ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางวัดเทียนกง ก้มหน้าลงประนมสองมือขึ้นคารวะ
ชุยตงซานได้แต่ทำตามอาจารย์ พนมมือคารวะแบบลัทธิพุทธอยู่นอกประตูภูเขาอย่างเข้าท่าเข้าที
คนทั้งสองทะยานลมไปช้ามาก เฉินผิงอันเล่ารายละเอียดระหว่างการถามกระบี่ที่เผยหมิ่นกดขอบเขตอยู่แค่ขอบเขตเซียนเหรินให้ฟัง
ชุยตงซานเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไว้ในใจเงียบๆ
ชุยตงซานเห็นว่าอาจารย์ไม่พูดอะไรแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “ปีนั้นอาจารย์ก็รู้สึกแล้วว่าพ่อบ้านเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างกายเกาซื่อเจินผู้นี้ผิดปกติ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มองตื้นลึกไม่ออก ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก”
ปีนั้นเฉินผิงอันทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งขอบเขตวรยุทธก็ไม่สูงพอ จำได้แค่ว่าข้างกายเซินกั๋วกงมีผู้เฒ่าถือร่มคนหนึ่งยืนอยู่ บุคลิกหนักแน่นจริงจัง ดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในราชสำนักผู้หนึ่ง
ชุยตงซานทอดถอนใจเอ่ยว่า “อาจารย์ลงมือทำอะไรก็ยังคงชอบปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมีมารยาทเช่นนี้เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหนิดๆ ที่เหมือนกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้านี้ เหอะ ป่านนี้คงร่ายวิชาหมัดหวังปาใส่เจ้าเฒ่าเผยนั่นไปรอบหนึ่งแล้ว การต่อสู้ในยุทธภพ คนหนุ่มต่อยหมัดส่งเดชก็ยังต่อยให้อาจารย์แก่ๆ ตายได้ หากต่อยเขาไม่ตาย ก็ต้องทำให้เขาตกใจกลัวขวัญหนีดีฝ่อ”
เฉินผิงอันอดไม่ไหวเอ่ยว่า “เวลานี้ต่อให้รวมเจ้ากับข้าเข้าด้วยกัน บวกกับเจียงซ่างเจินอีกคนหนึ่ง รับมือกับเผยหมิ่นคนหนึ่ง โอกาสชนะก็ยังน้อยมากอยู่ดี คนทั้งสามสามารถหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่ตายได้ก็ถือว่าพวกเราชนะแล้วหรือ?”
“การแลกชีวิตก็มีวิธีการต่อสู้สำหรับแลกชีวิต หนีเอาชีวิตรอดก็มีเส้นทางของการหนีเอาชีวิตรอด”
ชุยตงซานพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงหึในลำคอ “วันนี้เป็นอย่างนี้ อย่างมากสุดผ่านไปอีกแค่ร้อยกว่าปีก็ยังคงเป็นพวกเราสามคนที่ไม่ต้องลงมือกันครบทุกคน ไม่ว่าสองคนใดก็ตามร่วมมือกัน อีกคนแค่คอยระวังหลังให้อยู่ไกลๆ ก็สามารถเล่นงานให้เผยหมิ่นไม่มีแม้แต่ที่จะหลบหนีได้แล้ว ได้แต่คุกเข่าร้องอ้อนวอนว่าข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่นะ ยิ่งไม่ใช่โจรเฒ่าเผยหมิ่นที่สมควรโดนแทงพันมีดผู้นั้น ข้าไม่สนิทกับเขาเลยสักนิดเดียว ดังนั้นพวกเจ้าต้องจำคนผิดแน่”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “ระวังคำพูด”
ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะหันไปปรบมือเอ่ยชมเชย “ไม่ว่าจะอย่างไร การถามกระบี่ในคืนนี้ เผยหมิ่นยินดีเรียกกระบี่บินทั้งหมดออกมาก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงเวทกระบี่ที่สูงส่งของตาเฒ่าผู้นี้แล้ว ที่สำคัญคือสายตาของเขายังสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สุ่ยเซียน’ ที่เหมือนผียิ่งกว่าผีพรายนั่น เผยหมิ่นย่อมไม่มีทางลงมือง่ายๆ อย่างแน่นอน แม้จะบอกว่ากระบี่บินที่พลังพิฆาตสูงที่สุดยังคงเป็น ‘โพ่จิ้ง’ ที่เผยหมิ่นเอาไว้ใช้สังหารผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาในท้ายที่สุด แต่กระนั้นจำนวนครั้งที่เรียก ‘สุ่ยเซียน’ ออกมาก็ยังน้อยที่สุด ช่างเป็นโจรเฒ่าที่มีแผนการลึกล้ำยาวไกลเสียจริง! ดีดลูกคิดไว้เป็นอย่างดี หากการถามกระบี่ของคืนนี้แค่ปล่อย ‘เสินเซียว’ มาเล่มเดียว หรือบวกกับ ‘อีเสี้ยนเทียน’ อีกเล่มก็จะดูขี้เหนียวเกินไปหน่อย เล่าลือออกไปย่อมไม่น่าฟัง รอให้ในอนาคตอาจารย์ไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้าแล้ว เผยหมิ่นก็ไม่มีหน้ามาพูดแล้วว่าปีนั้นเคยประมือประลองเวทกระบี่กับอาจารย์อย่างแท้จริงมาก่อน วันนี้ปล่อยสี่กระบี่ออกมาอย่างครบถ้วน วันหน้าเวลาที่เผยหมิ่นเอาไปคุยโวให้คนอื่นฟัง ก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ชี้แนะเวทกระบี่ ปล่อยกระบี่ออกมาถึงสี่เล่ม? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ ไปเกินครึ่ง เพื่อสะสมพละกำลังยามถามกระบี่กับเซียนกระบี่เฉินอย่างเต็มแรง…”
เฉินผิงอันยิ่งมีสีหน้าอ่อนระโหย เอ่ยเสียงเบา “ฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้าจนง่วงแล้ว”
ชุยตงซานรีบหุบปากทันใด ไม่รบกวนการพักผ่อนของอาจารย์อีก
ทางฝั่งของห้องทำสมาธิ
เกาซื่อเจินเป็นฝ่ายชิงเดินเข้าหาพ่อบ้านผู้เฒ่า ยื่นมือไปกำแขนของเผยหมิ่นแน่น พูดเสียงสั่นอย่างน่าเวทนาว่า “เหล่าเผย ขอร้องเจ้าช่วยซู่อี้ด้วย!”
เผยหมิ่นมองผู้เฒ่าที่น่าสงสาร อันที่จริงจวนเซินกั๋วกงได้เลือกแม่น้ำสายหนึ่งและภูเขาสูงลูกหนึ่งไว้นานแล้ว ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน
เผยหมิ่นไม่ได้สลัดมือของเกาซื่อเจินออก เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่เป็นเพราะท่านกริ่งเกรงคำพูดประโยคนั้นของเฉินผิงอันมาโดยตลอด ปีนั้นเกาซู่อี้ที่อยู่ในท้องถิ่น หากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์เทพที่ถูกต้องขึ้นมา บุกเบิกจวนเป็นฝู่จวินเทพภูเขาอะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ป่านนี้คงตายอีกครั้งไปนานแล้ว ต่อให้พึ่งพากระโจมทัพของเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็สวามิภักดิ์ต่อเฝ่ยหรานได้สำเร็จ แอบใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ หากตอนนี้ถูกสกุลเหยาและสำนักศึกษาพลิกบัญชีเก่าขึ้นมา จะมีชีวิตรอดได้จริงหรือ? ไม่ว่าจะอย่างไร เป็นผีหรือเป็นคนก็ควรต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดี”
เกาซื่อเจินสีหน้ามืดทะมึน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เฉินผิงอันอะไรกัน เขาก็คือเฝ่ยหราน!”
เฉินผิงอันจะใช่เฝ่ยหรานหรือไม่ สำหรับพวกเจ้าแล้ว ทุกวันนี้ยังสำคัญอีกหรือ? อันที่จริงไม่สำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว รักษาอะไรไว้ไม่อยู่สักอย่าง ยังจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกหรือ
เปลืองแรงตนที่จงใจยอมปล่อยให้เฉินผิงอันไม่สลายฟ้าดินเล็กแห่งนั้นออก ทั้งสองฝ่ายเดินเล่นพูดคุยกันเนิ่นนานไปเสียเปล่าๆ
เผยหมิ่นถอนหายใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างก็วูบหายไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “ในเมื่ออายุมากปูนนี้แล้ว ก็ควรจะคิดถึงประโยคเก่าแก่พวกนั้นให้มาก เมื่อแสดงน้ำใจและรักษาสัจจะอย่างถึงที่สุดแล้ว จงดูแลตัวเองให้ดี”
……
อารามหวงฮวา คืนนี้ฝนตกหนักจนน่าตกใจ
หลิวเม่าแค่ถูกผลักออกมาทั้งคนทั้งเก้าอี้ กระดูกบนร่างก็แทบหลุดออกจากกัน กระอักเลือดไม่หยุด ลุกขึ้นยืนโงนเงน ด้านใต้คือเศษซากเก้าอี้ที่ปริแตก
ในห้องมีกระบี่บินเล่มหนึ่งถูกทิ้งไว้ มันลอยตัวอยู่กลางอากาศ หลิวเม่าจำได้ว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แสงกระบี่เป็นสีเขียวเข้มเล่มนั้นของเฉินผิงอัน
ป้องกันใจคน ขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องเหยาเซียนจือที่อยู่ในห้องหลักได้ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!