กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 755

หนีหยวนจานสีหน้าเคร่งขรึมทันใด เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ฟังจากความหมายของเจ้าประมุข คือคิดจะขัดขวางไม่ให้ข้าส่งมอบโอสถทองเม็ดนั้นออกไปรึ?”

เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ขอแค่เส้ายวนหรานกล้ามาที่หาดหินหวงเฮ้อ ข้าก็จะให้เขาตายต่อหน้าเจ้า หากเจ้ากล้านำโอสถทองไปมอบให้ที่ราชวงศ์ต้าเฉวียน ข้าก็จะให้เขามีชีวิตรับโอสถทองไปชดเชยปณิธานบนมรรคาทั้งหมด เลื่อนขั้นสู่ระดับของโอสถในตำนานได้สำเร็จ แต่กลับไม่มีชีวิตที่จะฝ่าทะลุขอบเขตก่อกำเนิด”

หนีหยวนจานหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าตงไห่เจ้าอารามกวานเต๋าไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว ก็จะสามารถประชันมรรคกถาสูงต่ำกับเจ้าอารามผู้เฒ่าได้แล้วอย่างนั้นรึ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มบ้างๆ “มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง ข้าผู้แซ่เจียงจะต้องกลัวอะไร?”

หนีหยวนจานเอ่ยด้วยประโยคที่แฝงความหมายลึกล้ำ “อ้อ? สหายโจวแห่งตำหนักคลื่นวสันต์องอาจผึ่งผายเหมือนในอดีตเลยนะ”

เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ เอนตัวพิงราวรั้ว ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พัดกลมบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง “หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าจะมาเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาด้วยตัวเองเสียแล้ว?”

หนีหยวนจานหัวเราะเสียงเย็นชา

ใบหลิ่วครึ่งใบพุ่งวาบเปล่งหาย แสงกระบี่เฉียบคมเสี้ยวหนึ่งทะลุจากหว่างคิ้วของคนพายเรือเฒ่าพุ่งออกไปจากหัวกะโหลก

หนีหยวนจานยื่นนิ้วข้างหนึ่งมากดหว่างคิ้วเอาไว้ มือหนึ่งจับประคองราวรั้ว เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจียงซ่างเจินเจ้าช่างใจกล้านัก!”

เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดังลั่น “เรื่องของการหลอกผีหลอกเจ้านี้ พี่ใหญ่หนียังอ่อนหัดเกินไปนัก หากเจ้าอารามผู้เฒ่าทิ้งดวงจิตเสี้ยวหนึ่งไว้ในใต้หล้าไพศาลจริง จะเอามาสิ้นเปลืองกับข้าผู้แซ่เจียงที่จิตใจเมตตาอารีต่อผู้อื่น ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนมีเหตุผลได้อย่างไร?”

หนีหยวนจานถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าจะอยู่ที่หาดหินหวงเฮ้อช่วยเปิดโชคชะตาเรื่องทรัพย์สินเงินทองในพื้นที่มงคลให้เจ้าต่อก็ได้ เรื่องที่ว่าโอสถทองจะตกเป็นของใคร วันหน้าเจ้าและข้าค่อยมาปรึกษากันอีกที”

เจียงซ่างเจินเอ่ยปลอบใจ “พี่ใหญ่หนีก็คือวิญญูชนผู้เที่ยงตรง ถูกข้าวางแผนเล่นงานเช่นนี้กลับยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความองอาจของเจ้าได้ ไยต้องเสียใจด้วยเล่า ควรจะดีใจถึงจะถูก พื้นที่มงคลถ้ำเมฆามีอะไรไม่ดีกัน หนึ่งประตูกางกั้นก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว ไปอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลด้านนอกนั่น คนที่ฉลาดเฉลียวต่ำช้ายิ่งกว่าเจียงซ่างเจินมีถมเถไป พบเห็นได้ง่ายๆ ข้างทางเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่หันอวี้ซู่ก็เป็นหันตู้หลิง ไม่อย่างนั้นก็เป็นพวกคนอย่างหลูอิง แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการวางแผนปัดแข้งปัดขาผู้อื่น พี่ใหญ่หนีสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ง่ายที่จะต้องเสียเปรียบ ถึงอย่างไรก็ไม่สู้เป็นชาวประมงอยู่บนท้องน้ำ ล่องลำน้ำท่องบทกวี พายเรืออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ทั้งโลกขุ่นมัวเจ้ากลับยังใสกระจ่างอยู่เพียงผู้เดียว”

เจียงซ่างเจินพยักหน้าอย่างแรง “แบบนี้แหละถูกแล้ว พึ่งพาคนอื่นก็ต้องมีความตระหนักรู้ในการพึ่งพาคนอื่น ใช่แล้ว คืนนี้มีเรื่องราวใหม่ๆ และคนใหม่ๆ มากมายยิ่งนัก ทำให้ข้าหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีตขึ้นมาอีก จึงเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกวีอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าเค้นสมองครุ่นคิดอยู่นานกลับยังคิดได้แค่สองประโยค รบกวนพี่หนีช่วยเสริมสักหน่อยได้ไหม?”

หนีหยวนจานหัวเราะเสียงหยัน “ข้าว่าอย่าดีกว่า ความสามารถของเจ้าสำนักเจียงสูงส่ง ข้าที่หางเตียวไม่พอหรือจะกล้าเอาหางหมามาใส่แทน (เปรียบเปรยว่าของที่ไม่ดีมาเสริมเติมของดีที่มีอยู่ก่อนแล้ว สองส่วนก่อนหลังย่อมเห็นความต่างอย่างชัดเจน) มีหรือจะกล้าทำตัวให้เป็นที่ขบขัน”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “หากข้าเดาไม่ผิด หนีหยวนจานเจ้าเองก็มีความเห็นแก่ตัวที่เก็บซ่อนไว้ ไม่มอบโอสถทองให้กับสุยโย่วเปียน แต่กลับกักกระบี่ดีเล่มหนึ่งของอารามกวานเต๋าไว้ให้ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนี้อย่างสุยโย่วเปียน ข้าก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีอาจารย์ที่ไม่คิดพิจารณาเพื่อมหามรรคาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองบ้างเลย เจ้าต้องรู้นะว่า ปีนั้นข้าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว การที่ยอมสิ้นเปลืองเวลาหกสิบปีอยู่ในนั้น ก็เพื่ออยากให้ลู่ฝ่างเลื่อนเป็นหนึ่งในสิบคนของรอบหกสิบปี เพื่อที่จะได้รับอาวุธเหมาะมือชิ้นหนึ่งมาจากเจ้าอารามผู้เฒ่า”

เจียงซ่างเจินหลุบตาลงมองน้ำในแม่น้ำท่ามกลางค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่องแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “วันนี้ข้าอยากจะขอยืมกระบี่จากท่านมาก่อน ให้แสงสว่างเปล่งจ้าท่ามกลางฟ้าดินที่มืดมิด”

หนีหยวนจานขมวดคิ้วส่ายหน้า “ไม่มีกระบี่นี้ ข้าไม่ได้โกหก”

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองผู้เฒ่าคนพายเรือ เอ่ยว่า “เจ้าคนนี้ก็คือกระบี่”

หนีหยวนจานเอ่ยอย่างเดือดดาล “ด่ากันรึ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “อาจารย์หนีไม่ต้องแสร้งทำเป็นเสียกิริยา วางตัวอ่อนข้อให้ข้าทุกเรื่องเช่นนี้ ข้าเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์และบันทึกลับของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน อาจารย์หนีเชี่ยวชาญความรู้ของสามลัทธิ แม้จะถูกจำกัดอยู่ที่ระดับขั้นของพื้นที่มงคลในเวลานั้น ไม่อาจเดินขึ้นเขาฝึกตน เป็นเหตุให้การบินทะยานล้มเหลว แต่อันที่จริงกลับมีเค้าโครงของจิตแห่งมรรคาที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าเชิญออกมาจากพื้นที่มงคล หากจะบอกว่าติงอิงถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าใช้จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธเป็นรูปแบบตั้งต้นเพื่ออบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นอวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานก็น่าจะควรเรียกอาจารย์หนีไกลๆ ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปีว่าอาจารย์สักคำแล้ว”

หนีหยวนจานเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ยังคงสง่างามดุจในอดีต”

เจียงซ่างเจินรู้ว่าพูดคุยกับหนีหยวนจานไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงชมขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือต่ออีกครั้ง มองดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเว่ยฉงเซียน ใช้เวทคาถาของเซียนเหรินโยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเข้าไปในจวนเปลือกหอยแห่งนั้นโดยไม่เปิดเผยร่องรอย ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็คือเจียงซ่างเจินแห่งหลงโจว”

เว่ยฉงเซียนยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว เพียงแค่วาดภาพต่อไป เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญยังไม่ถึงขั้นทำให้เทพธิดาคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะเลื่อนอยู่ติดอันดับภาพแยนจือตกอกตกใจได้

ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำต่างก็ได้ยินประโยคเจียงซ่างเจินนี้ เพียงไม่นานก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งทุ่มเงินไปเช่นกัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจียงซ่างเจินแห่งภูเขาชื่ออีอยู่นี่แล้ว”

แล้วก็มีคนทุ่มเงินตามไปอีก “เจียงซ่างเจินแห่งโผหยางอยู่ที่นี่! เจียงซ่างเจินตัวปลอมอย่างพวกเจ้าจงรีบไสหัวออกไปจากบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดาเว่ยซะ!”

บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของบนภูเขาใบถงทวีปทุกวันนี้ คนที่ใช้ชื่อว่า ‘เจียงซ่างเจิน’ นำหน้าสถานที่มีมากมาย

……

ยามเช้าตรู่ บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กใต้ชายคา เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิ สองมือวางทับซ้อนกัน ฝ่ามือหงายขึ้นด้านบน เพียงแค่ปล่อยดวงจิตดวงหนึ่งจมจ่อมลงไปในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทบรรยายท่อนหนึ่งเกี่ยวกับการไปเยี่ยมเยือนเซียน ฝึกตนประสบความสำเร็จในบทประพันธ์ของปัญญาชนเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นบทที่เขียนขึ้นโดยจินตนาการของบัณฑิตล้วนๆ โอสถทองใสกระจ่าง ห้าสีสันส่องประกาย น้ำเมฆาสาดลงหกอวัยวะ น้ำค้างหวานพร่างพรมร้อยกระดูกให้ชุ่มฉ่ำ แต่ความรู้สึกตัวเบาเหมือนนกนางแอ่นจิกใบไม้ที่ร่วงหล่น เรือนกายเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก จิตวิญญาณประหนึ่งวิหคโผผินบินไประหว่างฟ้าและดิน เสียงต้นสนพัดเสียงคลื่นต้นไผ่ดังไม่ขาดสาย ขยับตัวบินทะยานเบาๆ ก็ราวกับจะสัมผัสถึงแสงตะวันเผาไหม้ พลันหวนคืนสติ เท้าเหยียบลงบนพื้นถึงได้รู้ว่าบนภูเขามีเทพเซียนจริงๆ บนโลกมนุษย์มีเวทคาถาจริงๆ

ตอนที่อยู่ภูเขาไท่ผิง หมัดขอบเขตสิบเอ็ดนั้นคล้ายจะบรรยายถึงวิชาหมัดไร้ตัวอักษรบทหนึ่ง วิชาหมัดแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่บนคราบร่างเซียนเหรินของหันอวี้ซู่ อีกส่วนหนึ่งฝังเลื่อมอยู่ในขุนเขาสายน้ำร่างกายของเฉินผิงอัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!