กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 761

สรุปบท บทที่ 761.5 ไม่ถูก: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 761.5 ไม่ถูก จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 761.5 ไม่ถูก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางวัดเทียนกง ก้มหน้าลงประนมสองมือขึ้นคารวะ

ชุยตงซานได้แต่ทำตามอาจารย์ พนมมือคารวะแบบลัทธิพุทธอยู่นอกประตูภูเขาอย่างเข้าท่าเข้าที

คนทั้งสองทะยานลมไปช้ามาก เฉินผิงอันเล่ารายละเอียดระหว่างการถามกระบี่ที่เผยหมิ่นกดขอบเขตอยู่แค่ขอบเขตเซียนเหรินให้ฟัง

ชุยตงซานเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไว้ในใจเงียบๆ

ชุยตงซานเห็นว่าอาจารย์ไม่พูดอะไรแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “ปีนั้นอาจารย์ก็รู้สึกแล้วว่าพ่อบ้านเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างกายเกาซื่อเจินผู้นี้ผิดปกติ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “มองตื้นลึกไม่ออก ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก”

ปีนั้นเฉินผิงอันทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งขอบเขตวรยุทธก็ไม่สูงพอ จำได้แค่ว่าข้างกายเซินกั๋วกงมีผู้เฒ่าถือร่มคนหนึ่งยืนอยู่ บุคลิกหนักแน่นจริงจัง ดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในราชสำนักผู้หนึ่ง

ชุยตงซานทอดถอนใจเอ่ยว่า “อาจารย์ลงมือทำอะไรก็ยังคงชอบปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมีมารยาทเช่นนี้เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหนิดๆ ที่เหมือนกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้านี้ เหอะ ป่านนี้คงร่ายวิชาหมัดหวังปาใส่เจ้าเฒ่าเผยนั่นไปรอบหนึ่งแล้ว การต่อสู้ในยุทธภพ คนหนุ่มต่อยหมัดส่งเดชก็ยังต่อยให้อาจารย์แก่ๆ ตายได้ หากต่อยเขาไม่ตาย ก็ต้องทำให้เขาตกใจกลัวขวัญหนีดีฝ่อ”

เฉินผิงอันอดไม่ไหวเอ่ยว่า “เวลานี้ต่อให้รวมเจ้ากับข้าเข้าด้วยกัน บวกกับเจียงซ่างเจินอีกคนหนึ่ง รับมือกับเผยหมิ่นคนหนึ่ง โอกาสชนะก็ยังน้อยมากอยู่ดี คนทั้งสามสามารถหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่ตายได้ก็ถือว่าพวกเราชนะแล้วหรือ?”

“การแลกชีวิตก็มีวิธีการต่อสู้สำหรับแลกชีวิต หนีเอาชีวิตรอดก็มีเส้นทางของการหนีเอาชีวิตรอด”

ชุยตงซานพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงหึในลำคอ “วันนี้เป็นอย่างนี้ อย่างมากสุดผ่านไปอีกแค่ร้อยกว่าปีก็ยังคงเป็นพวกเราสามคนที่ไม่ต้องลงมือกันครบทุกคน ไม่ว่าสองคนใดก็ตามร่วมมือกัน อีกคนแค่คอยระวังหลังให้อยู่ไกลๆ ก็สามารถเล่นงานให้เผยหมิ่นไม่มีแม้แต่ที่จะหลบหนีได้แล้ว ได้แต่คุกเข่าร้องอ้อนวอนว่าข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่นะ ยิ่งไม่ใช่โจรเฒ่าเผยหมิ่นที่สมควรโดนแทงพันมีดผู้นั้น ข้าไม่สนิทกับเขาเลยสักนิดเดียว ดังนั้นพวกเจ้าต้องจำคนผิดแน่”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “ระวังคำพูด”

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะหันไปปรบมือเอ่ยชมเชย “ไม่ว่าจะอย่างไร การถามกระบี่ในคืนนี้ เผยหมิ่นยินดีเรียกกระบี่บินทั้งหมดออกมาก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงเวทกระบี่ที่สูงส่งของตาเฒ่าผู้นี้แล้ว ที่สำคัญคือสายตาของเขายังสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สุ่ยเซียน’ ที่เหมือนผียิ่งกว่าผีพรายนั่น เผยหมิ่นย่อมไม่มีทางลงมือง่ายๆ อย่างแน่นอน แม้จะบอกว่ากระบี่บินที่พลังพิฆาตสูงที่สุดยังคงเป็น ‘โพ่จิ้ง’ ที่เผยหมิ่นเอาไว้ใช้สังหารผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาในท้ายที่สุด แต่กระนั้นจำนวนครั้งที่เรียก ‘สุ่ยเซียน’ ออกมาก็ยังน้อยที่สุด ช่างเป็นโจรเฒ่าที่มีแผนการลึกล้ำยาวไกลเสียจริง! ดีดลูกคิดไว้เป็นอย่างดี หากการถามกระบี่ของคืนนี้แค่ปล่อย ‘เสินเซียว’ มาเล่มเดียว หรือบวกกับ ‘อีเสี้ยนเทียน’ อีกเล่มก็จะดูขี้เหนียวเกินไปหน่อย เล่าลือออกไปย่อมไม่น่าฟัง รอให้ในอนาคตอาจารย์ไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้าแล้ว เผยหมิ่นก็ไม่มีหน้ามาพูดแล้วว่าปีนั้นเคยประมือประลองเวทกระบี่กับอาจารย์อย่างแท้จริงมาก่อน วันนี้ปล่อยสี่กระบี่ออกมาอย่างครบถ้วน วันหน้าเวลาที่เผยหมิ่นเอาไปคุยโวให้คนอื่นฟัง ก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ชี้แนะเวทกระบี่ ปล่อยกระบี่ออกมาถึงสี่เล่ม? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ ไปเกินครึ่ง เพื่อสะสมพละกำลังยามถามกระบี่กับเซียนกระบี่เฉินอย่างเต็มแรง…”

เฉินผิงอันยิ่งมีสีหน้าอ่อนระโหย เอ่ยเสียงเบา “ฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้าจนง่วงแล้ว”

ชุยตงซานรีบหุบปากทันใด ไม่รบกวนการพักผ่อนของอาจารย์อีก

ทางฝั่งของห้องทำสมาธิ

เกาซื่อเจินเป็นฝ่ายชิงเดินเข้าหาพ่อบ้านผู้เฒ่า ยื่นมือไปกำแขนของเผยหมิ่นแน่น พูดเสียงสั่นอย่างน่าเวทนาว่า “เหล่าเผย ขอร้องเจ้าช่วยซู่อี้ด้วย!”

เผยหมิ่นมองผู้เฒ่าที่น่าสงสาร อันที่จริงจวนเซินกั๋วกงได้เลือกแม่น้ำสายหนึ่งและภูเขาสูงลูกหนึ่งไว้นานแล้ว ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน

เผยหมิ่นไม่ได้สลัดมือของเกาซื่อเจินออก เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่เป็นเพราะท่านกริ่งเกรงคำพูดประโยคนั้นของเฉินผิงอันมาโดยตลอด ปีนั้นเกาซู่อี้ที่อยู่ในท้องถิ่น หากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์เทพที่ถูกต้องขึ้นมา บุกเบิกจวนเป็นฝู่จวินเทพภูเขาอะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ป่านนี้คงตายอีกครั้งไปนานแล้ว ต่อให้พึ่งพากระโจมทัพของเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็สวามิภักดิ์ต่อเฝ่ยหรานได้สำเร็จ แอบใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ หากตอนนี้ถูกสกุลเหยาและสำนักศึกษาพลิกบัญชีเก่าขึ้นมา จะมีชีวิตรอดได้จริงหรือ? ไม่ว่าจะอย่างไร เป็นผีหรือเป็นคนก็ควรต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดี”

เกาซื่อเจินสีหน้ามืดทะมึน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เฉินผิงอันอะไรกัน เขาก็คือเฝ่ยหราน!”

เฉินผิงอันจะใช่เฝ่ยหรานหรือไม่ สำหรับพวกเจ้าแล้ว ทุกวันนี้ยังสำคัญอีกหรือ? อันที่จริงไม่สำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว รักษาอะไรไว้ไม่อยู่สักอย่าง ยังจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกหรือ

เปลืองแรงตนที่จงใจยอมปล่อยให้เฉินผิงอันไม่สลายฟ้าดินเล็กแห่งนั้นออก ทั้งสองฝ่ายเดินเล่นพูดคุยกันเนิ่นนานไปเสียเปล่าๆ

เผยหมิ่นถอนหายใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างก็วูบหายไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “ในเมื่ออายุมากปูนนี้แล้ว ก็ควรจะคิดถึงประโยคเก่าแก่พวกนั้นให้มาก เมื่อแสดงน้ำใจและรักษาสัจจะอย่างถึงที่สุดแล้ว จงดูแลตัวเองให้ดี”

……

อารามหวงฮวา คืนนี้ฝนตกหนักจนน่าตกใจ

หลิวเม่าแค่ถูกผลักออกมาทั้งคนทั้งเก้าอี้ กระดูกบนร่างก็แทบหลุดออกจากกัน กระอักเลือดไม่หยุด ลุกขึ้นยืนโงนเงน ด้านใต้คือเศษซากเก้าอี้ที่ปริแตก

ในห้องมีกระบี่บินเล่มหนึ่งถูกทิ้งไว้ มันลอยตัวอยู่กลางอากาศ หลิวเม่าจำได้ว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แสงกระบี่เป็นสีเขียวเข้มเล่มนั้นของเฉินผิงอัน

ป้องกันใจคน ขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องเหยาเซียนจือที่อยู่ในห้องหลักได้ด้วย

หลิวเม่าเปิดกาเหล้า จิบเหล้าหนึ่งคำ หลายปีเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ดื่มสุรา รู้สึกเพียงความเผ็ดร้อน ยากจะกลืนลงคอได้ เขากระแอมไออยู่สองที ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก เอนหลังพิงโต๊ะหนังสือ ยิ้มถามว่า “ในที่ว่าการของท่านเจ้าเมือง น้ำมันเก่ารับมือได้ไม่ง่าย ตะปูนิ่มก็คงไม่อร่อยกระมัง?”

เหยาเซียนจือเพียงแค่ดื่มเหล้า ไม่ตอบคำ

สมองของหลิวเม่าไม่ดีก็แค่ยามที่อยู่กับอาจารย์เฉินเท่านั้น แต่พอมาอยู่กับตน เหยาเซียนจือกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายหัวดีมาก

หลิวเม่าพูดกลั้วหัวเราะคล้ายคุยเล่นกับสหายเก่าแก่คนหนึ่งบนโต๊ะสุรา “ตอนที่เพิ่งจะได้เป็นเจ้าเมือง เจ้าก็เคยมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ฮึกเหิมใช่หรือไม่ แรกเริ่มก็ราบรื่นดีอยู่หรอก ผลกลับต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่โดยที่ไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย? สุดท้ายยังค้นพบอีกว่าตัวเองเป็นฝ่ายไร้เหตุผลจริงๆ? จากนั้นบรรยากาศทั่วทั้งบนและล่างที่ว่าการก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด? เหยาเซียนจือ เจ้าคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองอยู่ตรงไหน?”

เหยาเซียนจือตัดสินใจแล้ว เจ้าพูดจาเหลวไหลของเจ้าไป ข้าผู้อาวุโสจะแค่ดื่มเหล้าของข้าเท่านั้น

หลิวเม่าถามเองตอบเอง “เจ้าให้ความสำคัญกับสถานะของลูกหลานสกุลเหยาเกินไป ยิ่งเจ้าให้ความสำคัญ พวกคนที่ฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นยอดฝีมือในด้านงานหลวงพวกนั้นก็ยิ่งรู้ว่าควรจะจัดการกับใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างไร ยิ่งเจ้าไม่ทิ้งระยะห่างกับเหยาเซียนจือแม่ทัพบนสนามรบเท่าไร เจ้าก็ยิ่งรับมือกับวงการขุนนางที่ไม่มีแสงดาบเงากระบี่ มองดูคล้ายสมัครสมานกลมเกลียวได้ยากมากเท่านั้น แต่ข้าเองก็รู้ว่า สิ่งเหล่านี้เพียงแค่ทำให้เจ้าชนกำแพง รู้สึกอัดอั้นเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ใจของเจ้าตระหนกลนอย่างแท้จริง คือการกระทำของพวกสหายร่วมรบมากกว่า เจ้ารู้ว่ามีหลายเรื่องที่พวกเขาทำไม่ถูก แต่เจ้าไม่รู้สักนิดว่าจะโน้มน้าวอย่างไร จะเปิดปากพูดอย่างไร ควรจะเก็บกวาดอย่างไร…”

เหยาเซียนจือเงยหน้าขึ้น สีหน้ามืดทะมึน พูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าหุบปากให้ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”

หลิวเม่ายิ้มบางๆ “อันที่จริงวิถีแห่งการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในวงการขุนนาง ฮ่องเต้สามารถสอนเจ้าได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของนางแล้ว ก็จะต้องสอนจนเจ้าเป็นแน่นอน เพียงแต่ว่านางยุ่งเกินไป อีกทั้งเจ้ายังขาเป๋แขนด้วน อีกทั้งอายุยังพอๆ กัน ดังนั้นนางถึงได้ยุ่งเกินไป ใต้เท้าเจ้าเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจตราป้องกันเมืองหลวงเช่นนี้ แม้จะบอกว่าทำอะไรไม่ราบรื่น แต่ฮ่องเต้กลับวางใจอย่างมาก อย่าถลึงตาใส่ข้าสิ ไม่แน่เสมอไปว่าเหยาจิ้นจือจะคิดเช่นนี้ นางทำแบบนี้เพราะอาศัยสัญชาตญาณ ไม่จำเป็นต้องให้นางคิดมากความเลยด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับปีนั้นที่สรุปแล้วฮ่องเต้หลิวเจินตายอย่างไร ท่านปู่ของเจ้าถูกลอบฆ่าได้อย่างไร นางเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองคิดมากเช่นกัน ความโชคดีที่มีมาเนิ่นนาน บวกกับลางสังหรณ์ที่แม่นยำมาโดยตลอดของนาง ก็คือโชคอย่างหนึ่ง”

“ส่วนเหยาหลิ่งจือนั่น สอนเจ้าไม่สู้ไม่สอนยังดีกว่า อยู่ร่วมกับเหล่าผู้กล้าของยุทธภพ นางยังพอถูไถ แต่พอมาถึงวงการขุนนางก็มืดแปดด้านเหมือนกัน สตรีผู้นี้เป็นคนดี แต่ก็โง่ไปหน่อย น่าเสียดายที่สายตาในการเลือกบุรุษกลับไม่ได้เรื่อง แต่งงานกับหมอนปักลายบุปผาที่มีแต่กลิ่นอายของบัณฑิต ได้ยินมาว่ามีรูปโฉมภายนอกหล่อเหลา แล้วยังเป็นทั่วฮวาหลางอีกด้วย? ผลกลับกลายเป็นว่าพลอยไปกับหลี่ซีหลิง คอยตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าทุกเรื่อง เพื่อหวังใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง จะได้ยึดครองพื้นที่ดีๆ ในวงการขุนนางน้ำใส? โง่หรือไม่ ทำเอาหลี่ซีหลิงไม่กล้าใช้งานเขาในเรื่องที่สำคัญเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่หลี่ซีหลิงต้องการ ก็คือคนกันเองที่ยืนอยู่ข้างกายของเจ้าเมืองเหยา เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งเจ้าเมืองคนถัดไปต่อจากเจ้า เขาก็แค่ต้องผลักไปด้านนอกให้สุดแรง ใช้สองมือบวกกับสองเท้า ขอแค่เจ้าเด็กนี่ถูกผลักทิ้งไปได้ ก็จะถือว่าข้าแพ้”

“อืม ถึงกับไม่ได้ถลึงตาใส่ข้า ดูท่าเจ้าเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องสนว่าเป็นคนดีหรือคนเลว แต่สรุปก็คือมีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน พวกเรามาชนแก้ว ดื่มกันสักอึกดีไหม?”

หลิวเม่ายกกาเหล้าที่อยู่ในมือขึ้น ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ

เหยาเซียนจือไม่ดื่มเหล้าอีก เพียงแค่เหล่ตามองนักพรตหลงโจวผู้นี้ “เจ้าคนนี้หากไส้ยังไม่เละไปหมด (เปรียบเปรยว่าเป็นคนชั่ว มีแต่ความคิดชั่วร้าย) เป็นเจ้าเมืองของเมืองหลวงก็มากพอเหลือแหล่เลยจริงๆ”

หลิวเม่ากระตุกมุมปาก ยื่นสองนิ้วออกมากระตุกชุดคลุมลัทธิเต๋าเรียบง่ายบนร่าง “เจ้าเมือง? อาจารย์เฉินที่เจ้าเลื่อมใสเป็นที่สุดเรียกข้าว่าอย่างไร องค์ชายสาม จวิ้นหวังขั้นหนึ่งชั้นโทอย่างเจ้าทัดเทียมได้หรือ? ขุนนางบุ๋น แม่ทัพบู๊ ยุทธภพ ข้าล้วนได้ยึดครองหนึ่งส่วนเพียงลำพัง เจ้าอย่าลืมล่ะว่า ก่อนที่ข้าจะออกจากเมืองหลวงไปเยือนจวนจินหวงของเป่ยจิ้นแห่งนั้น ใครกันที่เสียเวลาถึงสามปีเต็มเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว ช่วยแต่งตำรา ‘จารึกภูมิศาสตร์เล่มบางยิ่งใหญ่แห่งหยวนเจินสิบสองปี’ ที่มีมากถึงสี่ร้อยฉบับให้กับราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเราอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ?”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!