ริมลำน้ำใหญ่ หม่าขู่เสวียนอยู่คนเดียวลำพัง เขายืดแขนบิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ จากนั้นก็สอดสิบนิ้วเข้าด้วยกัน รอคอยการถามหมัดที่อุตส่าห์อดทนรออย่างยากลำบากมานานหลายปี ช่างมาถึงช้ายิ่งนัก ทำให้เขาต้องรอนานเหลือเกิน
แต่วันนี้น่าจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นการถามกระบี่ได้แล้ว
อวี๋สืออู้สหายครึ่งตัวจากไปอย่างรู้กาลเทศะแล้ว อวี๋สืออู้ก็มีข้อนี้นี่แหละที่ดีที่สุด คำพูดดีๆ ที่ระคายหูเหล่านี้ ยินดีจะพูดครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่พูดมากนัก ไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
คนชุดเขียวที่หันหลังให้กับประตูใหญ่ของศาลลำน้ำเดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า มือกระบี่ที่เกิดมาก็ถนัดซ้ายห้อยกระบี่ไว้ทางฝั่งขวา นิ้วโป้งมือขวาดันด้ามกระบี่ ไม่รีบร้อนผลักกระบี่ออกจากฝัก
กระบี่ยาวเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เย่โหยว’ (เที่ยวเตร่ยามค่ำคืน/เดินทางยามค่ำคืน)
พกกระบี่เย่โหยว แสงกระบี่ที่ส่องออกมาด้านนอกสว่างจ้าราวกับแสงจันทร์ ท่ามกลางม่านราตรีของโลกมนุษย์ มือกระบี่ถือกระบี่ ประหนึ่งถือโคมถือเทียน
หม่าขู่เสวียนใช้เสียงในใจถามมาแต่ไกล “จะให้ข้าสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาหรือไม่? กฎเดิม วาดวงกลมวงหนึ่ง ใครพ้นออกนอกวงคนนั้นแพ้?”
เฉินผิงอันค้อมเอวลงเล็กน้อย มือซ้ายกำ ‘เย่โหยว’ ชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วพุ่งกระโจนไปข้างหน้า
เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง เฉินผิงอันหนึ่งคนหนึ่งกระบี่พาหม่าขู่เสวียนที่อยู่ริมลำน้ำใหญ่หายตัวไปจากฟ้าดินแห่งนี้ด้วยกัน
สองครั้งที่ได้ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียน แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเฉินผิงอันที่เงียบงันเป็นคนใบ้ หม่าขู่เสวียนเป็นคนที่ชอบพร่ำพูดไม่หยุด หลังจากวันนี้ไป นิสัยที่ไม่ค่อยดีนี้ เชื่อว่าหม่าขู่เสวียนต้องแก้ไขอย่างแน่นอน
นกในกรง หม่าขู่เสวียนเข้ามาในฟ้าดินที่ปราณกระบี่ตัดสลับถักทอ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เขาหรี่ตาลง เห็นเพียงว่าตรงม่านฟ้าพลันมีแสงจุดหนึ่งโผล่พรวดออกมา
ระหว่างแสงกระบี่หนึ่งจุดกับหม่าขู่เสวียนที่ยังคงหยุดนิ่งไม่ขยับนั้น ฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ก่อนจะค่อยๆ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทององค์แล้วองค์เล่าลุกขึ้นมายืนตระหง่าน กายธรรมร่างทองบางส่วนเป็นของแท้แน่นอน บางส่วนเป็นวัตถุในจินตนาการของหม่าขู่เสวียน สรุปแล้วมีมากถึงสิบสององค์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างสูงตระหง่านง้ำทั้งสิบสององค์หยุดลอยอยู่กลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าล้วนเหยียบอยู่บนดวงดาวเก่าแก่ซึ่งเป็นสิ่งที่หม่าขู่เสวียนจินตนาการออกมาเช่นกัน
ส่วนหม่าขู่เสวียนนั้นถูกย่อส่วนจนเหมือนเมล็ดงาหนึ่งเมล็ด ประหนึ่งจิตหยินเดินทางไกลของผู้ฝึกตนที่ออกมาท่องเที่ยวนอกฟ้า แล้วมองเห็นตะวันจันทราดารานั้นอยู่ไกลๆ
ท่ามกลางฟ้าดินเล็กของผู้อื่น เกิดเป็นฟ้าดินเล็กของตัวเอง
หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงมา แสงกระบี่ที่เดิมทีเป็นเส้นตรงทยอยกันเกิดการหักงอสิบเอ็ดครั้ง แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งกระบี่ที่ฟันเข้าใส่ร่างทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิบสองร่างที่บ้างจริงบ้างเท็จเหล่านั้น
หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด เรือนกายที่เล็กเท่าเมล็ดงาถึงกับกลายมาเป็นภาพมายาไปโดยตรง
ทว่าหลังจากที่ร่างของหม่าขู่เสวียนหายไป ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่นกในกรงกลับเริ่มขยายใหญ่ด้วยตัวเอง เพราะว่ามีซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่งผุดลอยขึ้นมา คือธารดวงดาวผืนใหญ่ที่หมุนเป็นน้ำวน
พอจะมองเห็นประตูสวรรค์สูงตระหง่านสี่บานที่ตั้งอยู่คนละด้านได้รำไร ถูกกลบทับถูกสาดสะท้อนอยู่ท่ามกลางความพร่างพราวของธารดวงดาว
ท่ามกลางน้ำวนธารดวงดาวนั้นมีเส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุด
สองด้านตะวันออกและตะวันตก ตะวันจันทราลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ลากดึงเอาเส้นทางเดินขึ้นสู่สวรรค์ที่เป็นแสงเจ็ดสีอยู่ในรูปลักษณ์เป็นเกลียวเหมือนก้นหอยขึ้นมา
ก่อนศึกใหญ่ที่หอบเอาสองใต้หล้าเข้ามารวมไว้ด้วยกัน หอบินทะยานสองแห่ง แห่งหนึ่งคือ ‘ซุ้มก้ามปู’ ที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพสมบูรณ์แบบ แห่งหนึ่งคือภูเขาทัวเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เส้นทางขาดสะบั้นไปนานแล้ว ดินแดนแห่งการบินทะยานก็คือ ‘สรวงสวรรค์’ ที่แม้แต่บรรพจารย์ของสามลัทธิก็ยังไม่อาจทำลายตราผนึกได้อย่างสิ้นเชิง เพราะ ‘ตราผนึกขุนเขาสายน้ำ’ ของที่นั่นคือดวงดาวที่มีจำนวนหลายพันหลายหมื่น ล้วนจำแลงมาจากโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จากนั้นก็เชื่อมโยงผูกพันเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่เป็น ‘ความจริงบางอย่าง’ ซึ่งจำแลงมาจากมหามรรคาเส้นหนึ่ง
หากจะพูดถึงเรื่องค่ายกล ซากปรักของสรวงสวรรค์แห่งนั้นก็ถือเป็นต้นกำเนิดของค่ายกลในหลายใต้หล้า
สงครามใหญ่ในปีนั้นเคยมีผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์กลุ่มใหญ่ที่เนื่องจากไม่อาจถอยออกจากซากปรักสนามรบได้ทันเวลา ร่างอยู่ข้างในนั้นเป็นเวลานาน นาทีใดนาทีหนึ่งเลือดเนื้อจึงถึงกับค่อยๆ ยุ่ยสลายกลายเป็นโครงกระดูกที่ตั้งวางอยู่ ก่อนจะสร้างเป็นร่างทองขึ้นมา สุดท้ายภายใต้การชักนำของค่ายกล อาศัยนิสัยแห่งเทพชนิดหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ของตัวเองมาทำการผสานมหามรรคาด้วยตัวเอง สลัดนิสัยของมนุษย์ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่เอี่ยมหลายองค์…จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกกักขังไว้ในศาลบรรพบุรุษใหญ่หรือไม่ก็สำนักแห่งต่างๆ ของสำนักการทหาร ส่วนหนึ่งถูกผู้ฝึกกระบี่ฆ่าตายคาที่ ต่อให้ร่างทองจะแหลกสลาย จิตวิญญาณปลิวกระจาย แต่กลับยังคงถูกกักอยู่ท่ามกลางซากปรักเป็นเวลานาน ผสานรวมเป็นหนึ่งกับค่ายกลใหญ่
เล่าลือกันว่าศาสดาพุทธคือคนสุดท้ายที่ถอยออกจากซากปรักแห่งนี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจคลายตราผนึกที่แท้จริงออกได้ เพราะต่อให้จะขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็ยังคงต่างราวฟ้ากับเหว ผลลัพธ์ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย สรวงสวรรค์ที่มองดูเหมือนกลายเป็นซากปรักหักพังล้วนจะกลับคืนมาเป็น ‘หนึ่ง’ นั้นดังเดิม หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์กลับคืนสู่ตำแหน่งของตัวเอง และได้รับการ ‘ชดเชยส่วนที่ขาด’ ก็อาจถึงขั้นกลับคืนสู่โฉมหน้าของตอนก่อนเกิดศึกใหญ่ได้เลย
ตอนนั้นคนที่คอยคุมหลังให้กับศาสดาพุทธได้แยกกันยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับประตูสสวรรค์สี่แห่งที่ปริแตก ค้ำยันฟ้าดิน ปรมาจารย์มหาปราชญ์ มรรคาจารย์เต๋า บรรพจารย์สำนักการทหาร เฉินชิงตู ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’
เรื่องราวปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางถูกบันทึกลงในหน้าตำราเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่อาเหลียงเล่าให้เฉินผิงอันฟังหลังจากที่หวนคืนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครานั้น
ส่วนเทวบุตรมารนอกโลกที่ป๋ายอวี้จิงคอยสยบกำราบ ผีวิญญาณที่ดินแดนพุทธสุขาวดีปราบปราม รวมไปถึงหลี่เซิ่งที่เฝ้าพิทักษ์นอกฟ้า ในระดับใหญ่แล้วก็ล้วนถือเป็นการป้องกันช่องโหว่ทุกอย่าง ป้องกันไม่ให้กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลฉวยโอกาสเสริมสร้างกองกำลังให้แข็งแกร่ง เผ่ามนุษย์ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเทวบุตรมารนอกโลกหรือภูตผี แม้กระทั่ง ‘คนใหม่’ บางคนของนอกฟ้า ขอแค่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์จับกุมแล้วโยนเข้ามาไว้ในซากปรัก ขอแค่ผสานมหามรรคาได้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกตนแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็จะได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำทันที ได้หวนกลับคืนมาบนโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง และการที่ในเวลาหมื่นปีของโลกยุคหลังหลายใต้หล้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงบางส่วนจุติกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง เดิมทีก็เป็นการ ‘ขวางทาง’ ของการช่วงชิงบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง ด้วยหวังให้เกิดหนึ่งในหมื่นนั้นขึ้นมา แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่ที่ลุกผงาดขึ้นมากลางซากปรักก็จะไม่สามารถยึดครองตำแหน่งเทพที่สำคัญบางตำแหน่งได้ โดยเฉพาะตำแหน่งเทพสูงสุดทั้งหลาย
ส่วนหลี่เซิ่งและอริยะปราชญ์ศาลบุ๋น รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานจำนวนเพียงหยิบมือ บวกกับบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักที่ได้ ‘ผสานมรรคากับมรรคาของตัวเอง’ เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่หลี่เซิ่ง ‘เปิดประตู’ ก็ต้องใช้การแสดงออกของมหามรรคาแต่ละรูปแบบ ถึงจะสามารถสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่เหล่านั้นได้ นั่นคือการช่วงชิงบนมหามรรคาทั้งใหม่และเก่าที่ทำให้มหามรรคาของแต่ละฝ่ายถูกพร่าผลาญให้ค่อยๆ หมดสิ้นไป นี่ก็คือต้นตอของสาเหตุที่ว่าทำไมบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักแทบทุกคนล้วนใช้ความรู้ในการพิสูจน์มรรคา แต่กลับมีน้อยครั้งนักที่จะเผยโฉมปรากฎกายอยู่ในใต้หล้าไพศาล เพราะพวกเขาที่ ‘พอกินอิ่ม’ อยู่ในไพศาลก็จำเป็นต้อง ‘ปฏิบัติตามกฎประเพณี’ ด้วยการไปยังนอกฟ้า
ดังนั้นในอดีตตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียงก็ดี ศิษย์พี่จั่วโย่วก็ช่าง ต่างก็เคารพนอบน้อมต่อหลี่เซิ่งอย่างมาก
อาเหลียงยิ่งเคยบอกว่า ใต้หล้านี้มีคนสี่คนที่ไม่ว่าไปเยือนที่ไหนก็ล้วนได้กินดีอยู่ดี อีกทั้งทุกคนล้วนเคารพนับถือพวกเขาจากใจจริง
ท่านหนึ่งคือหลี่เซิ่งที่ใช้เหตุผลมากที่สุดในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ขณะเดียวกันก็ต่อสู้เก่งที่สุดด้วย กฎเกณฑ์หนัก เหตุผลหนักจะหล่นลงบนร่างของยอดฝีมือบนยอดเขาทุกคนเท่านั้น ส่วนที่หล่นลงบนบ่าของมนุษย์ธรรมดากลับเบายิ่ง
อีกทั้งใครที่ไม่ยินยอม หลี่เซิ่งที่น้อยครั้งนักจะปรากฏตัวในศาลบุ๋นก็จะเดินทางกลับจากนอกฟ้ามายังไพศาล เพื่อไปอธิบายเหตุผลกับศาลบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักบางแห่งด้วยตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!