กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 755

สรุปบท บทที่ 755.4 เลือกที่ตั้ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 755.4 เลือกที่ตั้ง – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 755.4 เลือกที่ตั้ง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

“นี่น่าจะเป็นความจริงแล้ว”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “หากไม่ได้ควบรวมภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เข้าไปด้วย เปลี่ยนเป็นภูเขาสองลูกอื่นเข้ามาแทนที่ ก็ได้แต่ถือว่าเป็นเจ็ดสำแดงสองอำพรางที่ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ต่อให้รวบรวมสถานการณ์ใหญ่กฎฟ้าปรากฎการณ์ดินของเป่ยโต่วเก้าดวงดาวได้ครบถ้วน ก็ยังคงขาดอยู่อีกเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรอารามจินติ่งก็มีแค่แห่งเดียว รากฐานยังไม่ถือว่าแน่นหนามากพอ”

“แค่นี้ก็น่าตะลึงพรึงเพริดมากแล้ว ตู้หันหลิงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง อารามจินติ่งคือตัวสำรองสำนัก ก็กล้าคิดกล้าทำถึงเพียงนี้แล้ว ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ตู้หันหลิงไม่เสียแรงที่เป็นราชันบนภูเขาของใบถงทวีปพวกเจ้า เป็นทั้งผู้พิชิตในกลียุค แล้วยังรักษาตัวรอดปลอดภัย ทั้งยังเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่จะปกครองโลก สามารถลุกผงาดขึ้นมาตามสถานการณ์ได้ นักพรตเป่าเจินและเส้ายวนหรานช่างโชคดียิ่งนักที่ได้มาเจอกับเจ้าอารามที่เป็นเช่นนี้”

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ข้ากับเจ้าขุนเขา ความคิดเห็นของวีรบุรุษค่อนข้างจะเหมือนกัน”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ภูเขาไท่ผิง อารามจินติ่งและเสี่ยวหลงชิวอย่าเพิ่งไปคิดถึงเลย ส่วนทางฝั่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวอารามเทียนแจว๋ล่ะ? เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ได้ฉวยโอกาสเปลี่ยนภูเขาลูกที่ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ลู่ยงคือสหายเก่าแก่ของพวกเรานะ เขาเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน อีกทั้งทุกวันนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าจำนวนน้อยนิดที่สามารถสวมชุดแพรจากทวีปอื่นกลับคืนมายังบ้านเกิดได้อีกด้วย กอดขาใหญ่สองข้างอย่างกองทัพม้าเหล็กต้าหลีและอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่เอาไว้ได้ ไม่น่าจะเป็นพันธมิตรกับอารามจินติ่งหรอก”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หรี่ตาเอ่ย “ซูคือฟ้า เสวียนคือดิน จีคือคน เฉวียนคือเวลา หนึ่งในนั้นคือเทียนเฉวียนที่มืดที่สุด เหวินฉวี่คือจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวกระบวยกับด้ามกระบวยพอดี” (ดาวเป่ยโต่วหรือดาวกระบวยใหญ่เจ็ดดวง เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวของดาวหมีใหญ่)

เจียงซ่างเจินยิ้มถาม “เจ้าขุนเขามีความแค้นกับอารามจินติ่งหรือ?”

ความคิดของเฉินผิงอันก้าวกระโดดอย่างยิ่ง เขาย้อนถามว่า “ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีเมืองแห่งหนึ่งมีชื่อว่าเมืองฉีเฮ้อ เล่าลือกันว่าในยุคโบราณมีเซียนขี่กระเรียนบินทะยาน อันที่จริงก็คือภูเขาเล็กลูกหนึ่ง อาณาเขตรอบด้าน ทุกชุ่นล้วนเป็นทอง มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ผู้เฒ่าหนีหรือไม่?”

ปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองฉีเฮ้อยังเคยมีมรสุมที่ผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มยืมดาบจากศาลด้วย

แน่นอนว่าก็เคยเจอกับเทพแห่งผืนดินที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกและความรู้สึกของมนุษย์ดีอย่างยิ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยากจะมอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้เป็นค่าตอบแทน เพียงแต่ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้รับเอาไว้

ส่วนลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตู้หันหลิง นักพรตเป่าเจินแห่งยอดเขาอิ่นเมี่ยว รวมไปถึงศิษย์หลานอย่างเส้ายวนหราน คู่อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ถวายงานของต้าเฉวียนสองคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน อาจารย์และศิษย์สองคนเคยรับหน้าที่ช่วยฮ่องเต้สกุลหลิวจับตามองกองทัพชายแดนตระกูลเหยา เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนักพรตเป่าเจินได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ถวายงาน ปิดด่านฝึกตนอยู่ในอารามจินติ่งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรไปได้ แต่ลูกศิษย์อย่างเส้ายวนหรานกลับเป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว เป็นเซียนดินโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่ง

เจียงซ่างเจินปรบมือหัวเราะร่า “เรื่องนี้เจ้าขุนเขาก็เดาได้ด้วยหรือ!”

เป็นอาจารย์หนีจากพื้นที่มงคลดอกบัวจริง เพราะท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของภาพบรรยากาศในการ ‘บินทะยาน’ มาถึงใต้หล้าไพศาลนั้น ถึงได้สร้างซากปรักเซียนเหรินที่โลกยุคหลังพากันพูดถึงอย่างออกรสอกชาติขึ้นมา

เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกคนล้อมฆ่า หลังจบเรื่องมักจะรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติสักเท่าไร ข้าสงสัยว่าอันที่จริงอารามจินติ่งเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ไม่ปรากฏตัว พอมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ของใบถงทวีปในทุกวันนี้ หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ตู้หันหลิงถึงขั้นสามารถคัดสรรภูเขาออกมาได้เจ็ดลูก นำมาใช้สร้างค่ายกลใหญ่ ข้าถึงกับสงสัยเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้ของพวกเราเสียแล้วว่าปีนั้นเขาได้แอบสมคบคิดกับกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่”

เจียงซ่างเจินกล่าว “แน่นอนว่าสามารถเดาเช่นนี้ได้ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้โง่ ไม่มีทางเป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปเพียงเพราะตู้หันหลิงที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันหรอก”

ตู้หันหลิงในทุกวันนี้ขอบเขตไม่สูง แต่กลับเป็นศูนย์รวมใจคนของผู้ฝึกตนบนภูเขาของใบถงทวีป เป็นศัตรูกับอารามจินติ่งก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับพันธมิตรใบท้อทั้งหมด

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “มีภาพสำเนาของภาพขุนเขาสายน้ำนี้หรือไม่ ข้าต้องดูให้มากอีกหน่อย การเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมาก”

เชื่อว่าเจียงซ่างเจินน่าจะคาดเดาความคิดของตนออกแล้ว แล้วนับประสาอะไรที่กับผู้ถวายงานบ้านตนคนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังกัน

ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้การที่เย่อวิ๋นอวิ๋นปรากฏตัวที่หาดหินหวงเฮ้อ ก็ยังเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจของเจียงซ่างเจิน เป็นการวางเส้นสายเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาผูซาน

เจียงซ่างเจินกล่าว “หากมีภาพสำเนาของภูเขาสายน้ำจะค่อนข้างเป็นการละเมิดข้อห้ามแล้ว แต่ข้าสามารถให้คนรีบคัดลอกออกมาให้ได้”

เฉินผิงอันจึงกลืนประโยคหนึ่งกลับลงท้อง เดิมทีอยากพูดว่าตนสามารถควักเงินซื้อได้

คนทั้งกลุ่มออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเหล่าจวินด้วยกัน ทะยานลมไปยังภูเขาเยี่ยนซานที่อยู่ห่างไปประมาณสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันทำตามสัญญา ไม่ได้ขึ้นไปกวาดภูเขาจนเกลี้ยง เพียงแค่รอคอยอยู่ที่ตีนเขาอย่างอดทน

ชุยตงซานได้รับคำเตือนประโยคหนึ่งจากเสียงในใจของอาจารย์ตนก็พลันเปิดปากพูดเสียงดังว่า “อาจารย์ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซอเยว่ ทุกวันนี้เข้าพักที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีแล้ว ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างมาก”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองเจียงซ่างเจิน

เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าเซอเยว่ผู้นั้นเพียงแค่เคยไปบริเวณใกล้เคียงกับบ้านเกิด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นถึงขั้นนี้ ด้วยนิสัยของหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ว่ามีอะไรแล้วหรือว่ายังไม่มีอะไรกับเซอเยว่ชั่วคราว รอกระทั่งตนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว จะเจอเรื่องดีๆ ได้หรือ?

เจียงซ่างเจินแกล้งโง่ โบกมือเป็นวงกว้าง พูดอย่างคนที่ทำความดีชดใช้ความผิดว่า “ขึ้นเขา! ข้ารู้จักถ้ำเก่าสองแห่งที่ซ่อนวัสดุทำหินฝนหมึกที่ดีเยี่ยมเอาไว้”

เฉินผิงอันยื่นมือออกไป

เจียงซ่างเจินถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขา นี่คือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอยืมวัตถุจื่อชื่อจากเจ้าสักสองสามชิ้นน่ะสิ”

เจียงซ่างเจินยอมรับชะตากรรม เริ่มตรวจสอบชายแขนเสื้อ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ตงซาน สกัดกั้นฟ้าดิน”

ชุยตงซานรีบใช้กระบี่บินจินสุ้ยวาดบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งขึ้นมาทันใด เฉินผิงอันเอาคราบเซียนเหรินของหันอวี้ซู่ออกมาจากชายแขนเสื้อ เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า เก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่อยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อ การท่องยุทธภพต่อจากนี้ก็จะมีเนื้อหนังมังสาที่ดีเยี่ยมเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “ในช่วงเวลาสำคัญบางอย่างที่เจ้ารู้สึกว่าโอกาสเหมาะสมก็ให้ปรากฎตัวด้วยโฉมหน้าของหันอวี้ซู่ครั้งหนึ่ง อีกทั้งต้องอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วย ห้ามปรากฏตัวในใต้หล้าไพศาลเด็ดขาด เวลานานวันเข้า ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยาและทางฝั่งของหันเจี้ยงซู่จะต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน ตกลงกันไว้ก่อนว่า เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่ง ส่วนคราบร่างเซียนเหรินร่างนี้ รวมไปถึงวิชาหมัดครึ่งบทนั้น ล้วนถือว่าเป็นค่าตอบแทนแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”

สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาเยี่ยนซาน พวกเผยเฉียนลงจากภูเขามาด้วยผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

น่าหลันอวี้เตี๋ยกระโดดโลดเต้นลงจากเขามาตลอดทาง พอมาถึงประตูภูเขาก็จงใจพูดบ่นให้ฟังว่า “เหตุใดพี่หญิงเผยถึงได้ยากจนขนาดนี้ล่ะ ไม่มีวัตถุฟางชุ่นติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว”

เผยเฉียนหัวเราะร่วนพลางพยักหน้ารับ

เจียงซ่างเจินทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว แม่นางน้อยวาดงูเติมขาเสียแล้ว ประสบการณ์ในยุทธภพยังตื้นเขินไปสักหน่อย

กลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋ด้วยกัน เจียงซ่างเจินเอ่ยขอตัวจากไป ไปให้คนคัดลอกภาพขุนเขาสายน้ำ ชุยตงซานตามไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย

เฉิงเฉาลู่รับฟังด้วยอาการตกตะลึงอึ้งค้าง

เฉินผิงอันยื่นมือไปตบหัวป๋ายเสวียน เอ่ยชมเชยว่า “ใช้ได้นี่นา เฉลียวฉลาดจริงเสียด้วย แข็งแกร่งกว่าตอนที่ข้าเพิ่งเริ่มเรียนวิชาหมัดมากนัก”

ป๋ายเสวียนโบกมือ “มาตรฐานทั่วไป ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “ไม่เรียนวิชาหมัดก็น่าเสียดายแล้ว”

ป๋ายเสวียนหัวเราะคิกคักพลางกุมหมัดเอ่ย “มีโอกาสจะต้องประลองฝีมือกับพี่หญิงเผยสักหน่อยแล้ว”

เผยเฉียนยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ “ได้เลยๆ”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ป๋ายเสวียนกระโดดเข้าไปทิ้งชื่อไว้บนสมุดบัญชีบางเล่ม คาดว่ารอให้ในอนาคตป๋ายเสวียนไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะค่อยๆ เข้าใจเองว่าวันนี้ตนมีมาดองอาจเป็นผู้กล้ามาแค่ไหน เฉินผิงอันบอกให้เฉิงเฉาลู่กลับมาเดินนิ่ง ส่วนตัวเขาคอยชี้ข้อบกพร่องในรายละเอียดของวิชาหมัดบางอย่าง

อันที่จริงเฉิงเฉาลู่เรียนวิชาหมัดไม่ช้าแล้ว เฉินผิงอันให้เจ้าอ้วนน้อยเดินนิ่งต่อไป ส่วนตัวเองไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้ไม้ไผ่

เผยเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กด้านข้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มถาม “มีอะไรหรือ?”

สายตาของเผยเฉียนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “แล้วยังไงต่อ?”

สองมือของเผยเฉียนกำเป็นหมัดแน่น “ข้าเชื่อฟังอาจารย์พ่อ ไม่มองดูสภาพจิตใจของคนอื่นมากเกินไป ดังนั้นสภาพจิตใจของคนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกาย อย่างมากสุดข้าก็มองแค่ครั้งเดียว พ่อครัวเฒ่าก็แค่ครั้งเดียวเหมือนกัน”

ยกตัวอย่างเช่นภาพเหตุการณ์ในสภาพจิตใจของชุยตงซานคือบ่อลึกดำมืด ริมขอบบ่อมีตำราสีทองหลายเล่มวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ยกตัวอย่างเช่นลมคาวฝนเลือดของจูเหลี่ยนพ่อครัวเฒ่า มีเพียงหอเรือนสูงหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน มีคนยืนพิงราวรั้วมองลงมาจากที่สูง

ตอนที่จูเหลี่ยนกลับคืนสู่บ้านเกิดเคยยิ้มเอ่ยกับเพ่ยเซียงว่า ใครจะมาเป็นคนบอกข้าว่าสรุปแล้วฟ้าดินใช่ของจริงหรือไม่ แล้วยังทอดถอนใจอีกประโยคว่า ‘ตื่นจากฝันคือการกระโดดหน้าผา’

จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ อันที่จริงในอดีตครั้งแรกที่ออกท่องยุทธภพ ตอนอยู่นอกร้านสุราในชนบท มองสุนัขข้างทางแวบเดียวก็ยากจะปล่อยวางได้อีกตลอดชีวิต ราวกับว่าในความฝันไม่รู้ว่าตัวเองคือแขกผู้มาเยือน น้ำไหลบุปผาร่วงโรยวสันต์จากไป บนฟ้าโลกมนุษย์ ดวงจันทร์กระจ่างหอเรือนสูง

เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยรู้ เผยเฉียนเองก็ไม่รู้ เผยเฉียนเพียงแค่มองเห็นป๋ายอวี้จิงจำลองของราชวงศ์ต้าหลีแล้วยากจะสงบจิตใจได้อีก

เฉินผิงอันครุ่นคิด เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าเป็นธรรมชาติ แหงนหน้ามองท้องฟ้า พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อครัวเฒ่า ข้าเชื่อมั่นในตัวจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนเหมือนได้ยกก้อนหินออกจากอก “ข้าเชื่ออาจารย์พ่อ”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เตรียมตัวกลับบ้านกันเถอะ”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!