นางร้องอ้อหนึ่งที แล้วเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ข้าก็แค่รู้สึกใจคอไม่ดีไม่ใช่หรือ เจ้าว่าแปลกหรือไม่ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้พบเจอกับนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ก็จะขอท่านปู่บอกท่านย่า บอกว่าขอแค่ชีวิตนี้ได้พบเจอเขาสักครั้งก็พอใจแล้ว แต่รอกระทั่งได้เจอกันจริงๆ ครั้งหนึ่งไหนเลยจะพอ อยากจะเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เลื่อมใสมานานอีกเป็นครั้งที่สอง แน่นอนว่าหากมีครั้งที่สามข้าก็ไม่รังเกียจว่ามากเกินไป เฮ้อ ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งช่างมีมาดของอริยะจริงๆ ความใจกว้างเช่นนั้น ยามค่ำคืนก็ช่างใหญ่โตเหมือนเอาดวงตะวันมาแทนโคมไฟเลยจริงๆ ส่องสว่างเจิดจ้าเสียจนคนตาพร่าลาย แค่ได้พบหน้ากันข้าก็มองออกทันที มองไปปราดแรกก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่มาเยือนเองถึงจวน ภาพบรรยากาศของอริยะปราชญ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่จริงดังคาด ทว่าครั้งแรกที่พบเจอกับเซียนกระบี่จั่ว ข้าขาดแววตาในการมองคนไปสักเล็กน้อย ต้องมองแวบที่สองถึงจะมองออก…”
เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรมแล้ว รอให้เหนียงเนียงเทพวารีพูดให้จบก่อนก็แล้วกัน
ลำคลองม่ายเหอเคยเป็นลำคลองเส้นหลักของลำน้ำใหญ่ในใบถงทวีปที่ไหลลงสู่ทะเล เพียงแต่ว่ากาลเวลาผันผ่าน ขนาดของลำน้ำใหญ่หดเล็กลงมามาก สุดท้ายลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรจึงเหลือเพียงลำคลองช่วงเล็กๆ อย่างลำคลองม่ายเหอนี้เส้นเดียวเท่านั้น ในอดีตจวนปี้โหยวเป็นที่ตั้งเก่าวังมังกรของราชามังกรลำน้ำใหญ่ตนหนึ่ง แผ่นหยกที่เกิดจากโชคชะตาน้ำรวมตัวจนกลายเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริงชิ้นนั้นก็คือหลักฐานแสดงตัวตนของเจ้าแห่งลำน้ำใหญ่ เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอได้มาครองโดยบังเอิญ จากนั้นนางจึงนำจารึกขอฝนที่ ‘หมื่นสรรพสิ่งล้วนหล่อหลอมได้’ แกะสลักลงไปด้านบน มีคำอธิบายบอกกล่าวไว้อย่างละเอียด
หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ทุกวันนี้ร่างทองของเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ปริแตกไปเกินครึ่ง ลำพังแค่อาศัยหิมะใหญ่ที่หนึ่งปีจะตกลงมาหลายครั้งของนครเซิ่นจิ่ง คาดว่าหากไม่ได้รับการชดเชยสักสามร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกลับคืนมาสมบูรณ์ดังเดิมได้ และสกุลหลิวต้าเฉวียนก็เพิ่งก่อตั้งแคว้นมาได้แค่สองร้อยกว่าปีเท่านั้น เว้นเสียจากว่าทางราชสำนักสามารถช่วยขยับขยายเส้นทางลำคลองให้กว้างขึ้น ขณะเดียวกันก็รับเอาลำธารจากต้นกำเนิดน้ำที่แตกต่างกันมามากกว่าเดิม
ทว่าเฉินผิงอันรู้ดีว่าสกุลเหยาต้าเฉวียน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัวแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะทุ่มเทกำลังแคว้นให้กับลำคลองม่ายเหอสายเดียวเช่นนี้ สำหรับตระกูลเหยาและลำคลองม่ายเหอ ต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ทั้งหลาย ใหญ่จนถึงซานจวินห้าขุนเขา เล็กจนถึงเทพแห่งผืนดิน พ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลอง ล้วนเป็นวงการขุนนางขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ในที่สุดเหนียงเนียงเทพวารีก็คืนสติ อาจารย์น้อยที่เดินอยู่ข้างกายเงียบไปนานแล้ว เริ่มเหม่อลอยจนถึงกับลืมพูดกับตนไปเลยหรือ?
เมื่อนางหยุดพูด ในที่สุดเฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงในใจว่า “ปีนั้นเหนียงเนียงเทพวารีมอบทั้งแผ่นหยกและคาถาให้ข้ามาพร้อมกัน ข้าได้รับผลประโยชน์มหาศาลเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตก็จะยิ่งเป็นเช่นนี้ บอกตามตรง เพราะมีมันถึงทำให้ข้าข้ามผ่านวันเวลาที่ไม่เป็นดังใจปรารถนาช่วงหนึ่งมาได้”
หลิ่วโหรวหัวเราะเสียงดังกังวาน “แบบนั้นก็ดีน่ะสิ ข้าก็นึกว่ามีเรื่องอะไร อาจารย์น้อยทำท่าทางจริงจังขนาดนี้ ทำเอาข้าอกสั่นขวัญผวามาถึงตอนนี้ เรื่องเอ่ยขอบคุณนั้นไม่ต้องหรอก ห่างเหิน เหมือนเป็นคนอื่นต่อกัน พวกเราสองคนเป็นใครกับใครกันเล่า”
เฉินผิงอันยิ่งเหนื่อยใจมากกว่าเดิม ความจริงบางอย่าง ทุกวันนี้ไม่สะดวกจะพูดมาก แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเหนียงเนียงเทพวารี นางคงไม่เห็นคาถาและแผ่นหยกนั่นเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลยจริงๆ
แผ่นหยกโชคชะตาน้ำที่แกะสลักคาถาเอาไว้แผ่นนั้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เนื้อหาของคาถาและตัวอักษรที่เป็นคำอธิบายมีทั้งสิ้นห้าพันกว่าตัว บวกกับคาถาหลอมวัตถุที่ฮว่อหลงเจินเหรินมอบให้ในถ้ำสวรรค์วังมังกร ทั้งสองอย่างควบคู่กัน ช่วยเหลือประคับประคองกันและกัน ทำให้เฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรื่องให้ทำมากมาย
วิธีการฝึกตนมองดูเหมือนว่าเป็นการหลอมวัตถุ แต่แท้จริงแล้วกลับบรรยายถึงสัจธรรมการโคจรของวิถีแห่งห้าธาตุเอาไว้ ซึ่งเหมาะสมกับเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด บวกกับคำจำกัดความที่คาถาบทนั้นมีต่อเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์ที่ทั้งลี้ลับมหัศจรรย์และทั้งแม่นยำสุดขีด น้ำขวดทองบนฟ้าหนึ่งหยด เส้นด้ายพุ่งเต็มความว่างเปล่าดุจกระสวยทอผ้า…นับตั้งแต่โอสถทองแตกสลาย เลื่อนเป็นก่อกำเนิด จากนั้นจึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธยอดเขา เรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเฉินผิงอันโดยแท้ ล้วนมีประโยชน์มหาศาล จุดที่สำคัญที่สุดและลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่าคาถานั้นเกี่ยวพันไปถึงนครแห่งที่สี่ของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง คนที่ได้รับแผ่นหยกไป ขอแค่ทำการอนุมานเล็กน้อยก็จะค้นพบเส้นทางสี่เส้นที่ซ่อนอยู่ภายใน ทุกเส้นล้วนสามารถมองเป็นเส้นทางเดินขึ้นสวรรค์ที่ทำให้คนมีความหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ อีกทั้งยังไม่ถึงขั้นหลงเดินไปทางผิด ไม่ถูกจิตมารทำลายปั่นป่วนจิตแห่งมรรคาไปได้ง่ายๆ แน่นอนว่าจิตมารยังคงอยู่ ไม่มีทางที่จะหายไปทั้งอย่างนี้ ทว่าพลานุภาพของจิตมารถูกลดทอนลงอย่างฮวบฮาบ ราวกับถูกมรรกถาสยบกำราบเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘กลายเป็นสี่วันเย็น ปัดกวาดไอร้อนใต้หล้า’ ที่เอ่ยถึงในคาถา เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนเหมือนได้อยู่ในสถานที่เย็นสบายที่บนพื้นที่ราบแห่งหนึ่งมีหอสูงตั้งตระหง่าน จิตมารถูกขับไล่ออกไปด้านนอก คิดจะก่อกวนก็ราวกับต้องแหวกฝ่าฟ้าดินเล็กที่มีอริยะคนหนึ่งนั่งพิทักษ์เข้าไปให้ได้เสียก่อน หากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตคอขวดก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยามเผชิญหน้ากับจิตมารก็จะสามารถใช้ขอบเขตก่อกำเนิดมาคุมเชิงกับขอบเขตหยกดิบได้
ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีมรรคกถานี้คอยปกป้อง มีขุนนางสวรรค์ของลัทธิเต๋าทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ช่วยเฝ้าประตูปกป้องมรรคาให้กับผู้ฝึกลมปราณ ก็เท่ากับว่าดึงจิตมารตนหนึ่งที่เดิมทีร้ายกาจมิอาจต่อกรให้กลับมาอยู่ในขอบเขตของก่อกำเนิดอีกครั้ง
เฉินผิงอันบอกเล่าสถานการณ์ในนางฟังอย่างคร่าวๆ
หลิ่วโหรวฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์ จากนั้นก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยตามสัตย์จริงว่า “ตัวอักษรในแผ่นหยกซ่อนเส้นทางเดินขึ้นสวรรค์ไว้สี่เส้น? เยอะขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยล่ะ? ยังนึกว่าแค่ ‘ก้าวเดียว’ ก็กลายเป็นเซียนได้แล้วเสียอีก”
ก็เหมือนอริยะปราชญ์ท่านหนึ่งของลัทธิขงจื๊อที่สร้างผลงานซึ่งถูกผู้มีความรู้ในยุคหลังนำไปอธิบายความหมายนับไม่ถ้วน ผลกลับกลายเป็นว่าอริยะปราชญ์ที่ตอนยกพู่กันเขียนผลงานไม่ได้คิดอะไรมากนัก ดันถูกตำราอรรถาธิบายความหมายพวกนั้นทำให้มึนงง
เฉินผิงอันยกมือออกมาจากชายแขนเสื้อ นวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยว่า “เหนียงเนียงเทพวารีไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าความหมายที่ข้าเอ่ยถ้อยคำพวกนี้ก็คือ ของขวัญชิ้นนี้หนักเกินไป ใหญ่จนถึงขั้นทำให้ข้ามิอาจตอบแทนได้”
หลิ่วโหรวโบกมือ “เกรงใจ ห่างเหิน เรื่องดีไม่กลัวมาช้า แล้วก็ไม่รังเกียจว่าจะใหญ่ด้วย อาจารย์น้อยอย่าได้ถือสาเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ความองอาจลดน้อยลงไปหลายส่วน”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ยามที่เหนียงเนียงเทพวารีก้าวเดินก็เชิดหน้าขึ้นสูง องอาจผึ่งผายยิ่ง
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ามีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่ง เหนียงเนียงเทพวารีสามารถอาศัยคาถาบทนี้ไปทำการค้ากับตระกูลเซียนอักษรจงบางแห่งที่ถูกชะตาด้วยได้ ยกตัวอย่างเช่นยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยก หรือไม่ก็พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา หรือไม่ก็สำนักฝูจี รวมไปถึงภูเขาไท่ผิงที่ในอนาคตจะมีการสืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์ต่ออีกครั้ง หากรู้สึกว่าสตรีผู้หนึ่งไม่ออกเรือนสองบ้าน ข้าก็แนะนำให้ขายมันให้กับเจียงซ่างเจินแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา”
ส่วนทางฝั่งของภูเขาไท่ผิงนั้น ยังต้องรอไปอีกเจ็ดสิบแปดสิบปี เกินครึ่งเหนียงเนียงเทพวารีคงรู้สึกเกรงใจ ถ้าอย่างนั้นตนก็ลงมือทำให้แทนเสียเลย แต่ยังต้องชดใช้คืนน้ำใจให้กับตำหนักปี้โหยว ตนก็แค่นำความของนางไปบอกต่อเจ้าขุนเขาภูเขาไท่ผิงในอนาคตผู้นั้น
คาถาทางจิตบทนี้เหมาะกับเซียนดินทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระ ต่อให้เป็นคนจิตแห่งมรรคาหนักแน่นแค่ไหน ไม่ถูกวัตถุนอกกายสั่นคลอนมากเท่าไร ก็ยังจะต้องดีใจเจียนคลั่ง ได้โอกาส ‘เดินขึ้นสวรรค์’ สี่ครั้งมาเพิ่มอย่างเปล่าๆ แล้วยังเหมือนว่ามีขุนนางสวรรค์ของลัทธิเต๋ามาช่วยปกป้อง ช่วยลดทอนผลกระทบที่เกิดจากการก่อกวนของจิตมาร ใครบ้างจะไม่ยินดี?
อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นสำนักอักษรจงที่รากฐานลึกล้ำแห่งใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง สำนักแห่งหนึ่ง เซียนดินมีมากพอ
ขอแค่เส้นทางการฝึกตนของเซียนดินคือเส้นทางห้าธาตุเหมือนกับเฉินผิงอัน หรือไม่ก็เหมือนกับบัณฑิตชุดดำแห่งหน่วยฉงเสวียนอุตรกุรุทวีป ฝึกวิชานี้ย่อมเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลประโยชน์เป็นเท่าตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!