เจียงซ่างเจินไม่ได้ตรงกลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ ไม่ได้ไปรบกวนการพูดคุยเรื่องในวันวานของพวกเฉินผิงอันสามคน แต่อยู่ต่อที่หาดหินหวงเฮ้อ แอบไปที่เปลือกหอยมารอบหนึ่ง เข้าพักในเรือนส่วนตัวตระกูลเจียงที่เอาไว้รับรองเฉพาะแขกผู้สูงศักดิ์เท่านั้น สาวใช้บ่าวไพร่ในจวนล้วนเป็นเหมือนสาวงามหนังจิ้งจอกของสกุลสวี่นครลมเย็น พื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำแห่งนี้ สีท้องฟ้าเหมือนกับของพื้นที่มงคล เจียงซ่างเจินเอากุญแจออกมาพวงหนึ่ง เปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำออก เข้าไปแล้วก็เดินขึ้นหอสูงพิงราวรั้วทอดสายตามองไปไกล ความลี้ลับของจวนเปลือกหอยจึงปรากฏในสายตาทันที ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ใต้ฝ่าเท้ามีเพียงเรือนแห่งนี้เท่านั้นที่สูงลอยพ้นเหนือทะเลเมฆ ประหนึ่งเกาะตระกูลเซียนที่ตั้งเดียวดายอยู่นอกมหาสมุทรกว้างใหญ่ ทะเลเมฆขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้จวนหลังอื่นถูกบดบังท่ามกลางเมฆขาว เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ประหนึ่งเมล็ดงาที่ลอยพ้นเหนือผิวน้ำ เจียงซ่างเจินมือหนึ่งถือพัดกลมเก่าแก่จนออกเป็นสีขาว ด้ามพัดครอบไว้ด้วยปลอกไม้ไผ่เก่าแก่จากภูเขาชิงเสิน พัดเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ มือขวาถือกาครึ่งเดือนที่เผามาจากดินชิงอวี้ จิบชาช้าๆ การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพรอบด้านของหาดหินหวงเฮ้อล้วนปรากฎอยู่ในสายตา
เจียงซ่างเจินกำลังรอคอยให้สหายเก่าคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนระบายความทุกข์กับตน เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคนพายเรือกลับไม่ปรากฎตัวเสียที มีความอดทนดีเยี่ยม ในเมื่ออยู่ว่างๆ ก็ควรหาเรื่องอะไรทำสักหน่อย เจียงซ่างเจินจึงพึมพำประโยคหนึ่งว่าอะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง เส้นสายตากวาดไปทั่ว ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฟ้ามือ ตามหาจวนที่หวงอีอวิ๋นเข้าพักเพียงลำพังก่อน กังวลว่าทางฝั่งของหาดหินหวงเห้อจะต้อนรับได้ไม่ดีพอ เมินเฉยพี่หญิงเย่ ความตั้งใจเดิมของเจียงซ่างเจินคืออยากดูให้เห็นว่าในจวนของพี่หญิงเย่ยังขาดอะไร เขาจะได้ให้คนจัดเตรียมมาให้พร้อม ผลคือพบว่าพี่หญิงเย่กำลังใช้ท่าเซียนเหรินเดินดารา (หรือปู้กัง การเดินก้าวเท้าไปตามตำแหน่งดวงดาวของกลุ่มดาวบนท้องฟ้าขณะทำพิธีเพื่ออาศัยพลังดวงดาวเพิ่มพลังให้กับผู้ประกอบพิธี) ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษภูเขาผูซานฝึกท่าหมัดท่าเดินอยู่ในลานบ้าน เจียงซ่างเจินยืดคอยาวออกไป เบิกตากว้าง คล้ายกับอยากจะเอาหน้าไปแนบอยู่บนหมัดของหวงอีอวิ๋นให้รู้แล้วรู้รอด จิตของหวงอีอวิ๋นสัมผัสได้จึงขมวดคิ้วน้อยๆ ถองศอกออกไป ปณิธานหมัดมหาศาลที่อยู่ในพื้นที่ลับเปลือกหอยประหนึ่งรุ้งขาวเส้นหนึ่งที่ห้อยลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระแทกชนจนเจียงซ่างเจินต้องรีบยกพัดบังใบหน้า พัดกระแทกเข้าหน้าของเขาเต็มแรง เจียงซ่างเจินเซถอยหลังไปหลายก้าว ใช้พัดกลมโบกเบาๆ สลายรุ้งยาวลอยกลางอากาศที่เกิดจากปณิธานหมัดรวมตัวกันนั้นออกไป
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางก็ตอแยยากเช่นนี้เอง จิตสัมผัสเฉียบคมเกินไปแล้ว
เจียงซ่างเจินรีบเปลี่ยนสถานที่ดูเป็นที่แห่งอื่น พี่หญิงเทพธิดาคนหนึ่งที่พอจะมีชื่อเสียง มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในเล่มรองของการประเมินใหม่บนภูเขาเทพีบุปผาในครานี้กำลังเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่ที่หาดหินหวงเฮ้อ นางนั่งอยู่บนโต๊ะกำลังวาดภาพ พู่กันวาดรูปสาวงามลายเส้นขาวดำ โคจรเวทคาถาบนพู่กันไปด้วย เบื้องใต้พู่กันจึงมีควันสีเรืองรองลอยขึ้นมา พลางพูดถึงว่าวันนี้นางได้บังเอิญเจอกับหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน อีกทั้งยังโชคดีได้พูดคุยกับเจ้าขุนเขาหวงสองสามประโยค ปราณวิญญาณในจวนที่นางอยู่พลันเกิดริ้วกระเพื่อมทันใด เห็นได้ชัดว่ามีคนทุ่มเงินเยอะมาก ดูจากท่าทางแล้วนอกจากเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกองแล้ว ยังมีลูกค้าใจป้ำโยนเงินร้อนน้อยเข้ามาเหรียญหนึ่งด้วย เจียงซ่างเจินโบกพัดกลม หมายจะสลายควันประกายแสงเรืองรองที่ผุดลอยขึ้นมาในม้วนภาพวาดนั้นให้จางหายไป เพราะว่ายามที่พี่หญิงเทพธิดาค้อมเอววาดภาพ โดยเฉพาะยามที่นางวางแขนข้างหนึ่งพาดขวางไว้ตรงหน้า สองนิ้วคีบจับชายแขนเสื้อของมือที่ถือพู่กันนั้น ทัศนียภาพงดงามเป็นที่สุด
เจียงซ่างเจินดื่มชาหนึ่งคำ รู้สึกเลื่อมใสในตัวพี่หญิงเว่ยท่านนี้ยิ่งนัก นางถึงขั้นสามารถ ‘คุยเล่นสองสามคำ’ กับหวงอีอวิ๋นบุคคลอันดับสองแห่งวิถีวรยุทธในทวีปได้ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยต่างกับตนสักเท่าไรเลย
นางกล้าพูดเสียจริง ส่วนคนฟังก็มีคนกล้าเชื่อจริงๆ
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลมีชื่อว่าเว่ยฉงเซียน มาจากพรรคตระกูลเซียนทางทิศใต้แห่งหนึ่ง สำนักของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับอวี้จือก่าง
นึกถึงอวี้จือก่างแห่นั้น เจียงซ่างเจินก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย บัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่ง มีจุดจบเดียวกันกับพรรคเยวียนจวี้ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายดุจก้อนเมฆ หอชมน้ำหาดซีจู่ ตำหนักเร่าเหลยบนภูเขา นึกจะหายก็หายไปทั้งอย่างนั้น เกี่ยวกับเรื่องของการสร้างอวี้จือก่างและพรรคเยวียนจวี้ขึ้นมาใหม่ ให้ควันธูปของศาลบรรพจารย์สืบทอดต่อไปอีกครั้ง ผู้ฝึกตนบนทำเนียบได้กลับมาฝึกตนอีกครั้ง นอกจากบนภูเขาที่โต้เถียงกันไม่หยุดแล้ว ทุกวันนี้ฝ่ายในของสำนักศึกษาเองก็ยังทำสงครามกันบนพู่กันเช่นกัน
คงเป็นเพราะหวงอีอวิ๋นปรากฎตัวที่หาดหินหวงเฮ้อเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น หาได้ยากยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นมรสุมบนภูเขาที่ได้แต่พบเจอไม่อาจปรารถนามาครอบครอง เกือบจะทำให้หวงอีอวิ๋นออกหมัดได้ เป็นเหตุให้แต่ละมุมของจวนทะเลเมฆเปลือกหอยมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเยอะมาก ทำเอาเจียงซ่างเจินได้แต่มองตาไม่กะพริบ สุดท้ายเขาเห็นเด็กสาวร่างอวบอ้วนคนหนึ่งสวมชุดคลุมอาคมบนภูเขาที่ทำขึ้นเพื่อผู้ฝึกตนหญิงจากเถาหลี่หยวน สีสันค่อนข้างฉูดฉาดสดใส แต่แท้จริงแล้วระดับขั้นกลับไม่สูง ถือเป็นกระโปรงที่ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาไม่แน่เสมอไปว่าจะสวมใส่ได้ แต่กลับเป็นกระโปรงชั้นต้นที่เทพธิดาซึ่งเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำจะสวมกัน นางอยู่เพียงลำพังโดดเดี่ยว พักอยู่ในจวนที่ใช้เงินเทพเซียนน้อยที่สุด พอเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของหาดหินหวงเฮ้อก็พูดพึมพำอยู่คนเดียวตลอด คำพูดติดๆ ขัดๆ มักจะหยุดพูดเพื่อครุ่นคิดหาถ้อยคำอยู่บ่อยๆ เงียบไปนานกว่าจะเอ่ยประโยคที่นางคิดว่าน่าสนใจออกมาได้ เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะไม่มีคนดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ เด็กสาวที่ออกจะอ้วนท้วนเล็กน้อยยืนหยัดอยู่ประมาณสองก้านธูป หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาแล้ว ท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง เป็นเพราะตัวเองทำให้ตัวเองตกใจไปเอง สุดท้ายก็ยอบกายคารวะอย่างเกินความจำเป็นหนึ่งทีแล้วรีบปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่หาดหินหวงเฮ้อลง
นางนั่งแปะลงบนม้านั่งหินในลานเรือนขนาดเล็ก สองมือถูกัน แอบเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนฝ่ามือ จากนั้นยกมือขึ้นถูหน้าผาก หยิบกระดาษแผ่นเล็กปึกหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ ด้านบนเขียนวลีบทกลอนที่คัดลอกเอาไว้เต็มไปหมด ทำการ ‘ทบทวนกระดาน’ อยู่กับตัวเอง แม่นางน้อยที่เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ บางครั้งก็เกาแก้ม บางครั้งก็หงุดหงิด บางครั้งก็เขินอาย สุดท้ายเก็บกระดาษแผ่นเล็กลง ชูกำปั้นขึ้นให้กำลังใจตัวเอง สุดท้ายแม่นางน้อยที่ยังคงทดท้ออยู่บ้างก็เอาใบหน้าอ้วนกลมแนบติดกับโต๊ะหิน ขมวดคิ้วน้อยๆ ถอนหายใจเบาๆ คงรู้สึกว่าตัวเองอัปลักษณ์อย่างมาก หาเงินก็ยากมากๆ เหมือนกันกระมัง
แม่นางน้อยน่ารักใสซื่อหยิบเอาวัตถุตระกูลเซียนหลายชิ้นที่ใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของคนอื่นออกมา กัดฟันหนึ่งที เลือกต้นปะการังขนาดจิ๋วต้นหนึ่งในนั้นออกมา แสงสีแดงไหลรินวิบวับ แสดงให้รู้ว่าบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกำลังเปิดทำการ นางเม้มปาก หยิบเอาเงินเกล็ดหิมะออกมาเหรียญหนึ่งอย่างระมัดระวัง หลอมมันให้กลายเป็นปราณวิญญาณบริสุทธิ์ประหนึ่งรดน้ำลงบนต้นปะการัง ภาพขุนเขาสายน้ำก็ค่อยๆ คลี่ออกมา ก็คือภาพของเทพธิดาที่วาดภาพซึ่งเป็นเพื่อนบ้านในจวนเปลือกหอยกับนางชั่วคราวคนนั้น แม่นางน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดมองดูทุกการกระทำทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะทุกรอยยิ้มของพี่สาวเทพธิดาคนนั้นอย่างละเอียดตาไม่กะพริบ
อุตส่าห์จ่ายเงินตั้งหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะเชียวนะ หาเงินไม่ง่ายแต่จ่ายเงินกลับเหมือนน้ำไหล นางจะไม่ตั้งใจได้หรือ?
แต่แม่นางน้อยยิ่งมองก็ยิ่งเสียใจ เพราะมักรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงเรียนรู้เอาอย่างอีกฝ่ายไม่ได้
เจียงซ่างเจินเก็บชาน้ำกา มือข้างหนึ่งเท้าคาง โบกพัดกลมเบาๆ จ้องมองแม่นางน้อยคนนี้อยู่ไกลๆ ดวงตาหงส์ของอดีตเจ้าสำนักกุยหยกหรี่ลง รอยยิ้มอ่อนโยน
ผู้เฒ่าคนพายเรือหนีหยวนจานปรากฏตัวอยู่นอกประตูจวน ประตูใหญ่ไม่ได้ปิดไว้ เขาก้าวหนึ่งก้าวเข้ามาด้านใน ก้าวอีกก้าวก็มาโผล่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจิน ยิ้มเอ่ย “เจ้าสำนักยังคงผ่อนคลายสบายอารมณ์เหมือนในอดีตเลยนะ”
เจียงซ่างเจินยกกาจิบชา จากนั้นเอ่ยสัพยอกว่า “ทำไมถึงต้องไปหาเรื่องสหายรักของข้าด้วย เหล่าโซ่วซิง (เป็นคำเรียกผู้สูงอายุด้วยความเคารพ หรืออวยพรให้คนแก่อายุยืน) อยากรู้รสชาติของสารหนูว่าเป็นอย่างไร รังเกียจที่มีอายุยืนยาวแล้ว? หรือรู้สึกว่าเคยพิฆาตยุงเหนือน่านน้ำ เวทกระบี่ก็ไร้เทียมทานแล้ว? ตอนนี้ดีนัก ไม้พายก็ไม่มีแล้ว วันหน้าจะยังทำท่าถ่อเรือได้อย่างไร”
หนีหยวนจานเอ่ย “ปีนั้นพวกเราสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า ข้าจะเป็นแค่เค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหาดหินหวงเฮ้อพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเท่านั้น รอคอยให้คนมีโชควาสนามารับเอาโอสถทองบรรพกาลเม็ดนั้นไป นอกจากนี้จะทำอะไร จะอยู่หรือจะไป ล้วนไร้พันธนาการ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!