“ลืมคำพูดที่ตาเฒ่าสวินพูดกับเจ้าไปแล้วหรือ? ผู้ฝึกยุทธไม่บริสุทธิ์เต็มตัว ต่อให้บรรพบุรุษประทานข้าวมาให้กิน ก็มีแต่ยิ่งกินเม็ดข้าวในถ้วยยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ เส้นทางที่เดินก็ยิ่งแคบลง เมื่อครู่นี้เจ้าเย่อวิ๋นอวิ๋นยังมีหน้ามาถามว่าเฉาโม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือไม่ เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้อย่างไร บอกตามตรง ก็เพราะว่าเขาไม่อยู่ ไม่ได้ยินประโยคนี้ของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงทำให้เขาหัวเราะตายแน่ แล้วก็จะถือว่าเจ้าหวงอีอวิ๋นถามหมัดกลับไปพร้อมชัยชนะยิ่งใหญ่แล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นได้ยินประโยคนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีเดือดดาลแม้แต่น้อย กลับกันสีหน้ายิ่งเคร่งเครียด ทุกคำล้วนฟังเข้าหู ล้วนจดจำไว้ในใจ
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอหนังเสือมาห่มกาย ก็คือการหยิบเกาลัดออกมาจากกองไฟ แต่การคบหากันระหว่างวิญญูชนต่างหากที่ถึงจะเป็นฟ้าสูงแสงจันทร์กระจ่าง พี่หญิงเย่คนดีของข้า เรื่องราวและบุคคลของเมื่อวานก็คือเรื่องราวและบุคคลของเมื่อวาน ส่วนเรื่องของวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องคิดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ตาเฒ่าสวินฝากความหวังกับเจ้าไว้มาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าใบถงทวีปที่โชคชะตาบู๊เบาบางจะสามารถมีคนที่เดินไปถึงจุดที่สูงยิ่งกว่าอู๋ซูปรากฎตัวเพิ่มอีกสักคน หากเป็นสตรีที่หมัดงดงาม คนยิ่งงามมากกว่าก็ย่อมดีที่สุด ปีนั้นครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาเยือนยอดเขาอวิ๋นจี๋ด้วยกัน ตาเฒ่าสวินจับมือของเจ้า พูดจาเมามายแต่เต็มไปด้วยความหวังดี ยกตัวอย่างเช่นเจ้าต้องเดินไปบนวิถีวรยุทธได้ไกลยิ่งกว่าเผยเปย เป็นคำที่ตาเฒ่าสวินพูดด้วยความเมามาย แต่ก็เป็นคำพูดจากใจจริงด้วย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว “มีเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นจำไม่ได้จริงๆ เพราะเวลาที่อดีตเจ้าสำนักสวินอยู่กับนาง เขาพูดมากมายเหลือเกิน
อีกทั้งเย่อวิ๋นอวิ๋นยังเคารพผู้อาวุโส ยามอยู่กับเจียงซ่างเจินจึงไม่กล้าบ่นถึงความไม่น่าเคารพของผู้อาวุโสท่านนั้นให้ฟัง
สวินยวนพูดอะไร เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่มีความทรงจำ แต่ตอนนั้นที่เขาแสร้งทำเป็นตาปรือเหมือนคนเมาแล้วคว้ามือของตนไปจับ เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับไม่ลืม
สวินยวนอดีตเจ้าสำนัก นอกจากจะทุ่มเทความคิดจิตใจเพื่อ ‘เชิญ’ นางมายังภูเขาเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลแล้ว ทุกครั้งที่พบเจอกัน สายตาที่เขามองนางมักทำให้นางรู้สึกว่าสายตาของเขาไม่ซื่อ แฝงเจตนาไม่ดี ตาเฒ่าชอบแสดงความกระตือรือร้น ปากพูดพล่ามไม่หยุด เส้นสายตาก็ขยับเคลื่อนไม่หยุดนิ่ง ดวงตากลับยุ่งยิ่งกว่า เหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งริรัก ความใจกล้าจึงมีมาก คำวิจารณ์ที่ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินใส่ร้ายหลูอิง หากเอาไปใช้กับตาเฒ่าสวินก็จะไม่ใช่คำใส่ร้ายแม้แต่น้อย
อายุมากปูนนั้นแล้วยังชอบดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ แล้วยังจะตั้งฉายาที่ระคายหูให้กับตัวเอง ชอบโปรยเงินไปทั่ว ก็โชคดีที่นอกจากศาลบรรพจารย์ของยอดเขาเสินจ้วนแล้วก็มีผู้ฝึกตนของใบถงทวีปแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ทุกครั้งที่เรือนอวิ๋นฉ่าวเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ล้วนจะมีเจ้าคนที่ใช้ฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อทุ่มเงินพลางโหวกเหวกไปด้วยว่าเทพธิดาหวงอีอวิ๋นเล่า ในมือข้ากำเงินฝนธัญพืชเอาไว้เหรียญหนึ่งนะ ขอแค่เจ้าขุนเขาเย่เห็นแก่หน้าข้า ยอมเผยตัว ต่อให้จะเผยแค่มุมหนึ่งของกระโปรงก็ได้ เงินฝนธัญพืชเหรียญนี้ก็ไม่ถือว่าไหลหายไปกับสายน้ำแล้ว หากเจ้าขุนเขาเย่ตัดใจพูดอะไรสักคำออกมา ต่อให้ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็ก เสี่ยงอันตรายที่จะถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำไปขโมยเงินที่ศาลบรรพจารย์ ก็จะยอมทุ่มชีวิตน้อยๆ นี้อย่างไม่เสียดายเพื่อสะสมเงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกหลายๆ เหรียญให้จงได้…
เจ้าสวินยวนเป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก ใครจะกล้าตัดชื่อเจ้าออกจากทำเนียบยอดเขาเสินจ้วนกัน?
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง นึกถึงตาเฒ่านั่นขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้
สุราดีมักไม่อาจล้มคนดื่มเก่ง ทว่าสาวงามกลับสามารถทำได้คนดื่มเก่งเมาตายได้
‘ตาเฒ่าสวิน จับมือน้อยๆ ของสาวงาม รสชาติเป็นอย่างไร?’
‘ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตื่นเต้นไปหน่อย มัวแต่อาย ได้แต่กล้าจับไม่กล้าบีบ ขาดทุนครั้งใหญ่เลย เด็กหนุ่มมักจะขลาดกลัวความรัก ข้ายังเป็นหนุ่มน้อยเกินไปจริงๆ’
เย่อวิ๋นอวิ๋นชำเลืองตามองเจียงซ่างเจิน รู้ว่าเขาต้องกำลังคิดถึงเรื่องสายลมบุปผาหิมะจันทรา (เปรียบเปรยถึงทิวทัศน์งดงาม เรื่องโรแมนติกหรือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ) อะไรอยู่อีกแน่นอน และต้องเป็นเรื่องที่นางไม่ยินดีจะฟังแน่
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “ก็เหมือนกับโจวเฝย เฉาโม่ เจิ้งเฉียน ต่างก็เป็นชื่อปลอมใช่ไหม?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “รอให้เจ้าได้รู้จักกับเฉาโม่อย่างแท้จริงแล้วก็จะรู้เองว่า อันที่จริงเขาเป็นคนที่จริงใจกับคนอื่นอย่างมาก ส่วนเรื่องการท่องยุทธภพ มีนามแฝงสองสามชื่อก็ไม่เห็นจะเป็นไร เป็นหลักการเดียวกับผู้ฝึกตนที่ร่ายเวทอำพรางตา ลงจากภูเขามาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์นั่นแหละ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจงใจพาข้ามาพบเฉาโม่ด้วยเหตุใดกันแน่”
เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้ม “ผูกบุญสัมพันธ์ ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ แต่ขอแค่มีการเริ่มต้นที่ดีก็ไม่มีอะไรยากอีกแล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “หากเป็นกองกำลังภูเขาของทวีปอื่นที่คิดจะมาฉกฉวยผลประโยชน์ไปจากใบถงทวีป ข้าไม่มีทางผูกมิตรด้วยแน่ อย่างมากเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานของข้าก็จะไม่ไปหามาสู่กับพวกเขาจนตาย”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า “พี่หญิงเย่ไม่ต้องรีบร้อนด่วนสรุป ไม่แน่ว่าวันหน้าโอกาสที่พวกเจ้าสองฝ่ายจะได้คบค้าสมาคมกันอาจมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็จะตั้งตารอดู”
หากเอาแต่มองเจียงซ่างเจินเป็นพวกที่ชอบพูดจาสัปดน เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก นั่นก็คงเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เป็นเรื่องไร้สาระอย่างถึงที่สุด
เจียงซ่างเจินเคยพูดประโยคหนึ่งหน้าทะเล้นว่า เกี่ยวกับเรื่องของการขึ้นเขาฝึกตน ความคิดเห็นของข้าไม่เหมือนกับเทพเซียนบนภูเขาส่วนใหญ่ ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่ายิ่งขยับเข้าใกล้กลุ่มคนมากเท่าไร ก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ตัวเองมากเท่านั้น การฝึกตนบนภูเขาแสวงหาความจริงการหลงลืมตัวเอง มองดูเหมือนว่ากลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ความจริง
และสวินยวนก็ยิ่งเคยยิ้มเอ่ยกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกุยหยกว่า ฉวยโอกาสตอนที่เจียงซ่างเจินยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ยามอยู่ในศาลบรรพจารย์จงทุบตีให้มาก ด่าให้มาก ทุบเก้าอี้ให้มาก ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว
ความนัยในคำพูดก็คือขอแค่เจียงซ่างเจินได้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบ หากปณิธานอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินที่ ‘แสวงหาความจริง’ เขาแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองแล้ว ไม่มีคอขวดใดๆ ทั้งสิ้น
และหากเจียงซ่างเจินเลื่อนเป็นเซียนเหริน ไม่ว่าคนนอกจะยังด่าทอต่อยตีเหมือนเดิมอย่างไร กลับกลายเป็นว่าทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนนั้นจะตีก็ตีไม่ได้ ด่าก็ยิ่งด่าไม่ชนะ
บนยอดเขาเสินจ้วน ทุกครั้งที่มีการประชุมรวมตัวกัน อันที่จริงก็มีแค่สามเรื่องเท่านั้น ปรึกษาเรื่องใหญ่ของสำนัก ประจบเอาใจเจ้าสำนักสวิน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันด่าเจียงซ่างเจิน
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะดูโดดเดี่ยว ดูน่าสงสารนัก วันหน้าจิตแห่งมรรคาคงจะยิ่งเงียบเหงากว่าเดิมกระมัง?
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “พี่หญิงเย่ อันดับหนึ่งบนเล่มหลักของภาพแยนจือปีนี้ก็ให้เป็นเจ้าเลยดีไหม? ไม่อย่างนั้นบนภูเขาคงถกเถียงกันมากเกินไป ไม่ว่าข้าจะเลือกใครก็ล้วนยากจะสยบใจผู้คนได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกเสียใจภายหลังกับความรู้สึกสงสารเมื่อครู่นี้ของตนอย่างยิ่ง นางแค่นหัวเราะเย็นชา “หากกล้ามีข้า ข้าก็จะทุบภูเขาเทพีบุปผานั่นให้แหลกเพื่อมอบเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ พึมพำกับตัวเองว่า “กินข้าวแล้วเลียบภูเขาดูล่าเหมย ไม่เจอดอกเหมยเจอดอกอวิ๋นฉ่าว สาวงามยืนตระหง่านสะโอดสะอง เซียนกวานลัทธิเต๋าประทินโฉม ดวงหน้าดุจพระโพธิสัตว์ หยุดนิ่งอยู่ที่ตำหนักจันทรา หญ้าขยับคนก็ขยับ เมฆจากไปใจก็จากไป”
เย่อวิ๋นอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “มีความเฉียบแหลมทางการประพันธ์ สามารถหลอกแม่นางน้อยอย่างเสวนจีได้”
เจียงซ่างเจินกลับพูดนอกเรื่อง “ในม้วนภาพภูเขาเหล่าจวินนั้น เจ้าไม่สังเกตเห็นอะไรบ้างเลยหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับ “ภาพแห่งฟ้า ปรากฎการณ์แห่งดิน อารามจินติ่งใช้ภูเขาเจ็ดลูกเป็นดาวเป่ยโต่วเจ็ดดวง ตู้หันหลิงต้องการใช้กฎฟ้าและปรากฎการณ์ดินสร้างค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำขึ้นมาแห่งหนึ่ง ช่างทะเยอทะยานนัก”
เจียงซ่างเจินปรบมือยิ้ม “พี่หญิงเย่ตาดี เพียงแต่ว่ายังมองไม่ไกลพอ ต้องเรียกว่าสำแดงเจ็ดอำพรางสองถึงจะถูก เก้าเตาต้มตะวันจันทรา ไม้บรรทัดเหล็กออกคำสั่งสายฟ้า หล่อหลอมน้ำห้าทะเลสาบ กลางคืนทอดดาวเป่ยโต่ว ใช้อารามจินติ่งเป็นแกนกลางฟ้า ตั้งใจคัดเลือกภูเขาทายาทสามแห่งออกมาช่วยสนับสนุน จากนั้นค่อยให้กองกำลังใต้อาณัติอื่นๆ คอยวางแผนในที่ลับ สร้างค่ายกลขึ้นมา ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ดังนั้นทุกวันนี้จึงขาดแค่ภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เท่านั้น หากค่ายกลใหญ่เป่ยโต่วแห่งนี้ถูกเปิดขึ้นมา อาณาเขตทางทิศเหนือของใบถงทวีปพวกเรา ตู้หันหลิงต้องการให้ใครเกิดคนนั้นก็ได้เกิด ต้องการให้ใครตายคนนั้นต้องตาย เป็นอย่างไร? เจ้าอารามตู้เป็นวีรบุรุษผู้กล้ามากเลยใช่หรือไม่? ในยุคบรรพกาลเป่ยโต่วคือราชรถ ให้เจ้านายเป็นผู้ออกคำสั่ง สร้างสี่ฤดูกาลและห้าทิศทาง การกำหนดการเคลื่อนย้ายเค้าโครงใหญ่ๆ ทั้งหลายล้วนถูกผูกติดอยู่กับเป่ยโต่ว หากเอ่ยเช่นนี้ ฉายาที่ข้าช่วยตั้งให้กับตู้หันหลิงว่าราชันบนภูเขาจะไม่ยิ่งสมชื่อเข้าไปอีกหรอกหรือ?”
ในใจเย่อวิ๋นอวิ๋นสั่นสะท้านไม่หยุด “ตู้หันหลิงเพิ่งจะเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สามารถทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ก็เพราะว่าเป็นแค่ก่อกำเนิด มีความคิดเช่นนี้ถึงได้ทำให้ข้าเลื่อมใสอย่างไรล่ะ”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่เขาเจียงซ่างเจินคนเดียวเท่านั้นที่เชี่ยวชาญการกดขอบเขต
เมื่อค่ายกลนี้บังเกิดขึ้น ต่อให้จะไม่ควบรวมภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เข้าไปด้วย เปลี่ยนเป็นสองสถานที่แห่งอื่นที่เข้ามาแทนที่ ก็ยังคงเป็นค่ายกลเป่ยโต่วที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งอยู่ดี ถึงเวลานั้นตู้หันหลิงที่เป็นขอบเขตหยกดิบนั่งเฝ้าพิทักษ์อยู่ภายในก็เท่ากับว่ามีเซียนเหรินโผล่เพิ่มขึ้นมาบนโลกอีกคนหนึ่ง
หากตู้หันหลิงสามารถทำเจ็ดสำแดงสองอำพรางได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าในอนาคตอีกหลายร้อยปีข้างหน้าอาจสามารถทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าเซียนเหรินคนหนึ่งกลายเป็นขอบเขตบินทะยานเกินครึ่งตัวก็เป็นได้
อารามจินติ่ง แรกเริ่มสุดนั้นมาจากสายรองของลัทธิเต๋าที่สร้างหอดูดาว เพียงแต่ว่าเจ้าอารามตู้หันหลิงจงใจปิดบังระบบสืบทอดของตัวเอง
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหันอวี้ซู่เซียนเหรินก็ดี หรือเป็นตู้หันหลิงที่เป็นก่อกำเนิดชั่วคราวก็ช่าง ล้วนเป็นคนฉลาดที่วางแผนลึกล้ำยาวไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!