กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 758

สรุปบท บทที่ 758.2 สหายเก่านั่งเต็มห้องโถง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 758.2 สหายเก่านั่งเต็มห้องโถง – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 758.2 สหายเก่านั่งเต็มห้องโถง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ผู้เฒ่าฝืนลืมตาขึ้น การมองเห็นพร่าเลือน พอจะมองเห็นบุรุษที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้วอย่างเลือนราง ยังคงปักปิ่นหยกอยู่เฉกเช่นเดิม หลังจากกระแอมสองสามที บนใบหน้าของผู้เฒ่ากลับมีประกายสดใสเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ใช่แล้ว พระพุทธองค์ตัวจริงเอ่ยแค่ถ้อยคำทั่วไปเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าผู้มีความสามารถจะอธิบายหลักการที่ลึกล้ำด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย หรือสิ่งที่ดีงามอย่างแท้จริงมักจะเปิดเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ) ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ข้ารู้จักผู้นั้น เพียงแต่ว่าโตขึ้นไม่น้อยแล้ว ตอนที่อายุน้อยต้องเจอกับความยากลำบาก หากไม่เอะอะโวยวาย พยาพยามจะให้ทุกคนในใต้หล้าได้ยิน ก็จะชอบเก็บกลั้นไว้ในท้องของตัวเอง มักจะรู้สึกว่าผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ปี ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว อันที่จริงจะมีเรื่องดีแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่าคนเรามีชีวิตอยู่บนโลกมักมีแต่เรื่องที่ไม่สมปรารถนาอยู่เสมอน่ะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหลังมือของคนหนุ่มเบาๆ “ความลำบากบางอย่างของตระกูลเหยาในทุกวันนี้ หาใช่เพราะวิถีทางโลกดีหรือเลวอย่างไร แต่เป็นหลักการเหตุผลที่เป็นเช่นไรถึงได้ทำให้คนลำบากใจ ข้าเอง และจิ้นจือเอง ต่างก็มีปมในใจ เจ้ามาหรือไม่มา จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกวันนี้ได้มากหรือไม่มาก ล้วนไม่เกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนเส้นทางให้ข้าเหยาเจิ้นตาแก่หนังเหนียวไม่ยอมตายผู้นี้กลายเป็นคนแก่หนังเหนียวยิ่งกว่าเดิม ให้ไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอะไรนั่น ย่อมต้องทำได้ เพียงแต่ว่าไม่อาจทำ ผิงอันน้อย?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “สามารถเข้าใจได้”

ต้าเฉวียนสามารถประคับประคองเจิ้งซู่ฝู่จวินของจวนจินหวง รวมไปถึงหลิ่วโย่วหรงเทพวารีทะเลสาบซงเจิน ตำแหน่งเทพของเจิ้งซู่เป็นรองแค่ห้าขุนเขาต้าเฉวียนเท่านั้น หลิ่วโย่วหรงเองก็เป็นองค์เทพแห่งสายน้ำลำดับสอง ตำแหน่งเทพเป็นรองแค่เทพวารีลำคลองม่ายเหอของตำหนักปี้โหยว นี่ก็เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่าคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียน หมาและไก่พลอยได้ขึ้นสวรรค์

และคนหนึ่งที่ว่านี้ แน่นอนว่าก็คือเหยาจิ้นจือ ฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน

ถ้าเช่นนั้นแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่คุณูปการสามารถสยบฝูงชน เป็นจุดศูนย์รวมของจิตใจคนได้นั้น ก็อย่าว่าแต่เทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวงอะไรเลย ต่อให้กลายเป็นซานจวินห้าขุนเขาของสกุลเหยาต้าเฉวียนก็ยังไม่ยาก

เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ฮ่องเต้ที่เป็นสตรีใช่ว่าจะไม่มี แต่มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่โชคชะตาแคว้นมักจะไม่ยืนยาว

ท่ามกลางกลียุค ใครที่นั่งบัลลังก์มังกรสวมชุดคลุมมังกรคือภาระหน้าที่ แต่หากสามารถนั่งบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคงกลับยิ่งเป็นความสามารถ ทว่าพอยุคแห่งความสันติสุขมาถึง สตรีคนหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์กลายเป็นฮ่องเต้ มีหรือจะราบรื่น

สกุลหลิวต้าเฉวียนนอกจากอดีตฮ่องเต้ที่สูญเสียความเชื่อใจจากชาวประชาแล้ว อันที่จริงต้าเฉวียนก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยกว่าปี ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยที่ผ่านๆ มาล้วนถือว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา แทบไม่มีกษัตริย์ที่เป็นทรราช นี่ก็หมายความว่าไม่ว่าสกุลหลิวจะอยู่ในราชสำนัก บนภูเขา ยุทธภพหรือในหมู่ชาวบ้าน ก็ยังคงเป็นแซ่แห่งแคว้นต้าเฉวียน

ดังนั้นการเลือกของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา จะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งหรือไม่ อันที่จริงก็คือการเลือกในใจของผู้เฒ่าว่าจะต้องการเปลี่ยนแซ่แคว้นต้าเฉวียนจาก ‘หลิว’ เป็น ‘เหยา’ หรือไม่นั่นเอง เห็นในชัดว่าในใจของผู้เฒ่ายังคงหวังให้ต้าเฉวียนเป็นของสกุลหลิวดังเดิม และในเรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเหยาเจิ้นแม่ทัพผู้เฒ่ากับหลานสาว เหยาจิ้นจือผู้ซึ่งเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอาจจะเกิดความขัดแย้งบางอย่าง ถึงขั้นที่ว่าความคิดของแม่ทัพผู้เฒ่าสวนทางกับความหวังของคนตลอดทั้งสกุลเหยาอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานรุ่นที่อายุน้อยที่สุด

เหยาเซียนจือไม่รู้ว่าตนควรจะดีใจหรือเสียใจดี

วันนี้สีหน้าของท่านปู่ดูดีมาก ดีมากเป็นพิเศษ เป็นเหตุให้มีแรงกายแรงใจพูดคุยได้หลายคำ เทียบกับคำพูดของเมื่อครึ่งปีก่อนรวมกันแล้วยังมากกว่าเสียอีก

เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปพูดกับเหยาเซียนจือ “ไปเรียกพี่สาวของเจ้ามา เรียกมาทั้งสองคนเลย”

สีหน้าของเหยาเซียนจือมีความขมขื่นอยู่บ้าง “ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่อยู่ในนครเซิ่นจิ่ง เสด็จไปยังจวนเก่าตระกูลเหยาที่ชายแดนทางทิศใต้แล้ว”

เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่กับที่

ภายใต้การประคองของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าลุกขึ้นนั่งช้าๆ เขาถึงกับหัวเราะออก เอ่ยสัพยอกว่า “นี่ก็ไม่ได้ปรึกษากับเจ้าอีกใช่หรือไม่ ใช่แล้ว นี่ก็คือชีวิตคน”

เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งก็ทำให้แม่ทัพผู้เฒ่าสีหน้าเหนื่อยล้า ได้แต่ขยับนิ้วมือเล็กน้อย ถือเป็นการโบกมือบอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าไม่ต้องคิดมาก “ธุระหลังตายไปล้วนมอบหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ลูกหลานตระกูลเหยาต่างก็เห็นความเป็นความตายกันมาจนเคยชิน ไม่มีใครที่บอบบาง คนที่อายุน้อยๆ ก็รบตายอยู่ในสมรภูมิรบก็ยิ่งมีมากมาย ไม่มีเหตุผลที่มีชีวิตอยู่มาจนอายุเท่าข้าปูนนี้แล้ว พอจะจากไป กลับกลายเป็นว่าในห้องมีแต่ความกดดันเศร้าสร้อย วุ่นวายนัก ถึงเวลานั้นหากร้องไห้ก็กลัวจะรบกวนข้า ไม่ร้องไห้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่กตัญญู นี่มันน่าดูเสียที่ไหน”

เฉินผิงอันถาม “ข้าสามารถทำอะไรได้บ้างไหม?”

ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้องทำอะไร แค่อย่าจากไปอย่างไร้ข่าวคราวอีกก็พอ ต่อให้อยู่กันคนละทวีปก็สามารถส่งกระบี่บินหากันได้ กิจธุระในตระกูลเหยา เรื่องราวของแคว้นต้าเฉวียน เจ้ามีส่วนร่วมให้น้อยเป็นดี เห็นตัวเองเป็นลูกเขยตระกูลเหยาของพวกเราจริงๆ หรือไร? ปีนั้นมัวไปทำอะไรอยู่เล่า? หากปีนั้นเจ้าไม่ได้จงใจแกล้งโง่ ยินดีเดินเพิ่มอีกสักก้าวสองก้าว ก็ไม่แน่ว่า…ช่างเถิด”

เหยาเซียนจือแอบหัวเราะ

ขุนนางและบัณฑิตทุกคนที่ทิ้งวลีติดปากและถ้อยคำสูงส่งไว้ในศึกสงคราม จากนั้นก็โชคดีรอดชีวิตมาได้ ปีนั้นพวกเขาหนีเข้ามาหลบภัยในอาณาเขตของเมืองหลวงได้สำเร็จ ทุกวันนี้กลับไม่อาจได้ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในใจกลางราชสำนักและวงการขุนนาง คนพวกนี้แน่นอนว่าต่างก็เป็นพวกที่คัดค้านไม่ให้สกุลเหยาปกครองแคว้นอย่างสุดกำลัง เป็นพวกที่อยากยึดครองคุณธรรมน้ำใจยิ่งใหญ่มาไว้ทั้งหมด เอาแซ่สกุลของแคว้นกลับมาให้สกุลหืลวอีกครั้ง สตรีปกครองบ้านเมือง น่าดูที่ไหนกัน

เฉินผิงอันถาม “สวี่ชิงโจว?”

เหยาเซียนจือพยักหน้ารับ “รู้ว่าเขามีบุญคุณความแค้นกับอาจารย์เฉินอย่างลึกล้ำ แต่ข้าก็ต้องขอพูดประโยคที่เป็นธรรมแทนเขาสักหน่อย หลายปีมานี้คนผู้นี้ที่อยู่ในราชสำนัก นับว่ามีความรับผิดชอบอยู่บ้าง”

สวี่ชิงโจว แม่ทัพผู้เฒ่าอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว พกดาบ ‘ต้าเฉี่ยว’ ทุกวันนี้คือแม่ทัพใหญ่อักษรเจิง (เจิงแปลว่ากรีฑาทัพ ยกทัพไปปราบปราม มักจะใช้เป็นยศของพวกแม่ทัพ ยกตัวอย่างเช่นแม่ทัพเจิงเป่ย ก็หมายถึงแม่ทัพที่ยกทัพไปปราบปรามข้าศึกทางทิศเหนือ) ผลงานทางการสู้รบเกริกก้อง ปีนั้นสวี่ชิงโจวนำพากองทัพสายตรงของตัวเองทั้งหมด เป็นฝ่ายกรีฑาทัพเดินทางไปยังชายแดน ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอยู่ตลอด ทั้งรบทั้งถอยกันมาตลอดทาง สุดท้ายพิทักษ์นครเซิ่นจิ่งเอาไว้ได้ เดิมพันมากก็ชนะมาก จึงกลายมาเป็นหนึ่งเสาค้ำยันแคว้นของกองทัพต้าเฉวียนตามหลังแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา

ปีนั้นสวี่ชิงโจวยังเป็นเพียงแค่เมล็ดพันธ์แม่ทัพผู้หนึ่งที่วางเดิมพันหมดหน้าตักกับองค์ชายใหญ่ เคยเข้าร่วมการล้อมสังหารเฉินผิงอันร่วมกับหวังฉีวิญญูชนสำนักศึกษา สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เกาซื่อเจินเซินกั๋วกง เพียงแต่ว่าการเลือกของสวี่ชิงโจวในปีนั้นเด็ดขาดอย่างยิ่ง เขายอมที่จะแตกหักกับหลิวฉงองค์ชายใหญ่อย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาดฉับพลัน ตัดสินใจถอยออกมาจากการเดิมพันครั้งนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว ผลคือเดือดร้อนให้คนทั้งตระกูลที่อยู่ในวงการขุนนางต้องถูกดูแคลนนานหลายปีจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บุญคุณความแค้นไม่เล็ก แต่กับสวี่ชิงโจวและเซินกั๋วกง ข้ากลับมีความทรงจำที่ไม่เลวต่อพวกเขา”

ปีนั้นเฉินผิงอันผูกปมแค้นกับองค์ชายทั้งสองพระองค์ของต้าเฉวียน อันดับแรกก็เป็นองค์ชายสามหลิวเม่าก่อน จากนั้นจึงเป็นองค์ชายใหญ่หลิวฉง หลิวฉงคือบุตรชายคนแรกของอนุภรรยาหลิวเจินอดีตฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียน บุตรคนโตคนเล็กมีความต่าง ภรรยาเอกและอนุภรรยามีการแบ่งแยก สุดท้ายฮ่องเต้หลิวเจินก็ยังคงเลือกบุตรภรรยาเอกที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยมในกลุ่มขุนนางบุ๋นให้ขึ้นครองราชย์ ส่วนองค์ชายสามหลิวเม่านั้นได้หันไปฝึกบำเพ็ญตนหวังเป็นเซียนนานแล้ว ขนาดในสงครามก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยโผล่หน้ามา เพียงแค่ตั้งใจศึกษาตำราคำเขียวอยู่ในอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น

ทว่าท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวาย หลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราว สุดท้ายกลับไม่อาจรักษาบ้านเมืองของสกุลหลิวเอาไว้ได้ รอกระทั่งสงครามใหญ่ของใบถงทวีปปิดฉากลง ท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำคืนหนึ่ง หลิวฉงได้ก่อกบฏ พยายามจะช่วงชิงหยกลัญจกรสืบทอดของแคว้นมาจากมือเหยาจิ้นจือผู้เป็นฮองเฮา แต่กลับถูกผู้ถวายงานลึกลับที่ได้รับฉายาว่าคนลับมีดร่วมมือกับสตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่ตอนนั้นนั่งยองกินอาหารมื้อดึกอยู่หลังเสาระเบียง คนทั้งสองขัดขวางหลิวฉงเอาไว้ได้ ทุกสิ่งที่เขาทำมาจึงสูญเปล่า

ว่ากันว่าอ๋องเจ้าเมืองที่เส้นผมสยายยุ่งเหยิงถูกทหารสวมเสื้อเกราะลากตัวออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วยสภาพเหมือนคนขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังพลางสบถด่าประโยคประหลาดต่อม่านฝนว่า ‘หากข้าผู้อาวุโสรู้แต่แรกคงรอให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยลงมือ ไม่จำเลยจริงๆ พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ ระวังเถิดว่าวันหน้าต้าเฉวียนจะต้องแซ่เฉิน’

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!