หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่คงเป็นฝีมือของโจวจื่อแล้ว แล้วก็เป็นได้แค่เจ้าคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ไม่ว่าใครก็กล้าวางแผนเล่นงาน ไม่ว่าใครก็ล้วนถูกเขาเล่นงานได้ผู้นี้แล้ว กล้าหยอกเย้าเจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าเช่นนี้ เจ้าตะพาบเฒ่าที่ปีนั้นยังค่อนข้างหนุ่ม ช่วงเวลาที่ออกท่องเที่ยวไปเยือนอารามกวานเต๋าร่วมกับอาจารย์ของอาจารย์ ปีนั้นยังไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้ ได้พบนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นแล้วยังต้องเรียกว่าผู้อาวุโสแต่โดยดี จากนั้นก็วางหมากกระดานหนึ่ง แน่นอนว่าชนะแล้ว ดังนั้นนักพรตผู้เฒ่าถึงได้มอบปิ่นหยกขาวชิ้นนั้นมาให้
ส่วนโจวจื่อ คนผู้นี้ชอบคิดเตลิดเปิดเปิงจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยมากที่สุด เชี่ยวชาญการวางเม็ดหมากโดยไม่หยั่งรากมากที่สุด เม็ดหมากทุกเม็ดล่องลอยไม่อยู่นิ่ง เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ราวกับว่าทุกพื้นที่ล้วนมีบุปผาผลิบาน ทว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่เสมอ
เมื่อเทียบกับศิษย์น้องหญิงของเขาแล้ว โจวจื่อไม่ได้แค่มีตบะสูงกว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น
ชุยตงซานหันหน้าไปมองเจ้าอ้วนน้อยที่ยังฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง ถามว่า “หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม?”
เฉิงเฉาลู่เดินนิ่งหกก้าวรอบหนึ่งเสร็จจึงถามว่า “เดิมพันอะไร?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่มีทางเดิมพันกับข้าสักหน่อย แล้วยังจะถามทำผายลมอะไรว่าเดิมพันอะไร?”
เจ้าอ้วนน้อยเกาหัว “ทำไมเหมือนมาเป็นหนอนในท้องข้าเลยเล่า”
ชุยตงซานด่าขำๆ “วิชาหมัดใช้ได้นะ เป็นพ่อครัวที่ดี แต่ไม่ใช่คนฝึกยุทธที่เป็นพ่อครัวที่ดี ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่ดี”
เจ้าอ้วนน้อยถูกคำพูดวกวนอ้อมค้อมนี้ทำให้ปวดหัวนัก จึงหมุนตัวกลับไปเดินนิ่งต่ออีกครั้ง ยังคงเป็นอาจารย์เฉาที่ดีกว่า ไม่เคยพูดจาประหลาดฟังเข้าใจยาก
ชุยตงซานตบหัวเข่าของตัวเองไป “อย่าคิดว่าเจ้าเดินได้เร็ว ยังมีคนที่เดินเร็วกว่าเจ้า อย่าคิดว่าเจ้าเดินได้สูง มีเส้นทางยอดเขาสูงอยู่นานแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้าไปมองทางทิศเหนือที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า
ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น สองนิ้วคีบหนีบกระบี่บินส่งจดหมายเล่มหนึ่งที่ไปกลับยอดเขาเสินจ้วนมาได้ ก่อนหน้านี้สอบถามเจียงซ่างเจินไปว่าปีนั้นที่ตาเฒ่าสวินเข้าไปในนครเซิ่นจิ่ง นอกจากทำเรื่องธุระเป็นการเป็นงานแล้ว ยังได้แอบไปหาใครอีกหรือไม่
กระบี่บินส่งข่าวกลับมาบอกว่าเขาเคยไปหาคนคนหนึ่งจริง แต่แม้กระทั่งเขาเจียงซ่างเจินก็ยังถูกปิดหูปิดตา คาดว่าคงเป็นเพราะตาเฒ่าสวินหน้าบางไม่กล้าบอกว่าตัวเองไปหาชู้รักหน้าแก่มากระมัง
ชุยตงซานกลอกตามองบน เก็บกระบี่บินมา ช่างเถิด ไม่คิดมากแล้ว ทุกวันนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอาจารย์สูงส่ง เข้าขั้นสุดยอดแล้ว ตนที่เป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจยากที่จะยอมต่อให้อาจารย์เดินก่อนสิบสองเม็ดได้อีกแล้ว
นี่ไม่ใช่ว่าชุยตงซานประจบสอพลออะไร แต่เป็นอาจารย์ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกว่ามาเล่นหมากล้อมกันสักกระดาน จากนั้นก็ลากตนไปเล่นด้วยกัน วางกระหมานหมากลงไป อาจารย์มีมาดองอาจสง่างามยิ่งนัก คีบเม็ดหมากวางเม็ดหมากคล่องแคล่วว่องไวดุจเมฆคล้อยน้ำไหล สุดท้ายวางหมากลงบนกระดานไปสิบสองเม็ด สี่ไร้กังวล กลางเทียนหยวน และบวกอีกสามเส้นริมขอบ
ชุยตงซานยอมแพ้ทันใด
ผลคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ชมศึกอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ‘อาจารย์พ่อยอมให้เจ้าตั้งสิบสองเม็ดแล้ว เจ้ายังยอมแพ้อีกงั้นหรือ?’
น่าหลันอวี้เตี๋ยก็ยิ่งทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ‘ที่แท้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอาจารย์เฉาก็ร้ายกาจมากเลย มีความสามารถรอบด้านทั้งบุ๋นและบู๊’
อาจารย์ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ายิ้มบางๆ แล้วจึงเริ่มเก็บกระดานหมาก เคลื่อนไหวว่องไวยิ่ง
ตอนนั้นชุยตงซานมองอาจารย์แวบหนึ่ง จากนั้นจึงชำเลืองตามองศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เหล่ตาน้อยๆ คลี่ยิ้มประดับใบหน้าซึ่งเป็นท่าทางประจำตัว ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ท่าเรือซานสุ่ยของสำนักกุยหยก คนกลุ่มหนึ่งออกจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เดินทางลงใต้มุ่งหน้าไปยังท่าเรือชวีซานต่ออีกครั้ง
ส่วนเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ได้รับคำเรียกขานอย่างไพเราะว่าหวงอีอวิ๋นนั้น กลับออกจากพื้นที่มงคลย้อนกลับไปยังเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานเพียงลำพังนานแล้ว
ในภาพแยนจือภูเขาเทพีบุปผารุ่นล่าสุดนี้จะมีฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนคนนั้นอยู่หรือไม่ เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่สนใจ เอาเป็นว่าขอแค่ไม่มีนางก็พอแล้ว
หลูอิงผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของอารามจินติ่งนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวในเรือข้ามฟากลำหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลเซียนหาดหินหวงเฮ้อ บนธรณีประตูห้องมีหญิงสาวมัดผมแล้วมวยเป็นลูกกลมๆ กลางศีรษะนั่งอยู่ ส่วนเขาหลูอิงกลับนั่งหันหน้าเข้าหาบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง สองฝั่งด้านข้างคือหน้าต่าง
แสงแดดส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาสาดกระทบลงใบหน้าด้านหนึ่งของบุรุษผู้นั้น หนึ่งมืดหนึ่งสว่าง
นอกจากบุรุษคนนั้นจะถามคำถามยาวเหยียดแล้ว นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่เหลือจะเป็นแค่การพูดคุยสัพเพเหระกับหลูอิง บอกว่าผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ที่พึ่งอย่างพวกเรา ชีวิตทุกคนล้วนไม่สุขสบาย เส้นทางการเดินขึ้นเขาเล็กแคบเหมือนไส้แกะ ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนคนใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราที่พยายามหาเส้นทางเอาชีวิตรอดให้กับตัวเองอย่างยากลำบาก ดังนั้นรอกระทั่งถึงช่วงเวลาที่มีชีวิตดีๆ แล้ว จะดีจะชั่วก็ควรเหลือทางรอดไว้ให้คนอื่นบ้าง เพราะถึงอย่างไรพอเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกันหมดแล้ว ก็ควรจะพูดถึงเรื่องน้ำเส้นเล็กไหลยาวกันบ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ต้องการให้เจ้าหลูอิงต้องข่มกลั้นความอัปยศแบกรับภาระหนัก ต้องทรยศต่ออารามจินติ่งหรือฉีกหน้าแตกหักกับตู้หันหลิงอะไร ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด…วันนี้พวกเราสองพี่น้องมานั่งอยู่ที่นี่ พูดคุยกันอย่างถูกคอ เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย สำหรับเจินเหรินผู้ถวายงานแล้ว อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่เรียกได้ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเมื่อเดินออกไปจากประตู มีชีวิตอยู่นานได้อีกวันหนึ่งก็ถือเป็นกำไรแล้ว ทั้งยังไม่ได้ให้พี่ชายต้องเอ่ยคำสาบานร้ายแรงอะไรด้วย ต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดีนะ ไม่รู้จักทะนุถนอมโชคก็ต้องรู้จักถนอมชีวิตบ้าง ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่…
สรุปแล้วก็คือตอนนั้นหลูอิงได้แต่ผงกศีรษะรัวๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก ทำท่าทางเหมือนเด็กประถมในโรงเรียนที่ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อย่างไรอย่างนั้น
หลูอิงฟังเข้าหูแล้วจริงๆ
หากไม่ทะนุถนอมชีวิต เขาคงสู้ตายไปนานแล้ว
แน่นอนว่าในมือของคนหนุ่มที่มีสีหน้าเป็นมิตร ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ผู้นั้นคอยควงกริชเล่มหนึ่งเล่นอยู่ตลอดเวลา แสงมีดเปล่งวูบวาบ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ค่อนข้างสำคัญแล้ว
เมืองหลวงต้าเฉวียน ในคุกน้ำลึกลับแห่งหนึ่งของนครเซิ่นจิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!