เผยหมิ่นถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้ายังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าคนนี้ค่อนข้างกลัวความวุ่นวาย ไม่ได้กังวลว่าเจ้าจะไปฟ้องศาลบุ๋น แต่เพราะยังทำตามคำสัญญาไม่ได้ จึงไม่อาจไปจากที่แห่งนี้ง่ายๆ ไม่สู้เล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ข้าพอจะถือว่าเป็นหนึ่งในอาจารย์อาจารย์ของลู่ไถได้ เด็กคนนั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่แต่กลับกลัวความสูง อันที่จริงไม่ได้แกล้งทำ แต่เพราะตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่ม เคยได้รับตำรากระบี่เล่มหนึ่งที่ข้าเขียนมาจากพื้นที่ลับหอเก็บตำราของสกุลลู่ คำว่าตำรากระบี่ แท้จริงแล้วก็คือด้านในเก็บซ่อนปณิธานกระบี่บริสุทธิ์สี่ขุมของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่มเอาไว้ เจ้าเด็กคนนั้นจึงทำการถามกระบี่อย่างโง่งมครั้งหนึ่ง นอกจากจะขอบเขตถดถอยแล้ว จิตแห่งมรรคายังได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีคุณสมบัติเช่นเขา บวกกับกำลังทรัพย์ของสกุลลู่ ป่านนี้ก็คงได้เป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าใจแล้ว ร่องรอยของผู้อาวุโสจะไม่ถูกแพร่งพรายไปยังภายนอก”
ผู้เยาว์อ่อนวัยที่รู้ความเช่นนี้ กลับทำให้เผยหมิ่นรู้สึกเวทนาอย่างอดไม่ได้
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้ารู้จักลู่ไถ ก็คือหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์เช่นเดียวกับข้า มีคนคิดอยากจะเล่นงานข้า อีกทั้งวิธีการที่ใช้ยังแยบยลยิ่ง ไม่มีทางทำให้ข้าได้แต่เสียเปรียบอย่างเดียว ดังนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถรอคอยได้ ไม่ได้รอหลิวไฉผู้นั้น แต่รอคนที่อยู่เบื้องหลัง”
วิชาดรรชนีกระบี่ของเรือนจิ้งซินพื้นที่มงคลดอกบัว
เป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องเล็กบวกกับเรื่องเล็ก โดยเฉพาะยังบวกกับ ‘หนึ่งในอาจารย์ของลู่ไถ’ เบาะแสค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถูกเฉินผิงอันยกเส้นสายทั้งเส้นขึ้นมาได้
ราชวงศ์ต้าเฉวียน ฮ่วนซาฮูหยิน เหยาจิ้นจือฮ่องเต้หญิงที่มีความงามเย้ายวนตามธรรมชาติ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล ราชวงศ์ที่อาจารย์ป๋ายเหย่และเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่อยู่ร่วมกัน แล้วยังมีวัดเทียนกงอีกแห่งหนึ่ง เรื่องราวที่ฮองเฮาเคยมาขอฝนที่วัดเทียนกง อีกทั้งเผยหมิ่นที่อยู่ในวัดเทียนกงยังทิ้งเรื่องราวไว้อีกเรื่องหนึ่ง
ปีนั้นอยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด สาเหตุเพราะใบไหวใบหนึ่งที่ร่วงลงมา เฉินผิงอันที่เจอเหยาจึงเลือกจะหยุด ก่อนจะจับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ได้ไปเยือนพื้นที่ลับแปลกประหลาดแห่งหนึ่งลักษณะคล้ายพื้นที่มงคลกระดาษขาวมารอบหนึ่ง และตอนที่อยู่ป้อมอินทรีบินก่อนหน้านั้น ชายฉกรรจ์ที่ร่ายเวทอำพรางตาผู้นั้นก็เคยเผยโฉมมาก่อนจริงๆ ตอนนั้นเดินสวนไหล่ผ่านเฉินผิงอันที่เดินออกจากประตูไป เวลานั้นเฉินผิงอันเพียงแค่รู้สึกประหลาด แต่กลับไม่เคยคิดอย่างลึกซึ้ง ทว่าต่อให้คิดอย่างลึกซึ้ง เฉินผิงอันในเวลานั้นก็ไม่มีทางคิดไปไกลได้อย่างแน่นอน
ดูท่าคงจะเหมือนกับเผยหมิ่น เดิมทีการดำรงอยู่ของวัดเทียนกงก็คือการ ‘ทักทาย’ อย่างหนึ่ง คือการเตือนที่ไม่ถือว่าเป็นการเตือน ก็เหมือนชายฉกรรจ์ที่ยื่นถังหูลู่ให้ในวัยเยาว์ ในหลายๆ สถานที่ล้วนมีการซุ่มแผนการโจมตีที่มีต่อเฉินผิงอันไว้ล่วงหน้าแล้ว แค่ต้องดูที่ว่าเฉินผิงอันจะยินดีหรือไม่ จะอยากคิดไปให้ไกลอีกสองสามก้าวหรือไม่ รู้จักจำแล้วหรือยัง เชื่อหรือยังว่าหนึ่งในหมื่นที่น่าเหลือเชื่อทั้งหลายก็คือหนึ่งในหมื่นที่มีได้ทั่วทุกหนแห่งจริงๆ
ปีนั้นเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับลู่ไถ ลู่ไถเคยพูดหยอกเย้า เพราะดูแคลนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นของเฉินผิงอัน ลู่ไถจึงเคยพูดเองว่าเขามีบรรพบุรุษน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่ลูกหนึ่ง ดังนั้นภายหลังที่ได้ยินเรื่องของสิบคนรุ่นเยาว์ เฉินผิงอันถึงได้เอาเขาไปคิดเชื่อมโยงกับผู้ฝึกกระบี่ ‘หลิวไฉ’
ลู่ไถ เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งใบถงทวีปที่ไม่ถือว่าอยู่ห่างจากทางเข้าของอารามกวานเต๋ามากนัก เหยาจิ้นจือเองก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หญิงอย่างราบรื่นหลังจากมาขอฝนที่วัดเทียนกง
ล้วนเป็นเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจายทั้งสิ้น
ก็เหมือนอย่างบนเส้นทางการเดินทางไปขอศึกษาต่อในปีนั้น นิยายเรื่องเล่าในยุทธภพเล่มหนึ่ง หลี่ไหวสนใจแค่ฉากการฆ่าฟันอันน่าอกสั่นขวัญผวาของเหล่าจอมยุทธเท่านั้น แต่เป่าผิงน้อยกลับสนใจพวกบุคคลตัวเล็กๆ ซึ่งไม่มีบทพูดแม้แต่ประโยคเดียว รวมไปถึงขุนเขาสายน้ำที่เหมือนมีเสียงนกขับขานดังรื่นหูในตำราพวกนั้นมากกว่า อันที่จริงทั้งสองคนล้วนไม่ผิด พลิกเปิดตำราสามารถพลิกเปิดไปตามแต่ใจ ทว่าบนเส้นทางของชีวิตคนนอกตำรา โดยเฉพาะการเดินขึ้นเขาฝึกตน เฉินผิงอันกลับจำต้องเบิกตาให้กว้างเพราะกลัวว่าจะพลาดตัวอักษรตัวใดไป
อยู่ดีๆ เผยหมิ่นก็ถามขึ้นว่า “เจ้าเรียนวิชากระบี่จากศิษย์พี่จั่วโย่วของเจ้ามาสำเร็จกี่ส่วนแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “ไม่ถึงหนึ่งส่วน”
……
ในขณะที่ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ของเผยหมิ่นถูกหนึ่งกระบี่ของอาจารย์ฟันให้ปริแตก อีกทั้งอาจารย์ยังติดตามเผยหมิ่นไปยังจุดอื่นแล้ว ชุยตงซานก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาเสินจ้วนก่อน จากนั้นก็หวนกลับมาที่นอกเรือนห้องทำสมาธิอีกครั้ง ปีนกำแพงข้ามเข้าไป เดินก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า เดินไปหาผู้เฒ่าที่ยืนอยู่หน้าประตู กั๋วกงผู้เฒ่าแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน
ดูท่าจะถูกแสงกระบี่นั้นทำให้ตกใจไม่เบา ถึงได้ยืนบื้อเป็นไก่ไม้อยู่หน้าประตูไม่ขยับไปไหน
เด็กหนุ่มชุดขาวยกสองมือเท้าเอวฉับ ยืนอยู่ห่างจากประตูห้องทำสมาธิมาอีกสิบกว่าก้าวก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้ามองอะไร?! บุตรชายเห็นบิดาน้ำตาไหลพรากจากสองตางั้นหรือ? แล้วทำไมไม่ร้องไห้ให้ข้าดูเสียทีล่ะ!”
เกาซื่อเจินหัวเราะ ไม่มีเหล่าเผยคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู ลมฝนพัดปลิวทำให้ผู้เฒ่าเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวบิดเอวกระโดดหนึ่งทีก็พลิ้วกายไปอยู่ตรงจุดที่ห่างจากห้องทำสมาธิแค่ห้าหกก้าว หันหลังให้เกาซื่อเจิน ชี้ไปยังตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ยกชายแขนเสื้อขึ้นด่าตัวเองว่า “ข้ามองเจ้าแล้วจะทำไม?! บิดามองบุตรชาย สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว!”
จากนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวก็หมุนตัวกลับมา เกาซื่อเจินมองดวงหน้านั้นแล้วสีหน้าก็พลันเลื่อนลอย ร่างส่ายโงนเงนจนต้องยื่นมือไปจับประตูห้องเอาไว้
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที สลายเวทอำพรางตาที่เป็นใบหน้าของเกาซู่อี้ทิ้งไป หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เหล่าเกาอ่า เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้ากับคนแซ่เกามีวาสนาต่อกันนักล่ะ”
เกาซื่อเจินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เขามีลูกศิษย์แบบเจ้าได้อย่างไร? เรื่องล้อเล่นบางอย่างเอามาหยอกล้อกันไม่ได้”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “แปลกใจหรือไม่เล่า? เหล่าเกาเจ้าโมโหหรือไม่?”
ระหว่างที่พูดใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าของเกาซู่อี้อีกครั้ง
เกาซื่อเจินหรี่ตาลง ฝ่ามือข้างหนึ่งวางอยู่บนประตู มืออีกข้างกำเป็นหมัดอยู่ด้านหลัง “รู้สึกว่าสนุกก็เชิญทำต่อไปเถอะ”
‘เกาซู่อี้’ ผู้นั้นตีอกชกตัว “ทำให้เหล่าเกาที่อายุมากปูนนี้ต้องเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำ ซู่อี้อกตัญญู สมควรตายจริงๆ”
เกาซื่อเจินเอ่ยเสียงเย็นชา “สนุกมากหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ เดินขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว เป็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินก้าวออกมา ตำแหน่งเดิมกลับทิ้ง ‘เกาซู่อี้’ เอาไว้
ฝนที่ตกกระหน่ำจึงกระทบหล่นลงบนร่างของคนหนุ่ม เพียงไม่นานเขาก็กลายเป็นเหมือนไก่ตกน้ำ คนหนุ่มเงียบงันไม่เอ่ยคำใด สีหน้าเศร้าเสียใจ เพียงแค่จ้องมองเกาซื่อเจินอยู่อย่างนั้น ในดวงตาของคนหนุ่มมีความละอายใจ มีความไม่พอใจ ความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ การอ้อนวอน…
ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวกลับขยับไปด้านข้างทีละก้าวทีละก้าว ร่างโยกไปโยกมา ขยับออกห่างจากคนหนุ่มผู้นั้นไปเรื่อยๆ
เกาซื่อเจินที่หัวใจเหมือนถูกมีดกรีดก้มหน้าลง พึมพำว่า “ขอร้องเซียนซือโปรดเก็บเวทคาถาลงไปด้วย”
ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เกาซื่อเจินเบี่ยงตัว เอวของกั๋วกงผู้เฒ่าที่แก่ชราแต่กลับยังเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาค้อมลงไปมากกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว พูดด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “เซียนซือโปรดเข้ามานั่งในห้อง”
ชุยตงซานกลับยิ้มถาม “ไม่มองให้มากอีกหน่อยจริงๆ หรือ? โอกาสหาได้ยาก ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว”
เกาซื่อเจินส่ายหน้า หมุนตัวเดินกลับเข้าไปนั่งในห้องก่อน
ชุยตงซานจึงให้ ‘เกาซู่อี้’ ขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!