กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 761

สรุปบท บทที่ 761.6 ไม่ถูก: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 761.6 ไม่ถูก – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 761.6 ไม่ถูก ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

พูดมาถึงตรงนี้ หลิวเม่าก็ชูแขนยกกาเหล้าขึ้นสูง มองไปทางหน้าต่าง จากนั้นดื่มเหล้าเงียบๆ หนึ่งอึก ราวกับว่าดื่มคารวะหลิวเม่าในปีนั้นอยู่ไกลๆ

องค์ชายสามในอดีตผู้นั้นเชี่ยวชาญวิชาคำนวณ หลงใหลในภูมิศาสตร์ แล้วยังเคยตกลงกับพี่ชายเป็นการส่วนตัวว่าในอนาคตจะต้องให้หลิวเม่าอ๋องเจ้าเมืองเรียบเรียงผลงานชิ้นเอกที่จะเป็นที่เลื่องลือสืบทอดไปหลายพันปีเล่มแล้วเล่มเล่าให้แก่ราชวงศ์ต้าเฉวียน

เหยาเซียนจือถามอย่างกังขา “อยู่ดีๆ เจ้าก็มาเปิดอกพูดถ้อยคำที่เหมือนมีควันเขียวผุดออกจากหลุมศพบรรพบุรุษพวกนี้กับข้า คิดจะแก้ไขชดเชยสิ่งใด? เพราะอาจารย์เฉินเกิดใจคิดสังหารเจ้า? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นแค่เศษสวะผู้หนึ่งเท่านั้นเอง”

หลิวเม่าจุ๊ปากพูด “เมื่อก่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนพูดคุยกับคนอื่นเก่งขนาดนี้ ไม่ได้พบเจอเจ้ามานานหลายปี ดังนั้นในความทรงจำของข้าเจ้าจึงเป็นคนทึ่มคนหนึ่งมาโดยตลอด”

ชายฉกรรจ์สกปรกที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราตรงหน้าผู้นี้ เคยเป็นเด็กหนุ่มที่มีสายตาใสกระจ่าง

จากนั้นหลิวเม่าก็เงียบงันไป

เหยาเซียนจือพลันเอ่ยว่า “ระหว่างที่เดินทางมา อาจารย์เฉินถามถึงเรื่องในอดีตบางอย่างเกี่ยวกับเจ้า เขาบอกว่า ‘บางใหญ่’ เล่มนั้นเขียนได้ดียิ่ง ยังบอกอีกว่าเขาเชื่อว่าเป็นฝีมือของหลิวเม่า”

หลิวเม่าหัวเราะ แหงนหน้ากระดกดื่มเหล้าหนึ่งอึก

ชั่วชีวิตนี้ของคน คนที่มีใจลุ่มหลง กลัวก็แต่ว่ายามที่ร่ำสุราอย่างเบิกบานอยู่บนโต๊ะสุรา จะไม่ทันระวังนึกถึงใครบางคนขึ้นมา

ชั่วชีวิตนี้ของคน ก็กลัวที่สุดว่าวันใดวันหนึ่งจะเข้าใจหลักการเหตุผลบางอย่างขึ้นมากะทันหัน

หลิวเม่าเอ่ย “เหยาเซียนจือ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า สักวันหนึ่ง เจ้าก็ดี ข้าก็ช่าง ล้วนจะเป็นบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงบนหน้าหนังสือบางเล่มของเฉินผิงอัน เมื่อหนังสือยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็ยิ่งเบาบางไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงมากเท่านั้น”

เหยาเซียนจือส่ายหน้า “เจ้าคงเป็นประมาณนี้จริง แต่ข้ากลับไม่เหมือนเจ้า วันนี้อาจารย์เฉินสามารถรีบรุดเดินทางมายังนครเซิ่นจิ่งเพื่อท่านปู่ของข้าได้ ในอนาคตวันใดที่ข้าแก่แล้ว ต่อให้ตอนนั้นอาจารย์เฉินจะยุ่งมากแค่ไหนก็จะยังรีบมาหาข้า มาดื่มเหล้ามื้อสุดท้ายกับข้าอยู่ดี ข้าเขียนบอกในจดหมายว่าให้อาจารย์เฉินเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนอะไรมาด้วย อาจารย์เฉินก็จะต้องเอาเหล้าชนิดนั้นมา เจ้าจะเทียบได้อย่างไร เจ้าจะไปเข้าใจอะไร?”

หลิวเม่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เงียบไปพักใหญ่ก็ถามว่า “พอคุยกันแบบนี้ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วใช่ไหม?”

เหยาเซียนจืออัดอั้นอยู่นาน ก่อนจะด่ามารดาไปคำหนึ่ง

หลิวเม่ากำลังจะหัวเราะดังๆ ผลคือพบว่าแสงกระบี่ของกระบี่บินเล่มนั้นเปล่งวูบหนึ่งครั้ง ตัวกระบี่บินก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

หันหน้าไปมองก็เห็นว่าตรงหน้าต่าง มี ‘ผ้าขาว’ ผืนหนึ่งห้อยอยู่ แล้วยังมีศีรษะหนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น

หลิวเม่าอึ้งไปนาน

เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “นึกไม่ถึงว่านักพรตหลงโจวจะเป็นคนคุยเก่งขนาดนี้”

หลิวเม่ารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ครั้นจึงยกมือขึ้นคารวะตามแบบฉบับของลัทธิเต๋า “เป็นที่น่าขบขันแล้ว”

ชุยตงซานปีนข้ามหน้าต่างเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันพยักหน้า ชุยตงซานจึงโบกชายแขนเสื้อสลายเวทอำพรางตาทิ้งไป ตราประทับหนังสือที่มีค่าอย่างยิ่ง แต่ก็ร้อนลวกมืออย่างมากชิ้นนั้นพลันปรากฎตัว

ชุยตงซานมีสีหน้าสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา จ้องมองตราประทับส่วนตัวที่กลิ้งหลุดๆ มาหาตลอดทางชิ้นนั้นเขม็ง ใช้กระบี่บินจินสุ้ยวาดบ่อสายฟ้าสีทองออกมาสิบกว่าบ่ออย่างระมัดระวังก่อน บ่อสายฟ้าแต่ละชั้นทับซ้อนเข้าด้วยกัน สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นค่ายกลกระบี่ แล้วถึงได้เก็บตราประทับของ ‘หนอนหนังสือเฒ่า’ ที่เคยเก็บสะสมตำราสามล้านเล่มชิ้นนี้ใส่ไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าอาจต้องไปสวนกงเต๋อสักรอบหนึ่งแล้ว พอดีกับที่โจวเฝยมาถึง ก็ให้เขากลับบ้านเกิดไปพร้อมกับอาจารย์เลย”

เฉินผิงอันถาม “รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันก่อนหรือไร?”

ชุยตงซานพยักหน้า “รีบมาก แต่อาจารย์โปรดวางใจ ข้าจะพยายามไปรวมตัวกับพวกท่านที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนหน้านั้นข้ายังสามารถไปเยือนจวนเหยาเป็นเพื่อนอาจารย์ได้ก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นอาจารย์ก็สามารถไปรับพวกศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้แล้ว แล้วค่อยเร่งเดินทางกันต่อ ทางฝั่งของนครเซิ่นจิ่งนี้ ข้ายังต้องช่วยอาจารย์เก็บกวาดซากเละเทะที่เหลือก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง เอาเป็นว่าอย่างมากสุดใช้เวลาครึ่งวันก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างผ่อนคลายแล้ว ก็หนีไม่พ้นแค่ต้องจัดการกับนักพรตหลงโจวท่านนี้ หลิวฉงในคุกน้ำ บวกกับเซินกั๋วกงที่ไม่มีเผยหมิ่นปกป้องคุ้มครอง”

เดิมทีหลิวเม่าวางใจได้มากแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพอพบเจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวท่าทางลับๆ ล่อๆ คนนี้ เส้นเอ็นหัวใจเขาถึงกับขมวดตึงขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่ได้เห็นว่าเฉินผิงอันมาเยือนอารามหวงฮวา

เด็กหนุ่มชุดขาวพลันหันหน้ามาถลึงตาใส่หลิวเม่า มือข้างหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อหมุนเป็นวงกลมเต็มแรง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าโง่เจ้ามองอะไร? นักพรตน้อยจมูกโคหน้าเหม็น รู้หรือไม่ว่านายท่านอย่างข้าเคยพบเจอกับบรรพบุรุษของเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นมาก่อนแล้ว ข้าเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพี่น้องที่รักกันมีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกันกับเขาด้วยซ้ำ! ดังนั้นเจ้าจงรีบๆ เรียกข้าว่าท่านบรรพบุรุษซะ!”

หลิวเม่าหันหน้าไปมองทางเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันถึงกับพาเหยาเซียนจือจากไปโดยตรง ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “เจ้าพูดคุยให้เสร็จก่อน ข้าจะพาท่านเจ้าเมืองเดินกลับจวนเหยา อีกเดี๋ยวเจ้าค่อยตามไป”

ชุยตงซานยืดอกตั้ง ขานรับเสียงดังกังวาน “รับบัญชา!”

รอกระทั่งอาจารย์เดินออกไปจากอารามหวงฮวาแล้ว ชุยตงซานที่ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหน้าต่างแน่ใจแล้วว่าประตูใหญ่ปิดลง เงี่ยหูตั้งใจฟังจนแน่ใจว่าอาจารย์เดินจากไปไกลแล้ว ถึงได้หันตัวกลับมา แล้วจึงหมุนตัวกลับไปอีกครั้ง ฟังเสียงกรนน้อยๆ ของลูกศิษย์ที่รักสองคนของนักพรตหลงโจวที่อยู่ในห้องด้านข้าง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ คลำเอาแมงมุมตัวหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตัวแมงมุมเป็นสีเขียวมรกตตลอดร่าง เปี่ยมล้นไปด้วยประกายแสงแห่งวสันต์ ดีดนิ้วหนึ่งที แมงมุมน้อยขนาดเท่าเล็บมือก็พุ่งไปด้านหน้าราวลูกธนูหลุดออกจากแล่ง ไปนอนคว่ำอยู่บนหน้าต่าง แล้วถักทอใยแมงมุมขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลิวเม่าเหลือบตามอง หน้าผากก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาทันใด ระหว่างที่ใยแมงมุมนั้นถักทอขึ้นมาก็มีหญิงสาวอ่อนเยาว์ขนาดความสูงชุ่นกว่าปรากฏตัว พวกนางสวมชุดกระโปรงสีแดงสด เข็มขัดสีสันสดใสพลิ้วไสว เรือนกายของแต่ละคนล่องลอยผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอก เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น สายตาเลื่อนลอย สุดท้ายกลายร่างเป็นควันเขียวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ลอดทะลุหน้าต่างไปเข้าฝันคนสองคนที่กำลังหลับสนิท…

จากนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวก็คว้าจับแขนของนักพรตหลงโจว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะส่งเจ้าเข้าไปในความฝันเดี๋ยวนี้?”

แม้หลิวเม่าจะไม่รู้ว่าเมื่อเข้าไปในความฝันแล้ว ถูกใยของแมงมุมฝันวสันต์โอบล้อม จุดจบจะเป็นอย่างไรกันแน่ แต่กระนั้นเหงื่อเย็นๆ ก็ยังแตกเต็มร่าง แข็งใจเอ่ยว่า “เซียนซือถามมาได้เลย หลิวเม่ารู้อะไรจะต้องบอกทุกอย่างไม่มีปิดบังอย่างแน่นอน”

ชุยตงซานกระตุกมุมปาก กระชากเบาๆ ก็ดึงจิตวิญญาณของหลิวเม่าออกมาจากเนื้อหนังมังสาร่างนี้

หลิวเม่าใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อย่าดึงพวกเขามา ขอร้องเซียนซือโปรดเปลี่ยนวิธีการใหม่”

ชุยตงซานส่ายหน้า “เชื่อข้าเถอะ หลังจบเรื่องเจ้ามีแต่จะยิ่งรู้สึกเสียใจภายหลัง”

ชุยตงซานกลับส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์ก็แค่เชี่ยวชาญในการทำลายเรื่องบางเรื่องและการปั่นป่วนใจคนเท่านั้น แต่อาจารย์กลับตรงกันข้าม ควรเป็นศิษย์ที่ต้องเรียนรู้จากอาจารย์ถึงจะถูก เพราะแท้จริงแล้วนี่เรียนรู้ได้ยากยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือไปกดหัวชุยตงซานแล้วโยกอย่างแรง “จะถือเสียว่าประโยคนี้ของเจ้าไม่ใช่คำประจบก็แล้วกัน”

ชุยตงซานยิ้มตาหยี

แม้เหยาเซียนจือจะไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนคุยอะไรกัน แต่ก็ยังอดตะลึงไม่ได้ว่าเหตุใดอาจารย์เฉินถึงมีลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้ได้

หรือว่าเหมือนกับแม่หนูน้อยถ่านดำจอมเจ้าเล่ห์ของปีนั้นที่ต่างก็ถูกอาจารย์เฉินเก็บมาได้จากข้างทาง?

พอคิดถึงถ่านดำน้อยที่ชื่อเผยเฉียนผู้นั้น เหยาเซียนจือก็กลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าใต้หล้าจะมีแม่นางน้อยที่ฉลาดเปี่ยมไปด้วยไหวพริบเช่นนั้น ในคำพูดซ่อนคำพูดไว้อีกที ทุกการกระทำทุกคำพูดล้วนมีแต่อุบาย ปีนั้นนางอายุแค่นั้นก็สามารถหลอกพวกมือปราบมากประสบการณ์ในยุทธภพของเมืองหูเอ๋อร์พาเข้ารกเข้าพงไปไหนต่อไหนได้แล้ว ในความจริงแล้วภายหลังระหว่างที่เดินทางขึ้นเหนือ เหยาเซียนจือเองก็ต้องเสียเปรียบไปไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเกือบจะเชื่อว่าอาจารย์เฉินก็คือบิดาของนาง เพียงเพราะว่ามีความลับบางอย่างที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์ได้ชั่วคราว นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ยังมีตอนที่ถ่านดำน้อยช่วยเหยาเซียนจือดูลายมือ นางบอกว่าตัวเองเป็นคนที่มีชะตาชีวิตรันทด เพราะเกิดมาก็มีทิพย์จักษุ ช่างเป็นเคราะห์ใหญ่หลวงนัก มักจะมองเห็นสิ่งที่คนเป็นต้องหลบเลี่ยงอย่างเทพท่องราตรีสวมตรวนล่ามผีที่เร่ร่อนไปตามท้องถนนเอย เห็นเทพภูเขาแต่งภรรยาเอย อีกทั้งอายุน้อยๆ ก็ได้เดินผ่านสะพานข้ามเซียน (หรือหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ระหว่างห้องฝังศพสองห้องของสามีภรรยาในสมัยโบราณที่ได้ฝั่งร่วมสุสานเดียวกัน เพราะคนโบราณเชื่อว่านี่เป็นการแสดงออกถึงการรอคอยอันงดงามว่าชาติหน้าจะได้กลับมาเป็นคู่กันอีกครั้ง) แล้ว อะไรที่บอกว่าบนร่างพกเหรียญทองแดงตระกูลเซียนไว้หนึ่งเหรียญถึงได้ไม่ต้องดื่มน้ำแกงข้ามสะพาน…สรุปก็คือแต่ละเรื่องที่พูดล้วนร้อยเรียงต่อกัน หากไม่เป็นเพราะอาจารย์เฉินบิดหูแม่นางน้อยถ่านดำแล้วลากออกไปห่างๆ พอนางยืนห่างออกไปแล้วก็ยกสองแขนกอดอก ฟังคำสั่งสอนพลางกลอกตาเร็วรี่…เกือบจะทำให้เหยาเซียนจือที่ก่อนหน้านี้พยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกนึกอยากจะควักเงินสะสมทั้งหมดของตัวเองมาเป็นค่าตอบแทนในการดูดวงให้กับแม่นางน้อยเสียแล้ว

ทุกวันนี้พอเหยาเซียนจือย้อนนึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็รู้สึกว่าทนมองไม่ได้จริงๆ เขาถึงกับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งหลอกเสียจนหัวหมุน

ไม่รู้ว่าถ่านดำน้อยติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์เฉิน ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ ต้องเปลี่ยนแน่อยู่แล้วกระมัง เพราะถึงอย่างไรก็ได้ติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์เฉินนี่นะ

ไปถึงจวนเหยา หลังจากที่ชุยตงซานรู้เรื่องที่เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไป เขาก็ลังเลเล็กน้อย นอกจากยันต์ทั้งหลายของอาจารย์แล้ว เขายังขอ ‘อัญเชิญ’ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มาจากอาจารย์อย่างนอบน้อมด้วย จากนั้นก็พลิกเปิดไปถึงหน้าท้ายๆ แล้วควักกระดาษยันต์ออกมาอีกสามแผ่น เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็วาดยันต์สามแผ่นที่ต้องเผาผลาญบุญกุศลออกมาเช่นกัน หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา แปะไว้บนจุดสูงสองด้านของเตียงคนป่วย แผ่นสุดท้ายแปะไว้นอกห้อง

สุดท้ายชุยตงซานก็พูดกับเหยาเซียนจืออย่างตรงไปตรงมาว่า “ยันต์ของข้ากับอาจารย์สามารถทำให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาหลับไปหนึ่งปีครึ่ง อย่างมากสุดสองปีโดยที่ไม่ต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปแม้แต่น้อย ทางฝั่งของจวนเหยาไม่ต้องกังวลที่แม่ทัพผู้เฒ่าหลับสนิท ในช่วงเวลาระหว่างนี้หากสามารถรอจนได้โอสถที่ระดับขั้นเพียงพอเม็ดหนึ่งมา เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาจะมีอายุขัยต่อไปอีกได้ประมาณครึ่งปี อย่างมากสุดเจ็ดเดือน อย่างน้อยสุดห้าเดือน ทว่ายานี้จะมีหรือไม่มี จะเอามามอบให้ได้เมื่อไหร่ อาจารย์และข้าต่างก็ไม่กล้ารับรอง อีกทั้งต้องบอกไว้ก่อนว่า ตระกูลเหยาต้องควักเงินจ่ายเอง แล้วก็ห้ามขาดแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ไม่ใช่ว่าอาจารย์และข้าตัดใจจ่ายเงินก้อนนี้ไม่ลง แต่นี่คือกฎ และเป็นความหวังดีต่อแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา”

เหยาเซียนจือกรอบตาแดงก่ำ ยืนอยู่ที่เดิม ริมฝีปากสั่นระริก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กำหมัดแน่น มองไปทางเด็กหนุ่มชุดขาว ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมใช้หมัดทุบเข้าที่หัวใจตัวเองหนักๆ

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มาโดยตลอดลุกขึ้นยืนช้าๆ ตบไหล่เหยาเซียนจือ “ข้าหวังว่าเจ้าจะยังเป็นเจ้าเมืองนี่ต่อได้ เซียนจือ ลองพิจารณาดูให้ดี หากทนไปอีกปีสองปี แต่ก็ยังทำไม่ได้จริงๆ ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยตัดสินใจอีกทีเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าล้วนสนับสนุนเจ้า”

เหยาเซียนจือหันตัวกลับมา เช็ดใบหน้า รีบหันหน้ากลับมายิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงระหว่างที่เดินกันมาข้าก็คิดได้แล้ว จะไม่ไปที่ชายแดนแล้ว ข้าผู้อาวุโสจะนอนเฝ้าตำแหน่งเจ้าเมืองนี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น! แต่ข้าก็ต้องบอกก่อนว่า อาจารย์เฉินต้องเก็บตำแหน่งผู้ถวายงานสำนักเบื้องล่างไว้ให้ข้าด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ

มองบุรุษชุดเขียวที่คลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นตรงหน้า เหยาเซียนจือก็ตาแดงขึ้นมาอีก ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมยู่หน้าอย่างแรง พยายามตีหน้าให้เคร่งขรึมอย่างยากลำบาก พูดเสียงสั่นว่า “อาจารย์เฉิน อันที่จริงข้าก็เคยโทษท่าน โทษท่านที่เหตุใดปีนั้นถึงไม่ยอมอยู่ต่อ ข้ารู้ว่าคิดแบบนี้ไร้เหตุผล แต่ก็ยังอดคิดแบบนี้ไม่ได้ ไม่ดื่มเหล้า ในใจก็ยากจะทานทน แต่พอดื่มเหล้าแล้วคิดเช่นนี้กลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่า…”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!