ไม่รอให้หลิวเม่าเอ่ยอะไร เฉินผิงอันก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “แต่นี่ก็คือความร้ายกาจของเฝ่ยหราน ไม่รีบร้อน รอให้เจ้าพูดให้จบก่อน ข้าค่อยบอกความจริงแก่เจ้า ถึงอย่างไรในเรื่องของการวางแผนต่อใจคน เซียนกระบี่ใหญ่เฝ่ยหรานของพวกเราท่านนี้ก็มีขอบเขตสูงกว่าเจ้าอยู่หลายขุมจริงๆ”
หลิวเม่าพูดเล่าต่อจากหัวข้อก่อนหน้านี้อีกครั้ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือฮองเฮาเหยาจิ้นจือจะร่วมมือกับอ๋องเจ้าเมืองหลิวฉงส่งตัวเกาซื่อเจินเซินกั๋วกงให้รับหน้าที่แอบติดต่อกับเซียนกระบี่เผ่าปีศาจ เฝ่ยหรานแห่งกระโจมกุ่ยโหย่วที่อยู่ในใกล้ระยะประชิดอย่างบนยอดเขาจ้าวเฟิงอย่างลับๆ จากนั้นค่อยสมคบคิดกับกระโจมทัพอู้จื่อที่ตั้งฐานทัพอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันฉีอีกที เมื่อมีการลงนามพันธมิตรที่ท่าเรือใบท้อสำเร็จจะมีของแทนตัวสำหรับการลงนามสัญญาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือหยกลัญจกรสืบทอดแคว้นของสกุลหลิวต้าเฉวียน อีกชิ้นหนึ่งคือตราประทับหนังสือของมหาสมุทรความรู้โจวมี่
ผู้ที่ถือครองตราประทับคือมือกระบี่ชุดเขียวที่ล่องเรือมายังท่าเรือใบท้อเพียงลำพัง แซ่เฉิน นามผิงอัน เมื่อยี่สิบปีก่อนคนผู้นี้ก็ได้เริ่มวางแผนปูพื้นสำหรับแผนการครั้งนี้อย่างลับๆ แล้ว
ในฐานะเจ้ากรมกลาโหมผู้ซึ่งเป็นประมุขของสกุลเหยา เหยาเจิ้นจะต้องใช้กองกำลังทหารม้าฝีมือดีสกุลหลิวต้าเฉวียนหนึ่งแสนหกหมื่นนายและกองทหารรักษาการณ์ประจำท้องถิ่นสามแสนหนึ่งหมื่นนายเข้าร่วมสงคราม รบจนตัวตายอย่างไม่เสียดาย ชนะใจของเหล่าทหารและชาวประชาให้กับทางตระกูล เป็นราคาที่เหยาจิ้นจือผู้ซึ่งตั้งตนเป็นฮ่องเต้จำเป็นต้องจ่าย ส่วนค่าตอบแทนก็คือ การกระทำนี้จะกลายมาเป็นหินรองเท้าในการช่วงชิงบัลลังก์ของสกุลเหยา ต้องใช้นครเซิ่นจิ่งที่สมบูรณ์ไร้ความเสียหายมาเป็นสถานที่พิศมรรคาของโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ขณะเดียวกันก็ต้องให้นครเซิ่นจิ่งกลายเป็นหนึ่งในเมืองหลวงสำรองที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อตั้งขึ้นมาในใบถงทวีป
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “หากเจ้าทำสำเร็จจริงๆ ข้าผู้อาวุโสก็คงมีแต่ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงแล้ว พี่เฝ่ยหรานตัวดี เสียแรงที่ปีนั้นข้าอุตส่าห์เกรงใจเขาถึงเพียงนั้น อยากกลับมาพบเจอกับข้าอีกครั้งถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่”
ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจะออกมาป่าวประกาศแก่ใต้หล้า ช่วยอธิบายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับคนหนุ่มคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากสายเหวินเซิ่งหรือ? อธิบายจนปากเปียกไปเถอะ
สายของเหวินเซิ่งนับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ ไม่ใช่ว่าแต่ละคนตัวคนเดียวเดียวดาย แต่กลับสามารถค้ำแผ่นฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาได้หรอกหรือ? ในสงครามครานั้น สายของหย่าเซิ่งที่มีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปเป็นผู้นำ ชื่อเสียงกลับทั้งเสียหายทั้งได้รับคำชื่นชมอย่างละครึ่ง ดังนั้นราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ และสำนักศึกษาใหญ่แห่งต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่าต้องการให้คืนตำแหน่งเทพของเหวินเซิ่งในศาลบุ๋น แล้วตำแหน่งยังต้องอยู่สูงกว่าหย่าเซิ่งด้วยหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าต้องการเผยแพร่ทฤษฎีคุณความชอบไปทั่วหล้าหรอกหรือ? กล้าหรือ? ขอแค่เป็นคนที่มีใจ ใครบ้างจะไม่คิดมากอย่างอดไม่ได้? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ตรวจสอบความจริงกับมองดูความครึกครื้น แบบไหนสบายกว่ากัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินผิงอัน การกระทำทุกอย่างของเขาในภายหลังล้วนจะเป็นดั่งลมพัดใบไม้ไหวที่ดึงดูดสายตาผู้คน นั่นก็ยิ่งไม่พูดถึงการก่อสำนักตั้งพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างยังอยู่ที่ใบถงทวีปเลย
ดังนั้นสำหรับเฉินผิงอันแล้ว การค้าครั้งนี้มีความต่างแค่ว่าขาดทุนมากหรือน้อยเท่านั้น
และความชั่วร้ายของใจคนที่ใหญ่ที่สุดของการกระทำนี้ ก็คือ ต่อให้อาจารย์ไม่คิดมาก ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่คิดมาก ศิษย์พี่สามหลิวสือลิ่วก็ไม่คิดมาก
แต่คนที่จะคิดมากที่สุดกลับเป็นเฉินผิงอันที่มีความหวังว่าจะแตกกิ่งก้านสาขาให้กับสายของเหวินเซิ่งได้มากที่สุด อีกทั้งหากเฉินผิงอันคิดมาก หรือไม่ก็ทำสิ่งที่ควรทำ ก็จะเป็นการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่างสำหรับทั้งสายเหวินเซิ่ง เบื้องบนไปถึงอาจารย์และศิษย์พี่ เบื้องล่างไปถึงตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ
ถึงขั้นที่ว่ายังจะกระเทือนไปถึงใต้หล้าไพศาลและนครบินทะยานซึ่งอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอาจชักนำศึกตรีจตุที่เป็นคลื่นใต้น้ำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
สรุปก็คือการค้าที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ครั้งนี้ เฝ่ยหรานไม่ขาดทุนอะไรสักอย่าง หากใต้เท้าอิ่นกวานสามารถมีชีวิตรอดกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลได้จริง ถึงเวลานั้นจะขาดทุนมากหรือน้อยก็ดูเหมือนว่าล้วนต้องดูที่โชคชะตาและวาสนาของเฉินผิงอันเองแล้ว
ดังนั้นการ ‘ถามกระบี่’ ครั้งนี้ เฝ่ยหรานที่กลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งนานแล้วต้องไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ปีนั้นที่ท่าเรือใบท้อ นอกจากหลิวฉงและเกาซื่อเจินแล้ว ไม่มีคนนอกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเลยหรือ?”
หลิวเม่าส่ายหน้า หัวเราะอย่างอดไม่ไหว “ต่อให้มี เฝ่ยหรานก็ไม่มีทางบอกเจ้ากระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีเหตุผล”
หลิวเม่ากล่าว “ส่วนตราประทับหนังสือ หยกลัญจกรสืบทอดอะไรนั่น ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ถูกเก็บไว้ที่ไหน”
เฉินผิงอันทิ้งสองเท้าเหยียบลงพื้น ตราประทับหนังสือ? เฝ่ยหรานเจ้าเป็นคนฝึกกระบี่ แต่กลับแสร้งทำตัวสง่างามเช่นนี้ หรือว่าเลียนแบบข้าอีกแล้ว?
เฉินผิงอันเดินกลับไปที่ชั้นวางหนังสืออีกครั้ง ก่อนหน้านี้ที่หลอมตัวอักษรอย่างไม่ใส่ใจก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ แต่ตอนนี้เฉินผิงอันรู้สึกลังเลเล็กน้อย พวกตำราอย่าง ‘เหอกวานจื่อ’ ที่เจอก่อนหน้านี้ รวมกันแล้วสิบกว่าเล่ม เนื้อหาในตำราเฉินผิงอันอ่านจนจำขึ้นใจได้นานแล้ว นอกจากบทจิตใจเอื้อเฟื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่สิบไท่หง (ต้นกำเนิดดั้งเดิมที่ก่อเกิดเป็นหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดิน) ที่กล่าวว่า ‘ฟ้าดินคนเรื่องราว สามสิ่งหวนเป็นหนึ่ง’ ที่เฉินผิงอันเคยท่องซ้ำไปซ้ำมาตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะวัตถุประสงค์ของตำราเล่มนี้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลลู่สำนักหยินหยางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอยู่หลายจุด แต่บทที่เฉินผิงอันชอบมากที่สุด ตัวอักษรกลับน้อยที่สุด มีแค่หนึ่งร้อยสามสิบห้าตัวอักษรเท่านั้น ชื่อว่าบท ‘เดินทางยามค่ำคืน’
หลังจากได้กลับบ้านเกิด ตอนอยู่บนเรือเมฆาของเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันถึงขั้นตั้งใจแกะสลักมันไว้บนแผ่นไม้ไผ่อย่างครบถ้วน
การที่เฉินผิงอันลังเลก็เพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ตำราเปิดหน้าหนังสือด้วยตัวเอง สังเกตเห็นว่าตรงพื้นที่ว่างเปล่าจุดหนึ่งของบทเดินทางยามค่ำคืนในตำราเล่มนี้มีตราประทับส่วนตัวประทับอยู่ ตัวอักษรของตราประทับเป็นอักษรฮวาเหนี่ยว (ตัวอักษรที่ลักษณะคล้ายดอกไม้ คล้ายนก) คำว่า ‘ผู้ที่ถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ระวังเปลวเทียนร้อนลวกมือ’
ตอนนั้นเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตราประทับของหลิวเม่าหรือไม่ก็ของนักเก็บสะสมหนังสือบางคนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก กลับกันยังรู้สึกว่าตัวอักษรของตราประทับนี้ วันหน้าสามารถเอาไปยืมใช้เป็นบทเรียนได้
เฉินผิงอันดึงตำราเล่มนั้นออกมา เปิดไปถึงบทเดินทางยามค่ำคืน ใคร่ครวญอย่างช้าๆ
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ตาย ถึงขั้นที่ว่าไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ถามใจด้วยซ้ำ เพราะเฉินผิงอันสามารถไขปริศนาออกได้ง่ายเกินไป
หากเป็นฝีมือของชุยฉานจริง ก็ไม่มีทางเป็นนักพรตหลงโจวที่เบาะแสชัดเจนผู้นี้อย่างแน่นอน
พูดให้ถูกต้องก็คือ เหมือนเป็นแค่ของขวัญจากลาที่เฝ่ยหรานคนบนเส้นทางเดียวกันมอบให้แก่ใต้เท้าอิ่นกวานก่อนจะจากใต้หล้าไพศาลกลับคืนสู่บ้านเกิดเสียมากกว่า
หากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตนเองก็จะทำการ ‘รับลมชำระฝุ่น’ (หมายถึงการจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกที่เดินทางมาไกล แสดงให้เห็นถึงการปลอบขวัญและการต้อนรับ) เหมือนกับเฝ่ยหรานเช่นกัน ทำให้คนสะอิดสะเอียนโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!