หลิ่วโหรวพลันหัวเราะขึ้นมา ยื่นนิ้วโป้งออกมาทั้งสองข้าง ถามเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากับฮ่องเต้ที่งามล่มบ้านล่มเมืองท่านนั้น หืม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าล้อเล่นแบบนี้”
หลิ่วโหรวถอนหายใจ “เป็นวิญญูชนที่เที่ยงตรงเกินไปก็ไม่ดีนะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วันหน้าข้าจะพาภรรยาไปเยี่ยมเยือนตำหนักปี้โหยวด้วยกัน”
เหนียงเนียงเทพวารีมีสีหน้าตื่นตะลึง กระทืบเท้าอย่างแรง “อะไรนะ?! มีภรรยาแล้วจริงๆ รึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็หมดเรื่องสนุกแล้วสิ?”
เฉินผิงอันทำหน้าพิพักพิพ่วน ช่างเถิดๆ ยังคงไปเยือนลำคลองม่ายเหอเพียงลำพังดีกว่า
นางกระโดดตบไหล่เฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ยังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด หน้าบางทนการหยอกล้อไม่ได้ ดูเจ้าทำท่าตกใจเข้าสิ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องล้อเล่นแบบนี้ ห้ามเอามาพูดเล่นกัน จริงๆ นะ”
เหนียงเนียงเทพวารีหัวเราะหึหึ สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินก้าวเท้าอาดๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ยังได้พบหน้ากัน แล้วยังได้คุยเล่นกันแบบนี้ ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้อยู่ดีๆ นึกจะตายจากก็ตายจากกันไปทั้งอย่างนั้น ดีจริงๆ จริงๆ นะ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
……
เหยาหลิ่งจือไม่เพียงแต่ส่งอาจารย์ออกจากจวน ยังขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วย สองอาจารย์และศิษย์นั่งหันหน้าเข้าหากัน
หลิวจงถาม “มีเรื่องในใจหรือ?”
เหยาหลิ่งจือส่ายหน้า คลี่ยิ้มกว้าง “ได้กลับมาพบเจอกับผู้มีพระคุณของสกุลเหยาอีกครั้ง แล้วผู้มีพระคุณท่านนี้ยังเป็นสหายเก่าของอาจารย์พอดี ข้าจะมีเรื่องในใจอะไรได้เล่า”
หลิวจงเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร เริ่มหลับตาทำสมาธิ ค่อยๆ บำรุงความอบอุ่นให้กับปณิธานหมัดของตัวเองทีละนิด
ในระดับสูงของราชสำนักต้าเฉวียน รวมไปถึงฝ่ายในของชนชั้นสูงบางส่วน อันที่จริงมีความเห็นบางอย่างที่รู้กันดีแก่ใจมาโดยตลอด หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งติดต่อกันที่เกิดจากคนคนหนึ่งของปีนั้น แซ่ประจำแคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่มีทางเปลี่ยนจากหลิวมาเป็นเหยาได้แน่นอน
ที่ชายแดน หากไม่เป็นเพราะคนหนุ่มต่างถิ่นคนนั้นเดินทางผ่านมา ช่วยเหลือเหยาเจิ้นแม่ทัพผู้เฒ่าจากมือของนักฆ่าเป่ยจิ้นเอาไว้ได้ แน่นอนว่าต้องไม่มีเจ้ากรมกลาโหมที่เข้าเมืองหลวงมารับหน้าที่ต่อจากนั้นแน่นอน และยิ่งไม่มีเหยาจิ้นจือที่แต่งเข้าตระกูลเชื้อพระวงศ์ ที่โรงเตี๊ยมเมืองหูเอ๋อร์ หลิวเม่าองค์ชายสามสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล ความเสียหายที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลี่หลี่โซ่วกงไหวขันทีผู้ถือตราควบคุมกองทหารม้าที่ตายไปอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้หลิวเม่าสูญเสียแรงสนับสนุนอย่างลับๆ ในยุทธภพต้าเฉวียนไปครึ่งหนึ่ง ไม่มีการบัญชาการณ์จากหลี่หลี่ หลิวเม่าก็ไม่อาจสยบผู้คนได้ ผลคือถูกผู้ถวายงานแปลกหน้านามว่าหลิวจงมารับช่วงต่อยึดเอากองกำลังในยุทธภพทั้งหมดไปแทน
กุญแจสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเนื่องจากบุตรชายโทนอย่างเกาซู่อี้ตายไปกลางคัน เป็นเหตุให้เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่างไปจากหลิวเม่า ไม่ว่าเกาซู่อี้จะตายอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็ตายภายใต้เปลือกตาของหลิวเม่า นับแต่นั้นมาจวนของเซินกั๋วกงก็ปิดประตูใหญ่ต่อหลิวเม่า บวกกับการดักสังหารในภายหลังครานั้น หวังฉีวิญญูชนสำนักศึกษที่เคยเป็นผู้นำในวงการการประพันธ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ได้หายเข้ากลีบเมฆไปนับแต่นั้น อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวของหลิวฉงองค์ชายใหญ่ในนครเซิ่นจิ่ง รวมไปถึงอารามฉ่าวมู่ สกุลสวี่แห่งนครเซิ่นจิ่งของสวี่ชิงโจวที่หลังจากนั้นมาก็เริ่มแยกทางเดินไปคนละเส้นทางกับองค์ชายใหญ่หลิวฉง
ทุกเรื่องราวร้อยเรียงต่อกัน สุดท้ายจึงเป็นเหตุให้องค์ชายรองขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นหลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองถึงได้เอ่ยประโยคประหลาดนั้นท่ามกลางราตรีฝนพรำ
ในความคิดของหลิวฉง ต่อให้เหยาจิ้นจือจะกลายเป็นฮ่องเต้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ดังนั้นขอแค่นางยินดีแต่งงาน ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนจะต้องเปลี่ยนแซ่ไปพร้อมกับนาง
และในสายตาของหลิวฉง เฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ แต่ความคิดกลับรอบคอบรัดกุมผู้นั้น ขอแค่เขายินดีจะหวนกลับคืนมาต้าเฉวียนอีกครั้ง คิดจะยึดครองต้าเฉวียน ก็เป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ครานั้นอ๋องเจ้าเมืองหลิวฉงกับพันธมิตรเร่งรุดเดินทางไปร่วมการประชุมที่ท่าเรือใบท้ออย่างลับๆ รวมถึงหลูอิงผู้ถวายงานลำดับสูงสุดของอารามจินติ่ง แท้จริงแล้วมือกระบี่ชุดเขียวที่ปรากฎตัวในเวลานั้นก็เท่ากับเป็นเฉินผิงอันแล้ว
เพียงแต่ว่าการประชุมลับที่ท่าเรือก่อนการลงนามสันนิบาตใบท้อ ต่อให้เป็นหลิวจงที่เป็นโซ่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน และเหยาจิ้นจือผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงถูกปิดหูปิดตาเอาไว้
หลิวฉงที่อยู่ในคุกไม่พูดถึง กั๋วกงอย่างเกาซื่อเจินไม่เปิดปาก ตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่งไม่เอ่ย แน่นอนว่าย่อมมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ทว่าตลอดหลายปีมานี้ ในใจลึกๆ ของเหยาหลิ่งจือได้ซุกซ่อนความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่งเอาไว้อย่างระมัดระวัง เรื่องนี้ขนาดหลิวจงผู้เป็นอาจารย์ก็ยังไม่รู้ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เหยาจิ้นจือผู้เป็นพี่สาวก็ยังไม่รู้
ปีนั้นวังหลวงที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัว บุรุษสะพายกระบี่ แรกเริ่มเหยาหลิ่งจือยังจำเขาไม่ได้ ทว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายเปิดปากพูดกลับทำให้เหยาหลิ่งจือตะลึงพรึงเพริด
‘แม่นางเหยา จากกันไปนานหลายปี ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง จิ้นจือยังสบายดีหรือไม่?’
ตอนนั้นเหยาหลิ่งจือหลุดปากเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายไปโดยตรง
เฉินผิงอัน?!
มือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นผงกศีรษะรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ยื่นนิ้วมาวางทาบบนริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบาว่า ‘อีกเดี๋ยวข้าก็จะต้องไปแล้ว แม่นางเหยาวางใจได้เลย นครเซิ่นจิ่งมีข้าอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด’
ตอนนั้นเหมือนผีผลักให้เหยาหลิ่งจือปากมากถามไปอีกประโยคว่า ‘เจ้าจะไม่ไปดูจิ้นจือสักหน่อยจริงๆ หรือ?’
มือกระบี่ชุดเขียวที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นบุรุษผู้นั้นส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ไม่ต้องหรอก เห็นพวกเจ้าสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว’
จากนั้นร่างของอีกฝ่ายก็พุ่งวูบหายไป อยู่ในนครเซิ่นจิ่งเหมือนอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คน
มาจนถึงวันนี้เหยาหลิ่งจือก็ยังรู้สึกเหมือนว่านั่นคือความฝันตื่นหนึ่ง และคำว่าวางใจของเขาก็เป็นเพียงแค่ฝันงดงามของตนที่กลายมาเป็นความจริงเท่านั้น
อีกทั้งเหยาหลิ่งจือก็ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้ให้กับพี่สาวที่ตอนนั้นยังเป็นฮองเฮาทราบ รอกระทั่งเหยาจิ้นจือกลายเป็นฮ่องเต้ เหยาหลิ่งจือก็ยิ่งไม่มีความคิดจะบอกเรื่องนี้
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เหยาหลิ่งจือจึงกลัวที่จะได้พบกับบุรุษซึ่งช่วยเหลือตระกูลเหยาไว้สองครั้งผู้นั้นมาโดยตลอด
กังวลว่าจะเกิดหนึ่งในหมื่น
เพราะกลุ่มชั้นสูงของต้าเฉวียนล้วนรู้ดีว่าบนยอดเขาจ้าวผิงที่อยู่นอกเมืองหลวง เคยมีมือกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่มักจะชอบมาชมทัศนียภาพยามที่หิมะใหญ่ตกลงมาในนครเซิ่นจิ่งอยู่ไกลๆ
เล่าลือกันว่านั่นคือเซียนกระบี่ที่เป็นผู้นำของร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหราน
มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!
แต่เขาจะกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้อย่างไร?
หรือว่าเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอถูกหลอกแล้ว?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!