กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 760

เฉินผิงอันเดินอ้อมมาหลังโต๊ะ พยักหน้าเอ่ย “ตัวอักษรดี ทำให้คนเหมือนได้ยินเสียงบทเพลงไพเราะคลอเสียงนกร้องนุ่มนวล รอให้องค์ชายสามเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโชคชะตาบุ๋นชักนำให้เกิดภาพบรรยากาศอัศจรรย์ มีนกหลวนสีขาวกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากหน้ากระดาษ สยายปีกบินขึ้นสูง มีอิสระเสรีนับแต่นี้ไปก็เป็นได้”

หลิวเม่าส่ายหน้า คิดเสียว่าได้ยินคำพูดหยอกล้อ ห้าขอบเขตบน ชีวิตนี้อย่าได้หวังเลย

ฝึกตนอย่างยากลำบากมายี่สิบกว่าปี ยังคงเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น

พู่กันจีจวี้สองด้ามเอาไว้ใช้คัดคัมภีร์โดยเฉพาะ บริเวณใกล้กับปลายพู่กันแบ่งออกเป็นแกะสลักคำว่า ‘เงียบสงบ’ กับ ‘สะอาดบริสุทธิ์’ ด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็ก พู่กันจีจวี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานมากแล้ว

บนที่วางพู่กันมีพู่กันฉางเฟิงวางไว้ด้ามหนึ่ง แกะสลักคำว่า ‘เรื่องอันตรายรายล้อม ความสามารถครองใต้หล้า’ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของจิตรกรใหญ่ คาดว่านอกจากตำราฉบับสมบูรณ์บางเล่มแล้ว วัตถุชิ้นนี้ก็คงเป็นของที่มีค่ามากที่สุดในห้องแห่งนี้แล้ว

เฉินผิงอันชำเลืองตามองคัมภีร์หวงถิงเล่มนั้น อดไม่ไหวพลิกเปิดไปหลายหน้า เจ้าตัวดี เนื้อกระดาษทำจากกระดาษอวี้ป่าน ประเด็นสำคัญคือมีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบ ตราประทับหนังสือ ตราประทับลงนามมีมากหลายสิบชิ้น แทบไม่มีชิ้นไหนที่ว่างเปล่า คือคัมภีร์หวงถิงเล่มหนึ่งที่ทางตำหนักหลินอู่ของแคว้นหนันฉีเก็บรวบรวมแล้วรักษาไว้เป็นอย่างดี และเดิมทีตัวคัมภีร์เล่มนี้เองก็มีตำแหน่งสูงในลัทธิเต๋า ตำแหน่งเท่าเทียมกับตำราต้งเสวียนของลัทธิเต๋าอยู่แล้ว มีคำเรียกขานอันไพเราะบนภูเขาว่า ‘สามพันมันตรา ชี้ตรงไปยังโอสถทอง’ แล้วก็ได้รับความนับถือเลื่อมใสจากปัญญาชนผู้มีความรู้ล่างภูเขาและพวกผู้มีชื่อเสียงที่ชอบความเรียบง่ายด้วย

นอกจากจะสามารถถูกผู้ฝึกลมปราณเอามาทำเป็นวัตถุวิเศษได้แล้ว ‘ของสามัญ’ ที่มีค่าอย่างแท้จริงล่างภูเขาจำพวกตำราที่มีเล่มเดียว ตำราฉบับสมบูรณ์แบบที่พิถีพิถันในเรื่องของการจัดพิมพ์ เรื่องของกระดาษที่ใช้อย่างถึงที่สุดก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ได้รับความโปรดปรานจากผู้ฝึกตนมากกว่าอักษรภาพหรือเครื่องกระเบื้องเสียอีก ตำราหลายเล่มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกไม่มากล้วนคิดเงินกันตามจำนวนหน้า ถ้าไม่ใช่ตระกูลปัญญาชนก็แทบไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดกระดาษสองแผ่นที่ตัวอักษรพอๆ กัน แผ่นหนึ่งไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว ทว่าอีกแผ่นกลับสามารถขายได้หลายสิบตำลึง

เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นที่ได้พบองค์ชายสามเป็นครั้งแรก เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทหารม้าลาดตระเวนของชายแดน ทุกวันนี้ความสูงส่งสง่างามยังคงอยู่ แต่กลับยิ่งดูสุภาพมีมารยาทมากขึ้นแล้ว”

หลิวเม่าถือประคองแส้ปัดฝุ่น ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ปล่อยให้เซียนกระบี่หนุ่มท่านนี้พูดจาวกวนอ้อมค้อมแบบไม่จบไม่สิ้นไปเอง

ด้านข้างยังมีกระดาษสูเซวียนอีกหลายแผ่นที่คัดตัวอักษรไว้จนเต็ม เฉินผิงอันคีบกระดาษพลิกเปิดเหมือนพลิกตำรา ยิ้มถามว่า “คัมภีร์ที่เดิมทีแนวตั้งมองไม่เป็นแถว แนวนอนมองไม่เป็นแนว (เปรียบเปรยถึงการเขียนพู่กันได้ตามใจตนเอง เป็นไปตามธรรมชาติ คนที่เขียนได้ถึงขั้นนี้นับว่าฝึกการเขียนพู่กันจนถึงระดับสูงแล้ว) นี้ ถูกองค์ชายสามคัดลอกมากลับเหมือนการจัดขบวนทัพอย่างไรอย่างนั้น เป็นระเบียบมีขั้นมีตอน กฎเกณฑ์เข้มงวด นี่เพราะเหตุใด?”

หลิวเม่ายืนอยู่ข้างหนึ่งของโต๊ะหนังสือ ในที่สุดก็อดไม่ไหวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉินไม่ต้องพูดจาแฝงความนัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้หรอก เซียนกระบี่เฉินไม่ได้มีใจต่ออำนาจของราชวงศ์ล่างภูเขาอยากเป็นราชครูอะไรเสียหน่อย ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจับนักพรตหลงโจวแห่งอารามหวงฮวาที่สูงก็ไม่สำเร็จต่ำก็ไม่ได้ไม่ยอมวางเช่นนี้ เซียนกระบี่เฉินถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเดินไปได้ไกลและสูงส่งบนมหามรรคา เหตุใดต้องตอแยพัวพัวกับโอสถทองคนหนึ่งที่เทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้ไม่ยอมเลิกรา บุญคุณความแค้นในอดีตถึงขั้นต้องให้ท่านอาจารย์ปล่อยวางได้ยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเฉวียนยังเปลี่ยนฟ้าผลัดดินแล้ว หลิวเม่าที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งอ๋องเจ้าเมือง ราชสำนัก ยุทธภพ บนภูเขา ไม่มีอะไรสักอย่าง หรือว่าแม้แต่โคมดำดวงเดียว คัมภีร์ไม่กี่ม้วน กับผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง เซียนกระบี่เฉิงก็จะไม่ยอมละเว้น?”

เห็นว่าคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวลักษณะคล้ายปัญญาชนเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด หลิวเม่าก็ถามว่า “ทุกวันนี้เซียนกระบี่เฉินไม่ควรไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของยอดเขาเสินจ้วน อารามจินติ่ง หรือไม่ก็ตำหนักพยัคฆ์เขียวหรอกหรือ? ต่อให้มาเยือนนครเซิ่นจิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนว่าควรจะมาเยือนอารามหวงฮวากระมัง อันที่จริงระหว่างพวกเราทั้งสองไม่มีเรื่องในวันวานให้ต้องพูดคุยกันเลย หรือว่านี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท?”

หลิวเม่ากล่าว “หากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นก็กังวลเกินเหตุแล้วจริงๆ ผินเต้ารู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่มดแดงตัวหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าไปเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ เพราะไร้ใจแล้วก็ไร้กำลัง สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ในเมื่อแคว้นสงบสุข วิถีทางโลกกลับคืนมาสงบร่มเย็นอีกครั้ง ผินเต้ากลายเป็นผู้ฝึกตนแล้วก็ยิ่งเข้าใจในหลักการที่ว่าลิขิตสวรรค์มิอาจละเมิด ต่อให้เซียนกระบี่เฉินจะไม่เชื่อใจนักพรตหลงโจว จะดีจะชั่วก็ควรเชื่อในสายตาของตัวเอง หลิวเม่าไม่เคยเป็นคนฉลาดที่แท้จริงอะไร แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขั้นคิดเป็นตั๊กแตนที่ขวางอยู่หน้ารถ เป็นศัตรูกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ถูกหรือไม่ เซียนกระบี่เฉิน?”

เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม ราวกับว่ายังจะดึงดันพูดคุยเรื่องในวันวานกับคนผู้นี้ให้จงได้ ถึงได้เอ่ยถึงเรื่องเก่าเนิบช้าว่า “ปีนั้นตอนที่อยู่เมืองหูเอ๋อร์ คำพูดขององค์ชายสามลึกล้ำกระจ่างชัดถึงใจคน เคยมีสองคำถามที่ทำให้ข้าอึ้งงันไร้คำโต้ตอบ ได้แต่นำกลับมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาในภายหลัง แล้วมันก็ทำให้ข้าเรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยเลยจริงๆ ก็เหมือนอย่างคืนนี้ องค์ชายพูดจาได้พิถีพิถันยิ่ง มดตัวน้อยกับมดแดงขานรับกัน เซียนกระบี่เฉินกับไม่ยอมละเว้น กลายมาเป็นการเปรียบเทียบ ไร้ใจไร้กำลังก็ยิ่งเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ลิขิตสวรรค์คือเรื่องบนภูเขา กำลังอำนาจใหญ่คือหลักการล่างภูเขา ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ทุกตัวอักษรล้วนมีความรู้ ข้าได้เรียนรู้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”

คราวนี้เป็นหลิวเม่าที่ไม่พูดไม่จาบ้างแล้ว

เหยาเซียนจือมองอาจารย์เฉินที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว แล้วค่อยมองหลิวเม่าที่สวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่าย จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกโชคดีที่ตนเอาเหล้ามาด้วยหนึ่งกา ไม่อย่างนั้นคืนนี้ก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ไม่มีถ้อยคำใดๆ ให้พูดแล้ว

“ข้าไม่เคยสนใจว่าองค์ชายสามจะยังไม่ถอดใจหรือไม่ จะยังอยากเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ดูหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกอย่างข้าด้วย? ข้ายังคงเป็นอย่างในปีนั้น นั่นคือคนนอกที่ผ่านทางมาเท่านั้น แต่ก็ไม่เหมือนกับปีนั้น ปีนั้นข้าเดินอ้อมผ่านความยุ่งยากไป แต่คืนนี้ข้าเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาความยุ่งยากเอง ไม่ว่าอะไรก็สามารถเหลือค้างไว้ได้ มีเพียงปัญหาที่เหลือค้างไว้ไม่ได้”

เฉินผิงอันเอนหลังพิงชั้นวางหนังสือ สอดสองมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ กวาดตามองไปรอบด้าน พูดชวนคุยว่า “เพียงแต่ว่าตอนนั้น ขอบเขตของผู้ที่ผ่านทางมาต่ำต้อย หลักการเหตุผลเรียบง่ายหลายอย่างองค์ชายไม่ยินดีจะฟัง แม้จะพลิกตัวลงจากหลังม้า แต่อันที่จริงกลับยังคงนั่งสูงอยู่บนหลังม้า หลุบตาต่ำมองผู้คนจากที่สูงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีความอดทนใดๆ วันนี้กลับดีแล้ว เจ้าบ้านยังคงเป็นเจ้าบ้าน แขกชั่วร้ายมาเยือนถึงบ้าน แต่เจ้าบ้านกลับจำต้องเปิดประตูต้อนรับ แขกวางอำนาจบีบคั้น เอ่ยถ้อยคำเหลวไหลไร้เหตุผล ในอารามเต๋าขนาดเล็กที่เงียบสงบแห่งนี้ นักพรตหลงโจวที่ถอยแล้วถอยอีกจึงเหลือแค่พื้นที่หยัดยืนในห้องนี้เท่านั้น ยังต้องฟังว่าแขกพูดอะไร แล้วเอามาใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง ขบคิดอย่างละเอียด หิมะละลายไปแล้ว แต่ก็ยังต้องยืนเหยียบอยู่บนพื้นน้ำแข็งแผ่นบางๆ”

หลิวเม่ายิ้มเอ่ย “อันที่จริงไม่ได้แย่อย่างที่เซียนกระบี่เฉินพูดหรอก วันนี้จุดตะเกียงพูดคุยกัน เมื่อเทียบกับการเอาแต่ก้มหน้าก้มตาคัดตำราแล้ว กลับช่วยอบรมบ่มเพาะจิตใจได้มากกว่า”

เฉินผิงอันเก็บสายตาที่สอดส่ายไปทั่วกลับมา จ้องนิ่งมองหลิวเม่าอีกครั้ง เอ่ยว่า “จากกันทีก็นานหลายปี ได้กลับมาพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเราสองคนที่ตอบไม่ตรงคำถาม พูดเรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่สามารถตอบองค์ชายอย่างจริงใจได้ ก็คือเรื่องที่ว่าเหตุใดข้าถึงตอแยมดตัวน้อยที่คิดว่าตัวเองคือมดแดงตัวหนึ่ง หาใช่เซียนดินไม่ยอมเลิกรา”

เฉินผิงอันพลันยื่นนิ้วชี้ไปยังหลิวเม่า จากนั้นก็ยื่นนิ้วชี้มาที่บุรุษเนื้อตัวมอมแมมที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ “ปัญหาอยู่ที่องค์ชายสามในเมืองหูเอ๋อร์ของปีนั้น คำตอบอยู่ที่นักพรตหลงโจวอารามหวงฮวา ปัญหาอยู่ที่เหยาจิ้นจือแห่งกองทัพชายแดนตระกูลเหยาตอนอายุสิบสี่ปี แล้วก็อยู่บนตัวของเจ้าเมืองเมืองหลวงในทุกวันนี้ด้วย”

หลิวเม่าเอ่ย “เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ขอเซียนกระบี่เฉินโปรดไขข้อข้องใจอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือด้วย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!