ไม่มีน้ำฝนมารบกวนคนอีกต่อไป ท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบสงบ ม่านราตรีเหนือศีรษะของเผยหมิ่นและชุยตงซานมีแสงสีขาวจุดหนึ่งเหมือนดวงตะวันลอยกลางนภาปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นแสงกระบี่สีขาวหิมะเส้นหนึ่งก็วาดลากยาวลงมา แม้ว่าแสงกระบี่จะบางอย่างถึงที่สุด ทว่าพลังอำนาจกลับเหมือนน้ำตกยิ่งใหญ่โอฬารที่ตกกระหน่ำจากท้องฟ้าลงมาสู่โลกมนุษย์
ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ของเผยหมิ่นถูกผ่าออก ปราการฟ้าดินรอบด้านเหมือนกระจกบานหนึ่งที่ถูกคนขว้างลงพื้นเต็มแรง พริบตาเดียวก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทันใดนั้นฝนห่าใหญ่ก็เทโครมลงมาอีกครั้ง ม่านฟ้าของวัดเทียนกงยังคงอึงอลไปด้วยแรงสะเทือนจากฟ้าแลบฤดูใบไม้ผลิ ฟ้าร้องฟ้าผ่าแปลบปลาบ พลังอำนาจสะท้านสะเทือนผู้คน
เผยหมิ่นสวมชุดดำ ชุยตงซานสวมชุดขาว แม้ว่าจะไม่มีน้ำฝนกระทบโดนร่าง แต่ทุกครั้งที่สายฟ้าแลบปลาบสลับถักทอกัน ล้วนสาดสะท้อนให้เห็นเรือนกายที่อยู่นอกห้องทำสมาธิของคนทั้งสองอย่างชัดเจน
ยังไม่เห็นตัวเซียนกระบี่ แสงกระบี่กลับมาถึงก่อนแล้ว
คนชุดเขียวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงบนพื้น ยืนอยู่นอกประตูภูเขาของวัดเทียนกง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งกุมแผลตรงหน้าท้องไว้เบาๆ พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ตงซาน ถอยกลับไป”
ชุยตงซานรีบร้องเฮ้อหนึ่งที กระโดดหนึ่งครั้ง ร่างพลิ้วลงบนพื้น ถอยออกไปจากวัดเทียนกงโดยตรง มายืนอยู่ข้างกายอาจารย์
ก่อนหน้านี้เขาจงใจพูดเปิดโปงตัวตนของเผยหมิ่น เสียงนั้นไม่เบา แน่นอนว่าหวังให้อาจารย์ที่กำลังเดินทางมาได้ยิน การถามกระบี่ที่วัดเทียนกงท่ามกลางม่านฟ้า ทางที่ดีที่สุดควรต้องพิถีพิถันในเรื่องความหนักเบา แค่แบ่งแพ้ชนะด้านเวทกระบี่กับเผยหมิ่นก็พอ อย่าต้องให้ถึงขั้นแบ่งเป็นตายกันง่ายๆ ต่อให้จะโมโหมาก แต่หากคิดจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับตาแก่ผู้นี้จริงๆ ก็ไม่ต้องรีบร้อนทำในเวลานี้ จำเป็นต้องเหลือค้างเอาไว้ก่อน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าโจรเฒ่าเผยผู้นี้จะถึงขั้นมองความคิดของเขาออกอย่างปรุโปร่ง จึงใช้ปราณกระบี่สร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาก่อนนานแล้ว สกัดขวางการส่งข้อความของชุยตงซานเอาไว้
โชคดีที่อาจารย์เพียงแค่ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายฟ้าดินเวทกระบี่ของเผยหมิ่นเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าไปประลองวิชากระบี่ในวัดโดยตรง ถ้าอย่างนั้นชุยตงซานก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก อาจารย์ทำอะไรล้วนรู้จักหนักเบาอย่างดีเสมอ
เฉินผิงอันสะบัดควงกระบี่เบาๆ ปราณกระบี่เป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ไหลเอ่อออกไป ประหนึ่งมีคนถือโคมไฟดวงหนึ่งมาท่องเที่ยววัดโบราณยามค่ำคืน สุดท้ายแสงกระบี่ที่มาจากปราณกระบี่ทั้งหมดถูกรวบไว้ในระยะที่ประชิดกับปลายกระบี่ เฉินผิงอันยกมือขึ้น ผายฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า ถอยหลังหนึ่งก้าว ปลายเท้าและส้นเท้าล้วนลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ได้สัมผัสกับพื้น “ไม่สู้เจ้าและข้ามาถามกระบี่กันข้างนอก หลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนการคัดคัมภีร์ของท่านกั๋วกง”
ชุยตงซานอดไม่ไหวเตือนเสียงเบาว่า “อาจารย์ เจ้าแก่นี่แซ่เผยนามหมิ่น ก็คือเผยหมิ่นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้น เคยสอนเวทกระบี่ให้ป๋ายเหย่อยู่สองสามวัน พื้นฐานแข็งแกร่ง รับมือได้ยากยิ่ง ต้องระวังให้มากๆๆ เลยล่ะ เมื่อครู่นี้ข้ายกเอาอาจารย์ลุงออกมาทีเดียวถึงสองคน บวกกับผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์อีกคนก็ยังไม่อาจทำให้เขาตกใจกลัวได้”
ชุยตงซานยังคงพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน เพียงแต่ว่าน้อยครั้งนักที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้
หากคืนนี้อาจารย์กับเผยหมิ่นแลกกระบี่กันคนละที แล้วหยุดลงแค่พอสมควร ชุยตงซานก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว แต่ดูจากสีหน้าของอาจารย์ แล้วดูจากภาพบรรยากาศบนร่างของเผยหมิ่นแล้ว ต่างก็ไม่เหมือนการทะเลาะต่อยตีกันในยุทธภพที่ต่างคนต่างบอกชื่อแซ่ของตัวเองแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันเลย
ในปฏิทินเหลืองของใต้หล้าไพศาลที่บันทึกมาดของเซียนกระบี่เอาไว้โดยเฉพาะ เผยหมิ่นที่เคยเป็นตัวแทนของจุดสูงสุดแห่งเวทกระบี่ในโลกมนุษย์ ก็คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่สุดที่จั่วโย่วออกกระบี่ไปเยี่ยมเยือนเซียนนานร้อยกว่าปี หากไม่ได้ต่อสู้กับเผยหมิ่นอย่างแท้จริง แบ่งอันดับหนึ่งอันดับสองกันให้ชัดเจน อะไรที่บอกว่าเวทกระบี่จั่วโย่วเลิศล้ำเป็นเอกในใต้หล้า ก็ล้วนเป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอย เป็นแค่วจีไพเราะที่ไม่สามารถคิดเป็นจริงเป็นจังได้เท่านั้น
มีม่านฝนมืดดำกั้นขวางหลายลี้ เฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิ รวบรวมความคิดวุ่นวายซับซ้อนทั้งหมดกลับคืนมา พยายามรวมพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียว จ้องเขม็งไปยังเผยหมิ่นหนึ่งในสามสุดยอดด้านเวทกระบี่ของไพศาลผู้นั้น อำพรางตัวได้ลึกล้ำจริงๆ ปีนั้นตนถึงกับไม่เคยสังเกตเห็น ไม่เคยคิดไปในจุดสูง เอาแต่มองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่องค์รักษ์ประจำตัวของเซินกั๋วกงคนหนึ่งเท่านั้น มิน่าเล่าถึงสามารถรวมเป็นก้อนเดียวกับเฝ่ยหรานได้ ที่แท้ก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันนี่เอง
เวลานี้เฉินผิงอันไม่กล้าขยับสายตามองไปทางอื่นแม้แต่น้อย ก่อนจะถามหมัดเขายังคงฟังหมัดก่อนเหมือนเดิม สังเกตดูการไหลรินลมปราณของผู้เฒ่าคนนั้นอย่างละเอียด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รับมือได้ยากหรือไม่ อาจารย์รู้ชัดเจนดี”
หากรับมือได้ง่าย ก็คงไม่มีทางใช้กระบี่ร่มเล่มหนึ่งแหวกฟ้าดินเล็กนกในกรงไปก่อน แล้วค่อยแทงร่างตนจนไปปักอยู่บนกำแพง หากไม่เป็นเพราะหมัดหนึ่งของเฉินผิงอันต่อยไปโดน ด้ามร่มท่อนนั้นก็คงจะแทงเข้าที่หัวใจของเขาไปแล้ว
ใช้ร่มต่างกระบี่ และกระบี่นี้ก็ถึงกับเหมือนเซียนเหรินท่านหนึ่งที่ก้าวหนึ่งก้าวข้ามผ่านภูเขาแม่น้ำ ออกจากวัดเทียนกงมาโผล่นอกหน้าต่างห้องของอารามหวงฮวาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ตอนนั้นเฉินผิงอันรับมือไม่ทันจริงๆ เพราะเหตุฉุกละหุก จึงได้แต่ใช้อาการบาดเจ็บของตนมาช่วยเหลือนักพรตหลงโจวคนที่กระบี่ยาวด้ามร่มต้องการสังหารที่แท้จริงเอาไว้ เฉินผิงอันรู้ดีว่าต้องเป็นนกในกรงเล่มนั้นของตนที่ดึงดูดความสนใจจากเผยหมิ่นซึ่งอยู่ห่างไปไกลถึงวัดเทียนกงอย่างแน่นอน
นกในกรงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ ปัญหายุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็อยู่ตรงนี้เอง ยามที่เข่นฆ่ากับคนอื่นในฟ้าดินเล็ก เฉินผิงอันสามารถยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรมาได้ทั้งหมด จากนั้นค่อยเอาจันทร์ใต้บ่อที่หนึ่งกระบี่จำแลงได้พันหมื่นมาร่วมประสาน ก็จะได้ครองคนสามัคคี
แต่หากนกในกรงเผยกายบนโลกเมื่อไหร่ สำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่นอกสนามรบแล้ว เดิมทีก็เป็นการสยบขวัญและการบอกเตือนที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว เหมือนกับยามค่ำคืนที่มีคนถือเทียนออกมาเดินข้างนอก เทียนเล่มหนึ่งสว่างมากหรือน้อย เสียงที่เรียกผู้คนดังหรือเบา ล้วนต้องดูที่ว่าความสามารถในการมองและการฟังของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนดีหรือเลว
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในอารามหวงอวาจึงไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของนกในกรงออกมาทั้งหมด รับมือกับเจ้าอารามขอบเขตชมมหาสมุทรที่ยังไม่เป็นเซียนดินคนหนึ่ง ออกจะเป็นการเอาวัตถุดิบชิ้นใหญ่มาใช้กับงานเล็กน้อยเกินไป
เผยหมิ่นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ก้าวออกมาข้างนอกหนึ่งก้าว ยื่นมือคว้าง่ายๆ หนึ่งครั้ง น้ำฝนและปราณกระบี่ของบนร่างก็รวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง สีเขียวมรกตแวววาว ประกายแสงใสดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
เท้าขวาของเฉินผิงอันที่ยกค้างไม่แตะพื้นเหยียบลงบนดินโคลนเต็มฝ่าเท้า ร่างของเผยหมิ่นไปปรากฎตัวในป่าอยู่ห่างไปสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันตามติดไปดุจเงา
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ใช้เสียงในใจกำชับชุยตงซานเรื่องหนึ่ง
สำหรับผู้ฝึกลมปราณบางคนในวัดเทียนกงและในนครเซิ่นจิ่งที่ขอบเขตสูงมากพอแล้ว จะเห็นเป็นแสงกระบี่พร่างพราวสองเส้นแหวกผ่าม่านราตรียาวสิบกว่าลี้ ราวกับเจียวหลงสองตัวที่ว่ายเลื้อยอยู่กลางอากาศสูง สุดท้ายเปล่งวูบหายวับไปบนยอดเขาสองลูกที่หันหน้าคุมเชิงกันอยู่
ก่อนหน้านั้นก็ยิ่งมีแสงกระบี่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเส้นหนึ่งแหวกผ่าม่านฟ้าซึ่งสามารถกรีดม่านฟ้าออกได้อย่างง่ายดายเหมือนมีดตัดเต้าหู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!