กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 760

เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้เหยาเซียนจือ ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเจ้าเมืองช่วยไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่ในลานเรือนให้เจ้าอารามที ชุดคลุมเต๋าของเจ้าอารามกับเสื้อผ้าของลูกศิษย์ทั้งสองอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล คาดว่าคงเป็นกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของอารามหวงฮวากระมัง ดังนั้นตอนที่พับไว้บนโต๊ะของห้องหลัก จำไว้ว่าต้องแยกเสื้อผ้าทั้งสามชุดออกจากกัน ดูเหมือนว่าห้องหลักจะลงกลอนประตูไว้ ขอกุญแจไปจากเจ้าอารามก่อน จากนั้นเจ้าก็ไปรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะคุยกับเจ้าอารามอีกสักพัก”

เหยาเซียนจือรับกุญแจพวงหนึ่งมาจากมือของหลิวเม่า แล้วจึงเดินกะเผลกออกไปจากห้อง พลางพึมพำไปด้วยว่า “ทางฝั่งของวัดเทียนกง คาดว่าคงฝนตกแล้ว”

หลิวเม่ายิ้มพลางส่ายหน้า

ใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นี้ยังคงอ่อนหัดเกินไป เป็นการวาดงูเติมขาเสียแล้ว

เรื่องที่เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงมาเยี่ยมเยือนอารามเต๋า ไม่มีค่าพอที่จะเอามาพูดกันในคืนนี้เลย

แรงกดดันที่มอบให้หลิวเม่าซึ่งมาจากประโยคยิบย่อยที่เฉินผิงอันบอกว่าให้พับผ้า ประตูลงกลอนให้ยืมกุญแจไปเหล่านั้น พลันหายวับไปทันที

ความหวาดกลัวของเหยาเซียนจือ อันที่จริงก็แค่กำลังบอกเตือนนักพรตหลงโจวผู้นี้ว่า ต้าเฉวียนมีเหยาจิ้นจือที่โชคดีอย่างมากเพียงแค่คนเดียวจริงๆ แล้วก็มีเซียนกระบี่ที่เดินทางผ่านมาอีกครั้ง เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าอารามรู้สึกว่าเจ้าเมืองเหยาน่าตลกมากหรือ? รู้สึกว่าให้เหยาเซียนจือที่เป็นใต้เท้าเจ้าเมืองแขนด้วนขาเป๋ตลกมาก หรือรู้สึกว่าเหยาเซียนจือรอดชีวิตมาจากสนามรบได้ แท้จริงแล้วไม่สู้ช่วยเติมตำแหน่งป้ายวิญญาณให้กับศาลบรรพจารย์ตระกูลเหยาแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า นี่ต่างหากที่น่าตลกมากกว่า?”

เส้นเอ็นหัวใจของหลิวเม่าขมวดตึงขึ้นมาอีกครั้ง

นาทีถัดมาหลิวเม่าก็ราวกับทะยานเมฆขี่หมอก ไหล่ทั้งสองข้างพลันหนักอึ้ง ลมปราณติดขัด ปราณวิญญาณของทั้งร่างหนักเหมือนขุนเขา คนทั้งคนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามานั่งอยู่บนเก้าอี้ได้อย่างไร

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที กระบอกใส่พู่กันที่ว่างเปล่าใบหนึ่งบนโต๊ะพุ่งเข้าหาหลิวเม่า หลิวเม่ารับเอาไว้เบาๆ กระบอกพู่กันที่ทำจากไผ่เหลืองแกะสลักภาพนูนของยอดฝีมือผู้สูงส่งหลบเร้นกายอยู่ในป่าต้นสนโบราณ เป็นของเก่าแก่ในวังชิ้นหนึ่ง

เฉินผิงอันเดินไปทางชั้นวางหนังสือ “จำได้ว่าดูเหมือนเดือนหนึ่งของทุกปี จักรพรรดิผู้ครองแคว้นทุกแคว้นจะต้องใช้พู่กันทองฝังหยกด้ามหนึ่งมาแกะผนึกจดหมาย เพื่อเป็นการบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กระบอกไม้ไผ่ที่ว่างเปล่าใบนี้ขาดอะไรไปหรือเปล่า?”

หลิวเม่าเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “อยากลงโทษหรือเล่นงานใคร ย่อมต้องมีข้ออ้างได้เสมอ เซียนกระบี่เฉิน แค่พอประมาณก็พอแล้วกระมัง ในเมื่อสถานการณ์ของทุกวันนี้อยู่ที่เจ้าไม่อยู่ที่ข้า จะฆ่าจะแกงเช่นไรก็ตามใจเถิด”

หลิวเม่ามือหนึ่งถือประคองแส้ปัดฝุ่น อีกมือหนึ่งถือกระบอกพู่กันเอาไว้ หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ฝึกมรรคกถา ต่อให้จะยังไม่เดินเข้าสู่ห้องโถงสำเร็จวิชาขั้นต้น แต่กลับเป็นเรื่องดี จิตใจนิ่งสงบดุจผืนน้ำ หากเซียนกระบี่เฉินมาเยือนอารามหวงฮวาวันนี้ก็เพื่อการฆ่าฟัน หมายสยบจิตใจคน ก็เชิญออกกระบี่ได้ตามสบาย ให้ผินเต้าได้ลิ้มรสมาดของเซียนกระบี่อีกครั้ง จะได้เอาไปโอ้อวดกับลูกศิษย์ทั้งสองว่าอาจารย์ตบะธรรมดา ขอบเขตไม่สูง แต่กลับเคยได้ประลองวิชากับเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเซียนกระบี่เฉินยั้งมือไว้ไมตรี เพียงแค่ฟันไม่ถึงกับฆ่าแกง”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน จากตะเกียงดวงหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ คัมภีร์สองเล่ม ไปจนถึงข้าวของต่างๆ ซึ่งมีกระถางดอกชางผู่เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ยังมองความลี้ลับใดๆ ไม่ออก เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น บนโต๊ะ ไส้ตะเกียงท่อนหนึ่งถูกดึงออกมาช้าๆ สะเก็ดไฟแตกกระจายไปสี่ทิศ แต่กลับไม่ล่องลอยห่างออกไป ราวกับกลายมาเป็นโคมไฟดวงหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

คัมภีร์ลัทธิเต๋าสองเล่มลอยขึ้นมา หน้าหนังสือแต่ละหน้าถูกพลิกเปิดอย่างเชื่องช้า ปราณวิญญาณของฟ้าดินโดยรอบอารามเต๋าแห่งนี้มารวมตัวกัน เข้มข้นราวกับน้ำ ริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก พัดผ่านผนังและพื้นดินไปช้าๆ

ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินเล่นอยู่ในห้อง คัมภีร์หวงถิงและคัมภีร์หลิงเฟย คัมภีร์ทั้งสองเล่มล้วนมาลอยอยู่ตรงหน้า หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา หน้าหนังสือเปิดออกด้วยตัวเอง

หลิวเม่าทอดถอนใจพูดเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉินระแวงผีสงสัยเทพเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงกลายเป็นเซียนกระบี่ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ได้”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปทางชั้นวางหนังสือ หนังสือทุกเล่มพากันเอียงมาด้านนอกชั้นวาง หน้าหนังสือสะบัดเปิดดังพึ่บพั่บ เสียงเปิดหน้าหนังสือดังกังวานอยู่ในห้อง ประหนึ่งเสียงน้ำจากลำธารที่ไหลริน

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วประกบกันแล้วปาดไปบนคัมภีร์สองเล่มที่เปิดจากหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายครบถ้วนแล้วเบาๆ หนังสือทั้งสองจึงลอยกลับไปที่โต๊ะหนังสือแล้วร่วงลงช้าๆ อีกครั้ง เขายิ้มเอ่ยว่า “บนชั้นมีหนังสือร่ำรวยจริง ในใจไร้เรื่องราวก็คือเทพเซียน ร่ำรวยคือความจริง หนังสือที่เก็บไว้บนชั้นนี้ไม่ใช่ว่าเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะซื้อหามาได้ ส่วนเทพเซียนนั้นช่างเถิด อย่างมากข้าก็แค่ระแวงผีสงสัยเทพเท่านั้น แต่องค์ชายกลับมีผีอยู่ในใจแน่นอน…หนังสือเล่มนี้พบเห็นได้ยาก แต่กลับเป็นถึงฉบับจัดพิมพ์ครั้งแรกของทางการที่ได้รับอนุญาตจากศาลบุ๋นด้วย? เจ้าอารามให้ข้ายืมอ่านสักหน่อยสิ”

เฉินผิงอันเก็บ ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตำราที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ฟ้าชัยภูมิดินล้วนถูกที่ว่าการของราชสำนักสั่งห้าม พวกชาวบ้านไม่อาจเก็บไว้เป็นการส่วนตัวได้

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ ในห้องไม่มีลมเย็น ทว่าหนังสือที่ทางอารามเก็บสะสมไว้กลับยังพลิกเปิดหน้าไปอย่างว่องไว เฉินผิงอันพลันใช้สองนิ้วคีบหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง หยุดการเปิดหน้าของมัน คือตำราโบราณฉบับสมบูรณ์ชุดหนึ่งที่ไม่แพร่หลายในล่างภูเขามากนัก ต่อให้จะเป็นหอหนังสือของตระกูลเซียนบนภูเขา อย่างมากสุดก็ได้แต่มีจุดจบที่ต้องกินฝุ่นเท่านั้น

เพราะ ‘เหอกวานจื่อ’ ฉบับสมบูรณ์ชุดนี้ ‘ถ้อยคำที่ใช้สูงส่งยอดเยี่ยม’ แต่กลับ ‘กว้างใหญ่ไร้ประโยชน์’ ความรู้ที่บรรยายอยู่ในหนังสือสูงเกินไป ลึกล้ำยากจะทำความเข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่วิชาหลอมลมปราณที่มีหลักฐานอ้างอิงอะไรด้วย ดังนั้นจึงกลายมาเป็นตำราที่นักสะสมหนังสือยุคหลังเก็บสะสมเอาไว้ประดับหน้าตาบารมีเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าตำราลัทธิเต๋าเล่มนี้จะเป็นของจริงหรือของปลอม รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นสองท่านฝ่ายในของลัทธิขงจื๊อยังเคยเถียงกันด้วยเรื่องนี้ แล้วยังเป็นการเถียงแบบที่ต้องเขียนจดหมายตอบโต้กันไปมาบ่อยๆ ทำสงครามกันผ่านหน้ากระดาษ ทว่าคนรุ่นหลังส่วนใหญ่ยังคงมองมันเป็นหนังสือปลอมที่สวมชื่อเอาเท่านั้น

หลิวเม่าชำเลืองตามองความเคลื่อนไหวของทางฝั่งนั้นแล้วถอนหายใจเอ่ยเสียงเบา “ร้องไห้คร่ำครวญ เบิกบานช่วยเหลือ เรื่องเล่าประหลาดหยุดยั้ง”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ก็สอนวิชาการปกครองให้กับเหล่าเจ้าแผ่นดินอย่างพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมองค์ชายสามถึงไม่ตั้งใจเรียนเล่า? ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนมีเงินอ่านหนังสือมากไปก็ไม่ดี ยิ่งเข้าใจหลักการเหตุผลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้หลักการเหตุผลน้อยลงเท่านั้น”

เฉินผิงอันพลันเงียบเสียงไป ตรงชั้นหนังสือนี้มีตำราอีกหลายเล่มวางติดกันได้แก่ ‘คัมภีร์คำนวณเกาะกลางทะเล’ ‘วิชาคำนวณซี่ฉ่าว’ ‘ตำราคณิตเก้าบท’ …

ตำราเหล่านี้ถูกเปิดอ่านครบหมดแล้ว เป็นตำราประเภทที่มีคำอรรถาธิบายอยู่เยอะที่สุด เฉินผิงอันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิวเม่าจะหลงใหลในศาสตร์ของการคำนวณเช่นนี้ เมื่อครู่เหลือบตามองไปเห็นภาพในบางจุดก็เต็มไปด้วยตัวเลข ทำเอาเฉินผิงอันมึนงงไปหมด เหมือนกับกำลังอ่านตำราสวรรค์อยู่อย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าความเชี่ยวชาญของหลิวเม่าไม่ตื้นเขิน สูงกว่าความสามารถในการฝ่าทะลุขอบเขตในการฝึกตนมากนัก

หลิวเม่าเอ่ย “หนังสือพวกนั้นไม่ให้ยืม หากเอาไปจะถือว่าเจ้าแย่งชิงไป ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องคืนแล้ว”

เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้น หนังสือคำนวณห้าหกเล่มล้วนหล่นมาอยู่ในกระเป๋า “คืน ทำไมจะไม่คืนเล่า มียืมมีคืน ยืมใหม่ย่อมไม่ยาก”

วัสดุของตำราและเนื้อหาตัวอักษรในตำราอีกหลายเล่มล้วนมองไม่ออกว่าเป็นมาอย่างไร

เฉินผิงอันยังคงไม่ค่อยวางใจสักเท่าไร บังคับแส้ปัดฝุ่นของหลิวเม่ามาไว้ในมือ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดอีกสองสามที สุดท้ายบีบด้ามไม้ให้แหลกไปทีละชุ่น

หลิวเม่าตีหน้าเคร่ง “ไม่ต้องคืนแล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ผินเต้ามอบให้เซียนกระบี่เฉินด้วยความจริงใจก็แล้วกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!