เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่เข้าไปฝึกกระบี่ในปิ่นหยก กระทั่งจนถึงตอนนี้ที่ได้มาอยู่ในจวนจินหวงของใบถงทวีป เนื่องจากกระบี่บินของตัวเองอยู่ในลำดับ ‘สามล่าง’ ของการประเมินคฤหาสน์หลบร้อน ป๋ายเสวียนจึงยังคงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคุณสมบัติบนวิถีกระบี่ของตนแย่ที่สุดในบรรดาคนทั้งเก้า มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าในอนาคตจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จต่ำที่สุด
ไม่ใช่เพราะว่าคฤหาสน์หลบร้อนที่ใต้เท้าอิ่นกวานนั่งบัญชาการณ์มานานหลายปีจงใจหาเรื่องเด็กที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลงสนามรบอย่างป๋ายเสวียน แต่เป็นเพราะในสนามรบแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากผู้ฝึกกระบี่อยู่บนสนามรบที่สี่ด้านแปดทิศล้วนเต็มไปด้วยศัตรูคู่อาฆาต ต่อให้หนึ่งกระบี่ของป๋ายเสวียนสร้างคุณความชอบได้สำเร็จก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะต้องถอยออกมาจากสนามรบทันทีทันใด และที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ การเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรง จำนวนของผู้ฝึกกระบี่กับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โจมตีเมืองก็แตกต่างกันมากเกินไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสวียนจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าเขาไม่เหมาะจะออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าป๋ายเสวียนเกิดมาก็ไม่เหมาะสมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต
ดังนั้นยามที่เด็กชายอยู่ที่บ้านเกิด ระดับขั้นกระบี่บินของป๋ายเสวียน หากอิงตามเกณฑ์การประเมินที่อิงตามทฤษฎีคุณความชอบอย่างถึงที่สุดของคฤหาสน์หลบร้อนในปีนั้น จึงได้แค่อันดับ ‘สามล่าง’ เท่านั้น อีกทั้งอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ป๋ายเสวียนมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นเช่นนี้จะสามารถทำให้เด็กคนนี้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง หรือกระทั่งก่อกำเนิดในท้ายที่สุดได้จริงหรือ? ไม่แน่ว่าในสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง หรืออย่างมากสุดสงครามใหญ่สองสามครั้งผ่านไป กระบี่บินก็ถูกทำลายย่อยยับแล้ว แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเป็นไม่ได้
ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นเด็กๆ ที่สามารถถูกเซียนกระบี่ต่างถิ่นพากลับมายังใต้หล้าไพศาลได้นั้น ล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่นตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนที่เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่แห่งธวัลทวีปพากลับไปอย่างจวี่สิงและเฉามู่ ‘เหลยเจ๋อ’ เล่มนั้นของจวี่สิง ปีนั้นถูกคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่อันดับสองกลาง ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของแม่นางน้อยเฉามู่อย่าง ‘พางถัว’ และ ‘หงหนี’ กลับถูกประเมินให้เป็นอันดับ ‘สองล่าง’ และ ‘สามบน’
นอกจากกระบี่บินอันดับหนึ่งที่มีจำนวนน้อยนิดซึ่งรวม ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินของเซียนกระบี่อู๋เฉิงเพ่ยเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว อันที่จริงกระบี่บินที่อยู่ในหกลำดับรวมระหว่างลำดับสองและสามนั้น ถือว่าระดับขั้นดีเยี่ยมสำหรับในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ไม่เพียงแต่จวี่สิงและเฉามู่ที่ติดตามเซี่ยซงฮวาไปเท่านั้น ยังมีเฉินหลี่และเกาโย่วชิงที่ลี่ไฉ่พาตัวไป ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหมดที่ออกจากบ้านเกิดไปเร็วกว่าพวกป๋ายเสวียน อันที่จริงกระบี่บินล้วนเป็นลำดับสองและลำดับสามทั้งสิ้น
ดังนั้นนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสวียนออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จนมาถึงใต้หล้าไพศาล ขอแค่ป๋ายเสวียนไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วสามารถค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกระทั่งไปถึงขอบเขตโอสถทองได้ ค่อยๆ สร้างความมั่นคงให้กับระดับขั้นของกระบี่บินที่จะต้องเลื่อนขั้นไปทีละนิด ป๋ายเสวียนก็จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีเรี่ยวแรงฮึดสู้ภายหลังที่แข็งแกร่งยิ่ง พลังพิฆาตรุนแรงยิ่งคนหนึ่ง
เผยเฉียนรอคอยที่จะได้เห็นการฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่วของเด็กๆ เหล่านี้อย่างมาก
เจิ้งซู่พาเฉินผิงอันเดินเล่นเที่ยวชมจวนจินหวง ระหว่างทางผ่านศาลาไม้ลักษณะเรียบง่ายโบราณหลังหนึ่ง รอบด้านคือต้นสนใหญ่ตระหง่านหนาครึ้มเขียวขจี
เดินเล่นตลอดทางจนมาถึงที่แห่งนี้ เฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นว่า “ฝู่จวิน วันนี้พวกเรามาเยี่ยมเยือน ค่อนข้างมาไม่ถูกเวลาสักเท่าไร”
เจิ้งซู่ไม่ได้ปิดบัง เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฉาเซียนซือ บอกตามตรง จวนจินหวงของข้าทุกวันนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะรับรองแขกเลยจริงๆ คิดดูแล้วก่อนหน้านี้ที่ท่านผ่านศาลาก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราดื่มเหล้ากันแล้วข้าจะให้คนพาพวกท่านโดยสารเรือไปเที่ยวทะเลสาบซงเจิน เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว ข้าจึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องวงในมากนัก เดิมทีคิดว่าจะดื่มเหล้าก่อนแล้วค่อยเอ่ยถ้อยคำที่ทำลายบรรยากาศพวกนี้กับผู้มีพระคุณ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าช่วยให้เสียเรื่อง”
เจิ้งซู่ผ่อนลมหายใจโล่งอก
หากเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด จวนจินหวงไม่มีเหตุผลที่จะดึงผู้มีพระคุณท่านนี้เข้ามาอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่สองแคว้นที่บรรยากาศพิลึกพิลั่นนี้
การกลับมาพบเจอกันในขุนเขาสายน้ำอีกครั้ง ดื่มสุราให้เต็มคราบ พบเจอด้วยดีก็จากลากันด้วยดี เชื่อว่าวันหน้ายังมีโอกาสได้กลับมาดื่มเหล้าด้วยกัน ได้มาพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานด้วยกันใหม่อีกครั้ง
เฉินผิงอันกับเจิ้งซู่ก้าวเดินเข้าไปนั่งในศาลาไม้
เฉินผิงอันถามว่า “สุขภาพของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา?”
เจิ้งซู่ถอนหายใจ เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับอะไร ตลอดทั้งบนและล่างราชสำนักล้วนรับรู้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ “ปีนั้นก่อนจะออกไปจากนครเซิ่นจิ่ง ข้ายังตั้งใจไปเยี่ยมเยือนแม่ทัพผู้เฒ่าโดยเฉพาะ เวลานั้นแม่ทัพผู้เฒ่าก็ไม่อาจลุกขึ้นลงจากเตียงได้แล้ว หลายปีมานี้คิดว่าคงจะฝืนประคองตนไว้เสียมากกว่า”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หากข้าจำไม่ผิด อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของต้าเฉวียน สวีเซียนซือท่านนั้นนอกจากจะเชี่ยวชาญวิชาอสนีแล้ว ยังเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ที่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถอีกด้วย โอสถที่เขาหลอมออกมา ดูเหมือนว่าจะสามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาวได้”
ในความเป็นจริงแล้วสวีถงเซียนซือแห่งอารามฉ่าวมู่ได้ตายภายใต้คมกระบี่ชือซินของสุยโย่วเปียนไปนานแล้ว
แต่ด้วยสถานะของราชวงศ์ต้าเฉวียนในใบถงทวีปทุกวันนี้ รวมไปถึงสถานะของตระกูลเหยา ไม่ว่าฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนผู้นั้นจะไปขอยาจากใคร ย่อมไม่มีทางถูกปฏิเสธแน่นอน
พูดถึงแค่สถานที่การลงนามสันนิบาติใบท้อก็อยู่ที่ท่าเรือใบท้อซึ่งห่างจากครเซิ่นจิ่งไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เจิ้งซู่ส่ายหน้า “เฉาเซียนซือคงไม่รู้ อารามฉ่าวมู่แห่งนั้นกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของต้าเฉวียนไปแล้ว จวนเซียนแห่งนี้คือกิจการที่บุตรสืบทอดจากบิดามารุ่นสู่รุ่น ในอดีตก็เป็นสวีถงอดีตเจ้าของคนก่อนที่ปิดด่านกะทันหัน ยกตำแหน่งให้กับทายาทสายตรงก่อน ภายหลังหายนะครั้งนั้นมาเยือน ลมแรงจึงรู้ถึงหญ้าที่แข็งแกร่ง คิดไม่ถึงว่าอารามฉ่าวมู่จะถึงขั้นแอบสมคบคิดกับสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจอย่างลับๆ เกือบจะถูกผู้ฝึกตนของอารามฉ่าวมู่เปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครได้สำเร็จ ดังนั้นตำรับยาของอารามฉ่าวมู่จึงสูญเสียการสืบทอดไปนานแล้ว อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า หลายปีมานี้เพื่อแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา ฝ่าบาทได้หาโอสถไปทั่วสารทิศ อย่าว่าแต่อารามจินติ่งเลย ฝ่าบาทยังถึงขั้นให้คนไปที่ยอดเขาเสินจ้วนของสำนักกุยหยกมารอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ขอยาล้ำค่าหายากมาจากเจ้าสำนักเหวย ว่ากันว่าแม้แต่เทพเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีป ฝ่าบาทก็ยังส่งคนเดินทางไกลข้ามทวีปไปหาเขาด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!