ตอน บทที่ 763.4 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 763.4 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
พอคิดถึงเจ้าขี้มูกยืดน้อยในอดีต ก็คิดไปถึงหลิวเสี้ยนหยาง คิดถึงหลิวเสี้ยนหยางก็คิดไปถึงเซอเยว่ที่ไม่รู้จักทันที พริบตานั้นความคิดพลันแบ่งแยกออกไป คิดไปถึงซือถูหลงชิวที่คล้ายจะมีความคิดเห็นบางอย่างต่อหลิวเสี้ยนหยาง คิดถึงผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกรของถนนอวี้ฮู่ก็อดนึกไปถึงห้าสุดยอดทั้งใหม่และเก่าในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้ พอคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ที่ ‘ปกป้องมรรคาสร้างสถานการณ์ถามใจอย่างยากลำบาก’ ความคิดของเฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาคิดถึงห้าสุดยอดนั่นอีกครั้งทันที…
อาเหลียงพฤติกรรมการเดิมพันดีที่สุด ใช้น้ำลายสระผม เฒ่าหูหนวกคนต้องพูดภาษาคน ลู่จืองามล่มบ้านล่มเมือง เซียนกระบี่ใหญ่หมี่นับแต่โบราณมาความรักลึกซึ้งมิอาจรั้งเขาไว้ได้
ซือถูหลงชิวข้าสาบานว่าเป็นเรื่องจริง กู้เจี้ยนหลงขอให้ข้าผู้อาวุโสได้พูดประโยคเป็นธรรมสักคำ ต่งถ่านดำจ่ายเงินราวน้ำไหล หวังซินสุ่ยก่อนต่อสู้ข้าใช้ได้ หลังต่อสู้ช่างข้าเถอะ
เฉินผิงอันฟุบตัวบนราวระเบียง ลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “เรื่องของความคิด ต้องระวังไว้บ้างแล้ว หากกลายเป็นจิตใจที่เตลิดเหมือนวานรและม้าพยศจริง เท่ากับจำแลงเป็นเทวบุตรมารนอกโลกครึ่งตัวแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ แต่คนโง่บนภูเขาก็ยังรู้ว่ามันเป็นปัญหาอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “กำลังแก้ไข”
นี่คือโรคร้ายที่ทิ้งไว้ภายหลังหลังจากอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานเกินไป ฝึกฝนร่างกายและเรี่ยวแรงนับว่ายังพอจะดีหน่อย แต่เรื่องของการฝึกฝนจิตใจ นับแต่โบราณมาก็เป็นดาบสองคม และเฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะเดินไปบนเส้นทางประหารสามอสุภะอย่าง ‘บัณฑิต’ หยางหนิง เพราะจะใกล้ชิดกับลัทธิเต๋าเกินไป ทว่าก็เคยมีภิกษุกลางภูเขารูปหนึ่งบอกกล่าวแก่เฉินผิงอันอย่างชัดเจนว่าการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่การหนีเรื่องทางโลกมุ่งสู่ฌาน เมื่อมีประโยคนี้ เฉินผิงอันก็วางใจได้มาก
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่ถามถึงภิกษุ ‘หนุ่ม’ กับเหยาเซียนจือว่าเขาได้ไปจำวัดอยู่ในวัดแห่งใดของใบถงทวีปหรือไม่ อันที่จริงเป็นเพราะเฉินผิงอันต้องการเป็นฝ่ายตามหาวิธีในการคลี่คลายปัญหาด้วยตัวเอง ทางที่ดีที่สุดคือสามารถช่วยให้ตัวเองมุ่งตรงเข้าหาเจตจำนงเดิม พระธรรมสายของหนิวโถวฌาน เพียงแค่ประโยคว่า ‘ไผ่เขียวขจีคือตัวพระธรรม ดอกไม้เหลืองสดใสคือปัญญา’ ยังไม่พอ ต่อให้เฉินผิงอันจะอาศัยสิ่งนี้มายืดขยายความจนบรรลุไปถึงอีกประโยคหนึ่งที่มาจากหาดหินหวงเฮ้อของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาซึ่งบอกว่า ‘ยามที่ปทุมาไม่ร่วงโรย บุปผาแห่งปัญญาย่อมผลิบานได้เอง’ แต่กระนั้นก็ยังคงไม่เพียงพอ
เฉินผิงอันพลันเงยหน้ามองม่านฟ้า ก่อนจะก้มหน้าไล่มองไปตามลำน้ำใหญ่สายนั้น มองตรงไปจนถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เอ่ยว่า “ข้าจะไปเยือนศาลของลำน้ำใหญ่รอบหนึ่ง แล้วเราไปรวมตัวกันบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแห่งที่สอง”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เจ้าขุนเขาทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้อย่างเชี่ยวชาญถึงแก่นจริงๆ”
เผยเฉียนถาม “ข้าไปกับอาจารย์พ่อด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ขี่กระบี่จะเร็วมาก เจ้าตามไม่ทันหรอก”
เผยเฉียนพยักหน้า
เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกไปปาดเบื้องหน้าหนึ่งที “ไป”
กระบี่ยาวออกจากฝัก พุ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ทะยานไปถึงชั้นเมฆ
เฉินผิงอันงอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย แล้วจึงดีดร่างขึ้นสูง เรือเมฆาทั้งลำลดดิ่งฮวบลงมาตาม ถึงกับลดต่ำไปหลายสิบจั้ง จมเข้าไปในทะเลเมฆผืนใหญ่
เผยเฉียนเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่ร่างของอาจารย์พ่อพุ่งหายไป เพียงไม่นานสายตาของนางก็มองไม่เห็นร่องรอยของเขาอีก จึงเกาหัวเอ่ยว่า “ตามไม่ทันจริงๆ”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ปณิธานของเซียนกระบี่ ร่างกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ขี่กระบี่อย่างเต็มกำลัง ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นขอบเขตยอดเขา ตามทันสิถึงจะแปลก ไม่อย่างนั้นอาจารย์พ่อของเจ้าจะถามกระบี่กับเผยหมิ่นได้อย่างไร”
เผยเฉียนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “หากตอนนั้นเจ้าตามไปทันการถามกระบี่ของอาจารย์พ่อข้า แล้วบวกกับศิษย์พี่เล็กไปด้วยอีกคน?”
อาจารย์พ่อคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
โจวเฝยคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยจากบินทะยานมายังเซียนเหริน
ศิษย์พี่เล็กคือคอขวดขอบเขตเซียนเหริน
อาจารย์พ่อนั้นไม่ต้องพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ ที่เหลืออีกสองคนต่างก็เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารและ…หนีเอาชีวิตรอด
เวทคาถา วิชาอภินิหาร สมบัติอาคม รวมไปถึงความสามารถก้นกรุก็ยิ่งมีมากมายก่ายกอง
หากเผยหมิ่นไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานทั่วไป เผยเฉียนก็ไม่จำเป็นต้องถามคำถามเช่นนี้เลย ตกอยู่ในน้ำมือของพวกอาจารย์พ่อสามคน ไม่ถูกซ้อมจนตายก็ต้องถูกผลาญพลังจนตายไปอย่างช้าๆ
ผลคือเจียงซ่างเจินกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ต่างชุยตงซาน “รักษาชีวิตก็มีวิธีของการรักษาชีวิต สู้สุดชีวิตก็มีวิธีการสู้ให้สุดชีวิต”
เผยเฉียนฟุบตัวลงบนราวรั้ว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล “เจ้าสำนักเจียง ขอบคุณนะ”
เจียงซ่างเจินเองก็มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ข้ารีบไปนครเซิ่นจิ่งหรือ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ขอบคุณพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจ้าที่ทำให้ข้าได้พบกับอาจารย์พ่อเร็วกว่าเดิม”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ
ตนสามารถตามความคิดของเจ้าขุนเขาหนุ่มได้ทัน แต่กลับตามความคิดของเผยเฉียนไม่ทันเลยจริงๆ
เผยเฉียนมีสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าสำนักเจียง วันหน้าหากมีคนที่ไม่เหมาะให้เจ้าลงมือก็มาบอกข้าสักคำ ข้าจะไปถามหมัดให้ แต่เจ้าต้องรับรองว่าจะไม่บอกกับอาจารย์พ่อของข้า รวมไปถึงหากอาจารย์พ่อของข้ารู้เรื่องภายหลังก็จะต้องไม่โกรธเกินไปนัก”
เจียงซ่างเจินยิ้มกว้างเจิดจ้า “ตกลงตามนี้!”
เผยเฉียนยิ้มตาหยี
เจียงซ่างเจินกระซิบถามเบาๆ อย่างลับๆ ล่อๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่าหลิวโยวโจวมีความคิดแบบนั้นกับเจ้าล่ะ?”
เผยเฉียนมีสีหน้ากังขา จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่จริงกระมัง ใครโง่ถึงขนาดเล่าลือกันไปอย่างส่งเดชเช่นนั้น ข้าเคยเจอหน้าเขาที่ศาลเหลยกงแค่ครั้งเดียว ไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ เอาเป็นว่ามองดูแล้วน่าจะเป็นคนทึ่มคนหนึ่ง”
เผยเฉียนรู้สึกจากใจจริงว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ จะมาชอบนางทำไม นางก็ไม่ได้สวยอะไรสักหน่อย
สำหรับสกุลหลิวของธวัลทวีป ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือมีเงิน ตอนที่เดินทางไปท่องเที่ยวราชวงศ์ต้าตวนเพียงลำพัง เผยเฉียนเคยได้สัมผัสเรื่องนี้กับตัวเองมาก่อนแล้ว ส่วนหลิวโยวโจวผู้นั้น ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีต่อเขาก็คือชุดคลุมเสื้อไผ่ที่เจ้าโง่นั่นสวมบนร่างเวลานั้น มองดูแล้วท่าจะมีมูลค่าอย่างมาก
บนม่านฟ้า คนชุดเขียวขี่กระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์
น่าเสียดายที่แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ไม่มีอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นนั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าอีกแล้ว
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างร่วงดิ่งลงสู่พื้นดิน กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักได้ด้วยตัวเอง
อยู่ห่างจากศาลของลำน้ำใหญ่มาอีกหลายสิบลี้ คนชุดเขียวพลันพลิ้วกายลงพื้น
บนถนนทางหลวงมีรถม้าสัญจรกันขวักไขว่
เฉินผิงอันเดินอยู่ริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่ ถอนเวทอำพรางตาออก หันหน้ามายิ้มเอ่ย “เสียมารยาทแล้ว อาจารย์สวี่”
ข้างกายมีบุรุษคนหนึ่งที่พาดกระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวางปรากฏตัว เขาพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ “ข้าก็ว่าใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้ ถึงขนาดกล้าทิ้งตัวดิ่งลงมาจากท้องฟ้า”
จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ เซียนกระบี่สวี่รั่ว
หม่าขู่เสวียนหยุดเดิน สิบนิ้วของสองมือสอดเข้าด้วยกันแล้วกดมือลงเบาๆ “ไปตีกันที่ไหน?”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันนี้ช่างเถิด วันหน้าจะไปที่ภูเขาเจินอู่หรือภูเขาลั่วพั่วก็แล้วแต่เจ้า”
หม่าขู่เสวียนยิ้มบางๆ “ไม่สู้เลือกที่นี่เลยดีไหม?”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพลันคลี่ยิ้ม สองมือสอดกันไว้ในชายแขเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “วันนี้ช่างเถิด”
ซ่งจี๋ซินเดินไปหาเฉินผิงอัน “เดินไปด้วยกันหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร สุดท้ายทั้งสองคนก็เดินไปที่หน้าประตูใหญ่ของศาลด้วยกัน เดินขึ้นบันได ก่อนจะข้ามธรณีประตู
คนที่กริ่งเกรงอย่างแท้จริงไม่ใช่หม่าขู่เสวียน แต่เป็นอวี๋สืออู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งดูไฟชายฝั่ง
หม่าขู่เสวียนกับอวี๋สืออู้หยุดอยู่นอกประตู ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากแบ่งแพ้ชนะ ดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ได้”
หม่าขู่เสวียนรู้นิสัยของอวี๋สืออู้ดี อีกฝ่ายไม่ได้พูดจากระทบกระเทียบหรือคิดจะกระพือไฟจริงๆ สหายครึ่งตัวคนนี้หากไม่พูดอะไรเลย ก็มักจะพูดความจริงเสมอ
ในอดีตตอนที่หม่าขู่เสวียนเพิ่งไปอยู่ภูเขาเจินอู่ คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือเจ้าอู๋สืออู้ที่ปากไม่มีหูรูดผู้นี้ เพียงแต่ว่าอยู่บนภูเขานานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าเกลียดอีกฝ่ายไม่ลง หากอิงตามลำดับศักดิ์ อวี๋สืออู้ที่อายุไม่มาก ยังถือเป็นบรรพจารย์ลุงของหม่าขู่เสวียนด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ก็คือ อู๋สืออู้ก็คืออาจารย์ลุงของเจ้าขุนเขาภูเขาเจินอู่ ส่วนเรื่องที่เขาอายุน้อยๆ แต่เหตุใดถึงมีลำดับศักดิ์เช่นนี้ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นลำดับศักดิ์ที่หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ การที่สวี่ป๋ายไปเยือนภูเขาเจินอู่ก็เพราะติดตามบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านที่มีแซ่เจียงและแซ่เว่ย ทยอยไปเยือนสำนักเบื้องล่างอย่างศาลลมหิมะแลภูเขาเจินอู่ ส่วนอวี๋สืออู้นั้น ยามที่เรียกบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็แค่ต้องเรียกว่าอาจารย์ลุง อาจารย์อาเท่านั้น
หลังจากสงครามใหญ่ที่หอบรวมสองใต้หล้าไว้ด้วยกันผ่านพ้นไป กระแสลมจึงถูกฝนพัดพาลอยไป คนที่ได้ปิดฉากลงมีมากมายนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีหินที่ผุดหลังน้ำลดบังเกิดขึ้นมาตามสถานการณ์ คนที่แย่งชิงขึ้นฝั่ง คนที่ลุกผงาดมีมากมาย แต่สุดท้ายแล้วใครกันที่จะเป็นคนที่ได้ยึดครองอันดับหนึ่งไปเพียงลำพัง หม่าขู่เสวียนยังไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าหมอนั่นเป็นครั้งที่สาม จะเป็นตนหรือเป็นเขา ก็บอกได้ยากแล้ว แต่หม่าขู่เสวียนมั่นใจได้ว่า ต้องไม่ใช่เซอเยว่ ฉุนชิงและสวี่ป๋ายแน่นอน ส่วนอวี๋สืออู่สหายครึ่งตัวที่อยู่ข้างกายนี้ ในฐานะผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง แต่กลับพึ่งพาโชคชะตาบู๊มากเกินไป อีกทั้งกระเพาะยังใหญ่เกินไป ก็ได้แต่อาศัยการรอคอยเท่านั้น ต่อให้เพื่อรับมือกับสงครามใหญ่ครั้งนั้นสำนักการทหารจะได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นโดยปริยาย ยอมแหกกฎมอบ ‘โชคชะตาบู๊’ สองส่วนให้กับอวี๋สืออู้ แต่กระนั้นก็ยังขาดอีกสองส่วนถึงจะรวบรวมได้ครบถ้วน ทุกวันนี้สงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ได้แต่เบิกตารอคอยไปเรื่อยๆ เท่านั้น
คาดว่าสิ่งเหล่านี้คงเป็นแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้น ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและบรรพจารย์สำนักการทหารสองท่านจึงได้แต่ฝืนใจยอมรับไว้เท่านั้น
หม่าขู่เสวียนกับอวี๋สืออู้เดินไปถึงริมน้ำของลำน้ำใหญ่ หม่าขู่เสวียนเคี้ยวต้นหญ้า สองมือสอดรองกันไว้ใต้ท้ายทอย
อวี๋สืออู้นั่งอยู่ด้านข้าง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองรากฐานของข้าออกแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เดินไปถึงยอดเขาสูงสุดของวิถีแห่งวรยุทธแล้ว”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ขอบเขตสิบเอ็ดเสียหน่อย”
อวี๋สืออู้เอ่ยโน้มน้าวว่า “หม่าขู่เสวียน เชื่อข้าเถอะ การต่อสู้ครั้งนี้ อย่าสู้เลย จริงๆ นะ”
หม่าขู่เสวียนทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ยกขาไขว่ห้าง กระตุกมุมปาก “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่ไปหาเขา เจ้าหมอนั่นก็จะไม่มาหาข้าแล้ว?”
อวี๋สืออู้ถามอย่างฉงน “เจ้าไม่เคยชอบเล่าเรื่องของบ้านเกิด เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องพวกนี้ หรือว่าเจ้ากับเฉินผิงอันผู้นั้นมีบุญคุณความแค้นเป็นเงื่อนตายที่ไม่อาจคลี่คลายได้จริงๆ?”
หม่าขู่เสวียนถ่มต้นหญ้าที่เคี้ยวละเอียดทิ้งออกจากปาก แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้ให้คำตอบ ปฏิทินเหลืองบางอย่าง เปิดข้ามไปไม่ได้ ต้องมีคนฉีกออกเท่านั้น
เดินไปถึงในศาลกันอย่างช้าๆ ซ่งจี๋ซินก็ยิ้มถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น เจ้าจะคืนให้ข้าเมื่อไหร่?”
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองต่างก็เชิญธูปกันออกมาคนละสามดอก ในศาลคนเบียดเสียดกันแออัด ทุกหนทุกแห่งล้วนน่าอึดอัดทั้งสิ้น
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้เอามาสักหน่อย”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!