กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 758

อายุน้อยจะคงอยู่ได้นานสักเท่าไร ช่วงเวลาของความเยาว์วัยจะยาวนานได้อย่างไร

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมม เหยาเซียนจือ สตรีพกดาบ เหยาหลิ่งจือ

ยามที่พบกันคราแรก คนหนึ่งยังคงเป็นเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตชีวารอยยิ้มเจิดจ้า อีกคนหนึ่งคือเด็กสาวผู้องอาจทั่วร่างฉายประกายคมกริบ

เหยาเซียนจือคล้ายจะเขินอายเล็กน้อย ริมฝีปากขยับแต่เอ่ยถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาไม่ได้ ถ้อยคำตามมารยาทไม่ยินดีจะพูด ความในใจก็มีมากเกินไป แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน สุดท้ายจึงเงียบงันอยู่อย่างนั้น

เหยาหลิ่งจือ บุตรสาวของจิ่วเหนียงแห่งโรงเตี๊ยมเมืองหูเอ๋อร์ นางยังคงตรงไปตรงมา ราวกับว่าการขัดเกลาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกลาเอามุมแหลมคมของนิสัยนางออกไปได้สักเท่าไร นางมองบุรุษคนนั้นอย่างเปิดเผย พยักหน้ายิ้มเอ่ย “คุณชายเฉิน ไม่ได้เจอกันนานแล้วจริงๆ”

เฉินผิงอันถาม “พาข้าไปพบแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาหน่อยได้หรือไม่?”

เหยาเซียนจือพยักหน้า

เหยาหลิ่งจือสัมผัสได้ถึงความผิดปกติรอบด้านราวกับว่าการมาถึงของเฉินผิงอันก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะจวนเหยาในทุกวันนี้ไม่ใช่จวนของเจ้ากรมในอดีตอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่ในนครเซิ่นจิ่ง มีคนบุกเข้ามาที่นี่โดยพลการจึงต้องมีการป้องกันเข้มงวด

เฉินผิงอันเอ่ยขออภัย “ค่อนข้างมาอย่างรีบร้อน คงต้องขอให้พวกเจ้าช่วยอธิบายให้สักหน่อย บอกไปว่ามีคนมาเป็นแขกที่จวนเหยา บอกให้ทางนครเซิ่นจิ่งไม่ต้องตึงเครียด ส่วนข้าเป็นใครก็ไม่ต้องบอกแล้ว”

เหยาหลิ่งจือไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างไม่มีความลังเลใดๆ ให้เหยาเซียนจือน้องชายพาเฉินผิงอันไปเยี่ยมท่านปู่ของพวกเขา

เหยาเซียนจือเดินขากะเผลก ทั้งยังมีชายแขนเสื้อช่วงหนึ่งที่ว่างเปล่า บุรุษอยากจะปิดบังอำพราง แต่กลับเปลืองแรงเปล่าเท่านั้น

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าจะกำลังทะเลาะกับพี่สาวของเจ้า? เถียงกันเรื่องอะไร?”

เหยาเซียนจือตอบเสียงเบา “พี่สาวข้ายิ่งอายุมากก็ยิ่งขี้บ่น อยากจะให้ข้าหาภรรยาอยู่ตลอด วันๆ ทำตัวเป็นแม่สื่อแนะนำคนโน้นทีคนนี้ที ท่าทางจะติดใจเสียแล้ว ทำให้สตรีพวกนั้นลำบากใจเปล่าๆ ทุกวันนี้สารรูปข้าเป็นอย่างไรใช่ว่านางจะไม่รู้สักหน่อย ต่อให้มีสตรีพยักหน้าตอบตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้จริง เป้าหมายคืออะไร ข้าก็ไม่ได้โง่ คงไม่ได้มุ่งหวังเพราะข้าอายุน้อยมีความสามารถ แถมยังหล่อเหลารูปงามหรอกกระมัง? อาจารย์เฉิน ท่านว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ล้วนเป็นความรู้สึกของคนปกติทั่วไป โน้มน้าวก็ปกติ รำคาญก็ปกติ เว้นเสียจากว่าวันใดเจ้าได้เจอกับสตรีที่ตัวเองชอบค่อยแต่งเข้าเรือนมา ก่อนจะถึงวันนั้นเจ้าก็จงทนรับความรำคาญไปแต่โดยดีเถอะ ไม่อาจแก้ไขได้”

เหยาเซียนจือคลี่ยิ้ม “อาจารย์เฉิน ตอนนี้มองดูเหมือนข้าแก่กว่าท่านมากแล้ว”

เฉินผิงอันตบหัวเหยาเซียนจือเบาๆ “นอกจากดูแก่ไปสักหน่อย ชื่อเสียงก็มากขึ้น นิสัยก็ยังเจ้าอารมณ์อยู่เหมือนเดิม ถึงกับทะเลาะกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของถ้ำมังกรขาวกลางตลาดเลยทีเดียว”

เหยาเซียนจือถูกตบไปทีหนึ่งกลับหัวเราะได้ หัวเราะได้โดยไม่ต้องดื่มเหล้า สำหรับ ‘เหยาจวิ้นหวัง’ (หรือจวิ้นอ๋อง ตำแหน่งรองจากชินหวัง/ชินอ๋อง เชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่สอง) ในทุกวันนี้แล้ว เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

ในเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง บนประตูเรือนแปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสขนาดสูงเท่าตัวคนไว้สองภาพ ตอนนี้เพื่อพิทักษ์ปกป้องหน้าประตูจึงได้เผยร่างทองเรียบร้อยแล้ว

นี่ไม่ใช่การ ‘แสดงความศักดิ์สิทธิ์’ ของขุนเขาสายน้ำปกติทั่วไป เทพทวารบาลร่างทองสององค์ตรงหน้านี้แบกโชคชะตาบุ๋นบู๊ของหนึ่งทวีปเอาไว้ คาดว่าคงจะถือว่าเป็นการเบียดบังส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตนของฮ่องเต้พระองค์นั้นได้กระมัง เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน เพราะคนที่ช่วย ‘ลงลายเส้นทอง’ ให้กับเทพทวารบาลก็คือกองโหราศาสตร์ของแคว้นที่ถือพู่กันของใช้ส่วนพระองค์ซึ่งฮ่องเต้ประทานให้ด้วยตัวเอง ทุกขีดเส้นล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ และคนที่ช่วย ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับเทพทวารบาลทั้งสององค์นี้ แค่เฉินผิงอันมองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านใด ถือเป็นการช่วยชี้แนะบ้านเมืองจากอริยะลัทธิขงจื๊อ เห็นได้ชัดว่าลัทธิขงจื๊อ นับตั้งแต่ศาลบุ๋นไปจนถึงสำนักศึกษาของทวีปต่างก็โปรดปรานสกุลเหยาต้าเฉวียนอย่างยิ่ง

นับจากนี้ไปเทพทวารบาลสององค์ที่เผยมหามรรคาอยู่ตรงหน้าประตูเรือนหลังนี้ก็จะเชื่อมโยงเข้ากับโชคชะตาแคว้นของต้าเฉวียน ได้ดื่มด่ำอาบไล้อยู่ท่ามกลางควันธูปของโลกมนุษย์นานนับร้อยนับพันปี ถือเป็นการวาดเส้นทองแปะทองที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดบนวิถีทางแห่งเทพ

ก่อนหน้านี้อันที่จริงเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้แล้ว สามารถมั่นใจได้ว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาพักฟื้นอยู่ที่นี่ การที่เขาไม่ได้ตรงเข้ามาที่นี่เลย หนึ่งเพราะจะเป็นการบุ่มบ่ามเกินไป กังวลว่าปราณกระบี่และปณิธานหมัดบนร่างของตนจะยังเก็บมาไม่หมด ทำให้ ‘ปราณโชติช่วง’ มากเกินไป จะไปละเมิดข้อห้ามภูเขาสายน้ำ ไม่ทันระวังไปกระทบโดนชะตาอายุขัยของแม่ทัพผู้เฒ่า นอกจากนี้เฉินผิงอันเองก็อยากจะผ่อนคลายสภาพจิตใจของตัวเองกับสองพี่น้องก่อนด้วย

เทพทวารบาลสององค์จ้องเขม็งมายังคนชุดเขียว จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุมหมัดคารวะแทบจะในเวลาเดียวกัน สีหน้านอบน้อม เป็นฝ่ายเปิดทางให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง

เหยาเซียนจืออึ้งตะลึง เดิมทีเขานึกว่าตัวเองยังต้องอธิบายก่อนสักสองสามประโยคถึงจะทำให้อาจารย์เฉินข้ามผ่านตราผนึกต้องห้ามของประตูเรือนหลังนี้เข้าไปได้

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน เดินตามเหยาเซียนจือเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ด้านในห้องวางกระถางธูปตระกูลเซียนใบหนึ่งไว้บนโต๊ะ ควันสีม่วงลอยอวลกรุ่น กลิ่นหอมสดชื่นชวนให้คนปลอดโปร่ง

ผู้เฒ่าที่ทั้งหนวดและเส้นผมล้วนเป็นสีขาวหิมะนอนป่วยอยู่บนเตียง ลมหายใจแผ่วเบารวยริน

เหยาเซียนจือเคลื่อนไหวแผ่วเบานุ่มนวล ช่วยยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างเตียงให้กับเฉินผิงอัน ส่วนตัวเขาเองนั่งอยู่ห่างออกไป

ก่อนที่เฉินผิงอันจะนั่งลง เขาได้หยิบยันต์สีทองหลายแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วแปะลงบนประตูห้องกับบนหน้าต่าง คือยันต์ชั้นสูงสองสามชนิดที่มีบันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จรงิตำราสีชาด’ หนึ่งในนั้นมีชื่อว่า ‘ยันต์ท่าข้ามฟาก’ สามารถปลอบประโลมจิตวิญญาณให้สงบมั่นคง ลดผลกระทบที่มาจากการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้น้อยลง เพียงแต่ว่ายันต์ประเภทนี้สิ้นเปลืองกระดาษยันต์อย่างมาก ประเด็นสำคัญคือการหลอมยันต์ชนิดนี้ ระดับการเผาผลาญจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน อันที่จริงเหนือกว่าการวาดยันต์โจมตีเยอะมาก นอกจากยันต์ท่าข้ามฟากแล้ว บนประตูยังแปะ ‘ยันต์ม้าวัวพักชั่วคราว’ ที่หายสาบสูญไปนานแล้วอีกหลายแผ่น ไม่อาจขัดขวางม้าและวัวที่มาถึงหน้าประตูได้ แต่กลับสามารถทำให้กุ่ยชาของโลกวิญญาณมองเห็นยันต์เทพแต่ไกล แล้วหยุดพักชั่วคราว ด้วยมารยาทพิธีการที่เก่าแก่ซึ่งลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่งประเภทนี้ กฎเกณฑ์ขุนเขาสายน้ำจำพวกนี้ ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต่อให้เป็นตำราสะสมของตระกูลเซียนอักษรจงทั่วไปก็ยังไม่มีบันทึกไว้

หยินหยางอยู่คนละเส้นทาง ต่างคนต่างเดินไปบนทางของตัวเอง หลักการเดียวกับคำกล่าวที่บอกว่านกมีเส้นทางของนก หนูก็มีเส้นทางของหนู หากผู้ฝึกตนไม่ได้เปิดเนตรสวรรค์ หรือไม่เคยเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ได้เจอกับเทพอภิบาลเมืองหรือเทพแห่งผืนดินโดยบังเอิญก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ผู้ฝึกตนลงจากเขาเหมือนเทพเซียนลงมาเยือนพื้นดินของโลกมนุษย์ ถึงขั้นที่ว่าเป็นกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างหนึ่งในวงการขุนนางของขุนเขาสายน้ำ แต่หากอยากจะพบเจอกับเสมียนโลกวิญญาณที่แตกต่างจากเทพท่องทิวาราตรีอย่างสิ้นเชิงนั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยากพอๆ กับการที่มนุษย์ธรรมดามองเห็นพวกวิญญาณวัตถุหยินทั้งหลาย อีกทั้งหากเจอเข้า ผู้ฝึกลมปราณก็ยังไม่มองว่าเป็นเรื่องดีอะไร

ตามบันทึกที่อ่านทำความเข้าใจได้ยากของคฤหาสน์หลบร้อน คน ไม่ว่าจะฝึกตนหรือไม่ กับกุ่ยชาของนครเฟิงตู (เมืองผี/เมืองแห่งความตาย) ถือว่าต่างฝ่ายต่างเดินกันคนละฝั่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีมหามรรคาแห่งฟ้าดิน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ดังนั้นเฉินผิงอันที่ออกเดินทางท่องเที่ยวมานักต่อนัก นอกจากจะอาศัยใบบุญของจงขุยทำให้ได้เปิดหูเปิดตาเพิ่มพูนความรู้นอกศาลลำคลองม่ายเหอแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่เคยพบเจอกับกุ่ยชาตนใดของนครเฟิงตูอีกแม้แต่ตนเดียว อีกทั้งครั้งนั้นเป็นการพบเจอที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่เคยชินกับการหยุดชะงักของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ถึงได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงซึ่งเห็นได้ยากของเสมียนนครเฟิงตูผู้นั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันในระยะประชิดก็ยังจะเดินสวนไหล่ผ่านกันไปอยู่ดี

ออกเดินทางมานานหลายปี บ้างก็วาดยันต์บ้างก็มอบให้คนอื่น เฉินผิงอันได้ใช้กระดาษยันต์สีทองทั้งหมดที่ตัวเองเก็บรักษาไว้ไปหมดแล้ว กระดาษยันต์ล้ำค่าที่เอามาวาดยันต์พวกนี้ เป็นเฉินผิงอันไปขอยืมจากชุยตงซานมาชั่วคราวตอนที่อยู่บนเรือเมฆาก่อนหน้านี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!