เห็นกลุ่มคนที่มาเยี่ยมเยือน ฝูจวินจินหวงก็เดินลงจากขั้นบันได ก้าวเร็วๆ ไปเบื้องหน้า กุมหมัดหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจิ้งซู่คารวะผู้มีพระคุณ”
แม้ว่ารูปโฉมจะเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเด็กหนุ่มชุดขาวที่พกกระบี่รัดกาเหล้าผูกเอว กลายมาเป็นบุรุษโตเต็มวัยที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวตรงหน้าผู้นี้ แต่เจิ้งซู่ก็ยังแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายเพียงปราดแรกที่มองเห็น
ก็คือเซียนกระบี่เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่พบเจอกันโดยบังเอิญผู้นั้น หลังจบเรื่องก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป ไม่เคยบอกกล่าวชื่อแซ่ สง่างามอย่างยิ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตรงเอวของบุรุษตรงหน้ายังห้อยกาเหล้าสีชาดที่เจิ้งซู่คุ้นตาอย่างถึงที่สุดเอาไว้อีกด้วย เหมือนในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนฝู่จวินแล้ว”
เจิ้งซู่รีบขยับตัวหันข้างทันใด เฉินผิงอันผายฝ่ามือออกมา สุดท้ายคนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปยังประตูใหญ่ของจวนจินหวง เจิ้งซู่เอ่ยขออภัยเสียงเบาว่า “เมื่อครู่รู้ว่าผู้มีพระคุณมาเยือนเรือนอันเก่าโทรม ข้าก็รีบส่งข่าวแจ้งไปยังทะเลสาบซงเจินทันที คิดไม่ถึงว่าจัวจิง (คำเรียกภรรยาในสมัยโบราณที่แสดงถึงการอ่อนน้อมถ่อมตัว) จะมีธุระไม่อาจปลีกตัวมาได้ ตอนนี้จึงยังไม่อาจกลับมาที่จวนได้ชั่วคราว”
อันที่จริงในใจของเจิ้งซู่ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่ตอนที่รอคน ทางฝั่งจวนจินหวงนี้ได้รับกระบี่บินส่งข่าวกลับมาจากจวนเทพวารีทะเลสาบซงเจินแล้ว กลับเป็นเซียนซือผู้ถวายงานของต้าเฉวียนที่สถานะถูกปิดเป็นความลับคนหนึ่งที่ตอบจดหมายกลับคืนมายังจวนจินหวง ถึงขั้นไม่ใช่ลายมือของหลิ่วโย่วหรงภรรยาของตน นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ภรรยาไม่มีทางออกจากจวนวารีไปตามแต่ใจเป็นแน่ หากเป็นเวลาปกติเจิ้งซู่จะต้องรีบรุดไปที่ทะเลสาบซงเจินทันที แม้ว่าสถานะของภรรยาจะพิเศษ ทุกวันนี้คือองค์เทพแห่งสายน้ำอันดับที่สองของราชวงศ์ต้าเฉวียน คือหูจวินผู้ปกครองทะเลสาบซงเจินทั้งผืน แต่อันที่จริงภรรยามีร่างทองและตบะเทียบเท่าแค่ขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น และนางก็ยิ่งไม่เชี่ยวชาญการประลองเวทกับผู้อื่น หลายปีมานี้แข็งใจฝึกตน ทำเอาเจิ้งซู่ที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าทั้งตลกขบขันทั้งสงสารเอ็นดู ถึงท้ายที่สุดจึงบอกกับนางว่าไม่ต้องฝืนแล้ว เรื่องของการรบราฆ่าฝันนั้นไม่เหมาะกับนาง เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้าก็จะยังคงเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผู้เยาว์เฉาโม่ เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มาเยือนใบถงทวีป”
นี่คือคำพูดที่เขาตระเตรียมมาไว้ล่วงหน้าระหว่างที่เดินทางมา
หากไม่เป็นเพราะอาศัยรายละเอียดหลายอย่างจนแน่ใจว่าทุกวันนี้จวนจินหวงคือสถานที่อันตราย อันที่จริงเฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากจะบอกกล่าวชื่อจริงแก่จวนจินหวงอย่างตรงไปตรงมา
ฝู่จวินเทพภูเขาคนหนึ่งที่สามารถบุกเบิกจวนเป็นของตัวเองได้ ไหนเลยจะยังต้องการให้ทางราชสำนักช่วยปูถนนทางหลวงให้เป็นเส้นทางในการมาจุดธูปคารวะเทพ ถึงขั้นที่ว่ายังตั้งใจตั้งป้ายแบ่งขอบเขตไว้บนหัวสะพาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่แห่งนี้คืออาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้น? และคนที่ตั้งป้ายจารึกก็ไม่ใช่ขุนนางดุจบิดามารดาในท้องถิ่นอย่างพวกเจ้าเมืองหรือนายอำเภออะไร คำลงท้ายบนป้ายแบ่งเขตคือคำว่า กองขุนเขาสายน้ำกรมพิธีการแคว้นเป่ยจิ้น ส่วนเหตุการณ์ผิดปกติตรงศาลาที่เจอภายหลัง ก็แค่ช่วยยืนยันการคาดเดาในใจของเฉินผิงอันเท่านั้น สกุลหลิวต้าเฉวียน…ทุกวันนี้น่าจะเป็นฮ่องเต้สกุลเหยาต้าเฉวียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการจะอาศัยการตัดสินใจในท้ายที่สุดว่าจวนจินหวง จวนซงเจินจะตกเป็นของใครมาเป็นโอกาสในการวางแผนเล่นงานทำสงครามกับเป่ยจิ้นต่อไป
เจิ้งซู่ยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบาน “เหล้าหมักหลันฮวาของจวนจินหวงพวกเรา ในภาคกลางของใบถงทวีปก็ล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นสุราดี เดินทางผ่านจวนจินหวงไม่ต้องพบเจอเจิ้งฝู่จวินที่น่ารำคาญอะไรนั่นก็ได้ มีเพียงห้ามพลาดเหล้าหมักหลันฮวานี้เด็ดขาด”
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย นอกจากอาจารย์และศิษย์สองคนยังมีเด็กเล็กอีกห้าคน เสียงดังเอะอะมะเทิ่ง คล้ายกับคนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจมาขอกินขอดื่มเปล่าๆ จากจวนจินหวงอย่างไรอย่างนั้น
สายตาของป๋ายเสวียนที่ทำตัวเหมือนคนแก่จับจ้องมองพวกน่าหลันอวี้เตี๋ยที่เดินเตร่ไปทางนั้นทีไปทางนี้ที เหยาเสี่ยวเหยียนที่กลัวคนแปลกหน้าอย่างมาก เหอกูที่อายุไม่มากแต่กลับตัวสูงมาก อวี๋เสียหุยที่ตาเหล่น้อยๆ พูดจาค่อนข้างโผงผางตรงไปตรงมา
คนทั้งกลุ่มเจ็ดคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง
ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัวห้าคน ป๋ายเสวียนและน่าหลันอวี้เตี๋ยสองคนในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต หากอิงตามกฎบนภูเขา เด็กทั้งสองคนอายุน้อยถึงเพียงนี้ก็ได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางนานแล้ว ล้วนสามารถเรียกเป็นเซียนกระบี่น้อยได้แล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรในมือถือประคองแส้ปัดฝุ่นที่อยู่ในศาลาคนนั้น หากคิดจะต่อสู้สุดชีวิตจริงๆ ขอแค่ป๋ายเสวียนร่วมมือกับน่าหลันอวี้เตี๋ย ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่เรื่องของกระบี่บินพวกเขาคนละทีเท่านั้น
เจิ้งซู่ยิ้มกล่าว “ข้าได้ให้ทางจวนเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ล้วนเป็นอาหารป่าบนภูเขาและสัตว์น้ำสดใหม่ในทะเลสาบของทะเลสาบซงเจิน อย่างมากสุดอีกสองเค่อก็สามารถให้เฉาเซียนซือดื่มเหล้าหมักหลันฮวาได้แล้ว”
แน่นอนว่าต่อให้ฝู่จวินท่านนี้คิดจนหัวแตกก็คงคิดไม่ออกว่าแขกที่เดินทางผ่านมาแล้วแวะมาเยี่ยมเยือนที่จวนกลุ่มนี้ สามารถทำให้จวนจินหวงเอ่ยประโยคว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ’ ได้แล้ว
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน “รบกวนฝู่จวินพาข้าไปเดินดูรอบๆ หน่อยเถิด”
เจิ้งซู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเป็นเจ้าบ้านที่ตามใจแขก พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ยินดียิ่งแล้ว”
เผยเฉียนลุกขึ้นจากเก้าอี้เช่นกัน “อาจารย์พ่อ เดี๋ยวข้าดูพวกเขาให้เองเจ้าค่ะ”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าอยู่ในจวนจินหวงใช้ชื่อจริงก็พอแล้ว อย่าใช้ชื่อ ‘เจิ้งเฉียน’”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
รอกระทั่งอาจารย์เฉาและใต้เท้าฝู่จวินที่สวมชุดคลุมสีทองเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ น่าหลันอวี้เตี๋ยก็กระโดดผลุงขึ้นแล้วพลิกตัวกลับ เอามือลูบลายหลิงจือที่อยู่บนพนักพิงเก้าอี้ “พี่หญิงเผย เก้าอี้ตัวนี้ทำมาจากไม้อะไร มองดูแล้วท่าจะแพง มีราคามากเลยนะ”
เผยเฉียนนั่งกลับลงไปที่เดิม ยิ้มเอ่ย “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องมีราคาแน่ จำไว้ว่าพวกขวดไหต่างๆ อย่าไปแตะส่งเดช หากไปโดนพวกของเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ต้องยิ่งแพงเข้าไปอีก”
น่าหลันอวี้เตี๋ยหัวเราะคิกคัก “ไม่ทันระวังทำแตกก็เอาเสี่ยวเหยียนชดใช้ให้ ให้นางอยู่เป็นสาวใช้ที่นี่”
เหยาเสี่ยวเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเรียบร้อยอยู่ในกฎระเบียบตลอดเวลา พูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หญิงอวี้เตี๋ย อย่าขู่ข้าสิ”
เหอกูคือคนที่ตัวสูงที่สุดในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งเก้าคน เขายกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วแกว่งขาไปมา “ที่แท้จวนเทพภูเขาก็เป็นแบบนี้นี่เอง ยังสู้ยอดเขาอวิ๋นจี๋กับหาดหินหวงเฮ้อไม่ได้เลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!