนอก มีผู้ฝึกตนอิสระคนใดบ้างที่บนร่างไม่แบกคดีบุญคุณความแค้นบนภูเขาเอาไว้บ้างเลย ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้บ้างเลย? ก็เหมือนอย่างหลูอิงที่มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับนักพรตภูเขาไท่ผิงอย่างมาก หลูอิงเพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็จงใจข้ามผ่านอาณาเขตของพรรคทั้งหลาย แล้วเลือกเอาราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างจะกันดารห่างไกล ไปทำตัวเป็นเทพเซียนผู้อาวุโสที่เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน คิดจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรอย่างไรก็ได้ ผลคือเกือบจะถูกนักพรตหญิงหวงถิงที่ลงภูเขาไปหาประสบการณ์ในยุทธภพเพียงลำพังใช้กระบี่เดียวฟันตาย ตอนนั้นหลูอิงอุตส่าห์หวังดี หวังจะไปผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับสาวงาม สตรีนางนั้นก็จริงๆ เลย พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็เปิดฉากต่อยตี ประเด็นสำคัญคือนางไม่เคยบอกชื่อแซ่ตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนั้นหวงถิงเพิ่งจะเป็นขอบเขตโอสถทอง อีกทั้งยังใช้เวทคาถารับมือกับศัตรู อันที่จริงการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจพูดได้ว่าแพ้ชนะห่างกันมาก ดังนั้นจนกระทั่งถึงท้ายที่สุด หลูอิงถึงได้รู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไหนไม่ชอบโอ้อวดทำเนียบของตัวเองแบบนี้บ้างเล่า?
สุดท้ายโชคดีหลบหายนะที่ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำแผ่นดินของหนึ่งทวีปจมดิ่งครานั้นมาได้ เห็นว่าตู้หานหลิงแห่งอารามจินติ่งคือวีรบุรุษผู้กล้าของพื้นที่หนึ่ง จะต้องอาศัยโอกาสนี้ลุกผงาดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน หลูอิงจึงตรงดิ่งมาสวามิภักดิ์ต่ออารามจินติ่ง ตู้หานหลิงเองก็ยอมตัดใจทุ่มเงินทุนให้หลูอิงคว้าตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่มีน้ำหนักมากอย่างถึงที่สุดไปครอง หลูอิงจึงยิ่งวิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศเพื่ออารามจินติ่งอย่างถวายหัว หลูอิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับ ‘นักพรตเป่าเจิน’ แห่งยอดเขาอิ่นเมี่ยว หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะหลูอิงเห็นดีในตัวเส้ายวนหรานลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาอิ่นเมี่ยว มักจะรู้สึกว่าโอสถทองหนุ่มผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้เป็นเจ้าอารามจินติ่งคนถัดไป
เย่เสวียนจีกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกับบรรพจารย์บ้านตัวเอง จู่ๆ กลับต้องสะดุ้งโหยง
ที่แท้โจวเฝยผู้นั้นอยู่ดีๆ ก็ยื่นนิ้วชี้หน้าหลูอิง พูดอย่างโมโหเดือดว่า “เจ้าคนบ้ากาม ดวงตาสุนัขของเจ้ามองอะไรบนร่างของพี่หญิงเย่ข้าน่ะ ต่ำช้า น่าขยะแขยง ทำให้คนจะอ้วก!”
เจียงซ่างเจินไม่เพียงแต่ใส่ร้ายผู้อื่น ยังแสร้งทำท่าเดินวนมาหยุดอยู่หน้าเย่อวิ๋นอวิ๋น ราวกับว่าต้องการยืดอกปกป้องนางจากสายตาของหลูอิง
หลูอิงเงียบเฉย ทั้งไม่ได้อธิบายอะไรกับหวงอีอวิ๋น แล้วก็ไม่ได้มีโทสะต่อเจ้าคนที่สมองมีรูผู้นี้ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าเทพเซียนลัทธิเต๋ามีมาดของเซียนอย่างเต็มเปี่ยม บ่มเพาะอบรมตนได้อย่างดีเยี่ยม
กวอป๋ายลู่ขมวดคิ้วน้อยๆ
แม้จะบอกว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้มีความทรงจำที่ธรรมดาต่อหลูอิงที่พยายามเต็มที่ในการผูกมิตรกับตน แต่โจวเฝยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้พูดจาเหลวไหล ยุแยงให้ร้ายคนอื่น ถึงอย่างไรก็ชวนให้คนรำคาญมากกว่า
บางครั้งคำพูดไม่กี่คำของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็สามารถทำร้ายคนอื่นให้ตายได้เลย
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองเด็กหนุ่ม จุ๊ปากเอ่ยว่า “จอมยุทธน้อยเจ้ายังอ่อนเยาว์เกินไปนัก ไม่เข้าใจสายตาลับๆ ล่อๆ และความคิดจิตใจที่โสมมของบุรุษแก่ๆ บางคนหรอก”
เย่เสวียนจีกะพริบตาปริบๆ ‘โจวเฝย’ ที่มีชื่อประหลาดผู้นี้กล้าพูดจาไร้ยำเกรงต่อหน้าท่านย่าบรรพจารย์ของนาง ช่างร้ายกาจเสียจริง
เพียงแต่ว่าโจวเฝยบอกว่าหลูอิงคือบุรุษแก่? แล้วเขาโจวเฝยเองเล่า? ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรอกหรือ ถึงได้เอ่ยคำพูดจากประสบการณ์ตรงแบบนี้ออกมาได้?
เจียงซ่างเจินคล้ายจะมีจิตสัมผัส รีบหันมายิ้มเอ่ยกับแม่นางน้อยทันที “ข้าโจวเฝยปฏิบัติต่อสตรีไม่เคยปิดบัง ไม่งามก็ไม่มอง งดงามก็จะมองมากหน่อย สายตาเปิดเผยตรงไปตรงมา จิตใจก็ยิ่งกว้างขวาง เมื่อเทียบกับเจ้าคนเสเพลที่ใช้สายตาปอกลอกเสื้อผ้าของสตรีผู้นี้แล้ว แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! แม่นางเย่เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่นี้สายตาของเจ้าคนต่ำช้าผู้นี้น่าเกลียดเพียงใด หากจะบอกว่ามองภูเขาไม่ชอบความแบนราบก็แล้วไปเถอะ แต่ไอ้หมอนี่กลับมีรสนิยมแปลกประหลาดนัก สายตาไล่มองลงมาเบื้องล่างเหมือนน้ำตกที่ตกจากที่สุด สุดท้ายเห็นได้ชัดว่าจงใจหยุดอยู่บนเท้าของพี่หญิงเย่เป็นนาน”
เย่เสวียนจีไร้คำพูดตอบโต้
ขนาดเรื่องนี้เจ้าโจวเฝยยังมองออก ก็ไม่ยิ่งเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันหรอกหรือ?
เย่อวิ๋นอวิ๋นยังคงวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว เจียงซ่างเจินเป็นคนอย่างไร นางรู้ชัดเจนดี
ในที่สุดหลูอิงก็ไม่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอีกต่อไป ยิ้มเอ่ยว่า “สหายโจวท่านนี้ อย่าพูดเรื่องตลกอยู่เลย พบเจอกันบนภูเขาถือเป็นวาสนา ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้มากถึงจะถูก”
หากยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คงปล่อยให้คนผู้นี้พูดจาไปตามใจชอบ บนภูเขาจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ วิถีทางโลกจะว่าเล็กก็เล็ก อย่าให้เขาหลูอิงพบเจอเป็นการส่วนตัวก็แล้วกัน แต่ในเมื่อเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่งแล้ว ก็ต้องพิถีพิถันในเรื่องหน้าตาของเซียนซือกันสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เขาหลูอิงออกมาอยู่ข้างนอก ว่ากันในบางระดับก็ถือว่าเป็นหน้าตาของอารามจินติ่งแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้สนใจเจียงซ่างเจินที่หาเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ไม่ยินดีปล่อยให้คนทั้งกลุ่มถูกเจียงซ่างเจินพาเข้ารกเข้าพงเช่นนี้ นางใช้หลังมือตบไหล่เจียงซ่างเจิน ยิ้มถามกวอป๋ายลู่ว่า “อาจารย์ของเจ้าจะกลับมาใบถงทวีปเมื่อไหร่?”
ต่อให้หลูอิงจะเป็นคนเหลาะแหละแค่ไหนก็ไม่มีความกล้านี้ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งกล้าละโมบในความงามของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เท่ากับรนหาที่ตาย
นับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงคารวะทักทาย หลูอิงล้วนอยู่ในกฎในเกณฑ์ เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้ดีว่าเจียงซ่างเจินหาเรื่องพูดไปเอง จงใจสาดน้ำสกปรกใส่หัวหลูอิงและอารามจินติ่ง
กวอป๋ายลู่ตอบว่า “ก่อนหน้านี้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเซียนกระบี่สวีจวินที่ท่าเรือชวีซาน ตอนนี้อาจารย์ยังเป็นแขกอยู่ที่จวนสกุลหลิวธวัลทวีป ส่วนเรื่องที่ว่าจะกลับมาบ้านเกิดเมื่อไหร่ ในจดหมายไม่ได้บอกไว้”
เดินทางมาถึงท่าเรือชวีซานเขตอวี๋โจวเก่าที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสำนักกุยหยก บวกกับนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนที่อยู่ภาคกลาง และอารามจินติ่งที่อยู่ทางเหนือ
ก็คือเส้นทางที่ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเลือกใช้ เพราะได้ผ่านสถานที่ที่จำเป็นต้องผ่านเกือบสามแห่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!