หลิวจวี้เป่ากลับบอกว่าไม่มี
ตอนนี้สามอาจารย์และศิษย์ต่างก็ถือว่าศาลเหลยกงเป็นบ้านตัวเองครึ่งหนึ่งแล้ว
เพ่ยอาเซียงเองก็ไม่ถือสา ไม่เฉยชา แต่ก็ไม่ถึงกับเอะอะโวยวาย อันที่จริงยังนับว่าไม่เลว
ก็แค่คำพูดบางอย่างของเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นที่ทำให้คนทนรับไม่ไหว อะไรที่บอกว่าเจ้าเพ่ยอาเซียงหน้าตางดงามขนาดนี้ ไม่หาบุรุษสักคนก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
วันนี้เซี่ยซงฮวาขี่กระบี่มาพลิ้วกายลงนอกประตูใหญ่ของศาลเหลยกง ลูกศิษย์สองคนนั่งอยู่ตรงขั้นบันได ยืดคอมองอยู่
พอเพ่ยอาเซียงได้พบเซี่ยซงฮวาก็รีบลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในศาลทันที
เซี่ยซงฮวาพลิ้วกายลงมาแล้วก็เอ่ยหยอกเย้าว่า “อยากให้อาจารย์หาอาจารย์แม่ให้พวกเจ้าไหม?”
เฉามู่พูดด้วยท่าทางกระจ่างแจ้ง “ที่แท้อาจารย์ไม่ใช่สตรีหรือ?”
จวี่สิงทำหน้าระอาใจ “ที่แท้เจ้าก็คือเจ้าโง่หรือ?”
เซี่ยซงฮวาไม่พูดเล่นอีกต่อไป ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์จะพาพวกเจ้าไปเยือนแจกันสมบัติทวีป”
ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ภูเขาชิงเสิน
ฉุนชิงฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว สองมือเท้าคาง
สตรีผู้หนึ่งที่เส้นผมเป็นสีเขียวเข้ม เปลือยเท้าเดินตรงมา
นางมองลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่กำลังใจลอยแล้วคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ
นางในอดีตก็เคยเบื่อหน่ายเช่นนี้ ฟุบตัวเหม่อลอยอยู่บนราวระเบียงไผ่เขียว ทว่าจู่ๆ ก็มีคนหน้าไม่อายที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าคนหนึ่งโผล่พรวดออกมา เอาหัววางพาดไว้บนราวระเบียง จากนั้นเบี่ยงหน้าหันข้าง หรี่ตาลง ทำสีหน้าเคร่งขรึม ตามองมาไม่กะพริบ แค่เปิดปากพูดก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนเอาจริงเอาจัง ‘พี่สาวท่านนี้ ระวังว่าจะกดทับให้รั้วพังลงมานะ แต่ก็ไม่เป็นไร หากทางฝั่งของภูเขาชิงเสินมีคนมาขอให้เจ้าชดใช้เงิน แค่บอกชื่อของข้าไปก็พอ จำไว้นะ ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม!’
รอกระทั่งนางลุกขึ้นยืน เขาก็ลุกขึ้นด้วย เอนตัวพิงราวรั้ว คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า ‘เจ้าคงจะไม่ใช่ฮูหยินภูเขาชิงเสินผู้นั้นหรอกกระมัง ไม่อย่างนั้นพี่สาวหน้าตางดงามปานนี้ หากข้าเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาท่านนั้นจะต้องอิจฉาจนหัวใจคันคะเยอแน่นอน จะไม่ยอมให้เจ้าเป็นเพื่อนบ้านเด็ดขาด ทุกคืนกลางดึกจะไปนั่งยองอยู่บนหัวเตียงของเจ้า เอาแผ่นไม้ไผ่มาข่วนหน้าเจ้าให้เป็นรอย ก็ไม่ได้จะข่วนจริงๆ หรอก เพราะถึงอย่างไรต่อให้เป็นสตรี เห็นเจ้าแล้วก็ล้วนต้องชอบเหมือนกัน…ข้ารู้สึกว่าเกินครึ่งเจ้าคงไม่ใช่เหนียงเนียงเทพภูเขาท่านนั้น รู้เหตุผลหรือไม่? ฮ่าๆ ง่ายมากเลยล่ะ อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนางนั้น หึหึ เจ้าเข้าใจ’
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยกสองมือขึ้นมา เล่นหูเล่นตา เอานิ้วโป้งชนกัน ‘แบบนี้ สนิทสนมกันมานานแล้ว’
ตอนนั้นนางถามเขา ‘เจ้ารนหาที่ตายหรือ?’
ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อีกทั้งนางยังนั่งพิทักษ์ภูเขา ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แห่งหนึ่งมีต้นไผ่เขียวนับพันนับหมื่นต้น ล้วนสามารถจำแลงเป็นกระบี่บิน ดังนั้นนางจึงเท่ากับว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัว
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงกับทำสีหน้าขัดเขินเอียงอาย ชำเลืองตามองห้องที่อยู่ด้านข้างระเบียงแวบหนึ่ง ราวกับไม่กล้ามองนางตรงๆ เขาก้มหน้าลงน้อย กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
สุดท้ายตอนที่คนผู้นั้นทะยานลมหลบหนีไป ได้เอามือกุมก้นไปด้วย
ฉุนชิงคืนสติ เงยหน้าถาม “อาจารย์ อาเหลียงผู้นั้น ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ไปดินแดนพุทธะสุขาวดีแล้วล่ะ?”
นางยิ้มบางๆ “เป็นภิกษุสิถึงจะดี”
อุตรกุรุทวีป
จวนไช่เฉวี่ย ร้านน้ำชาตรงตีนเขา
ฝั่งตรงข้ามกับอู่ฉวินบรรพจารย์หญิงผู้คุมกฎ คือบุรุษชุดขาวที่รูปโฉมหล่อเหลา ท่วงท่าของเขาเกียจคร้าน นั่งไม่มีท่าทีเหมือนคนนั่ง แทบจะนอนฟุบไปบนโต๊ะอยู่แล้ว
อู่ฉวินเอ่ยอย่างระอาใจว่า “อวี๋หมี่ เจ้าช่วยทำตัวให้สำรวมหน่อยได้ไหม?”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ชื่อว่าอวี๋หมี่ผู้นี้รับหน้าที่เป็นเค่อชิงแขวนชื่อของจวนไฉ่เชวี่ยมานานหลายปีแล้วเขาอ้าปากหาว เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “น้องหญิงอู่ฉวิน อะไรกัน ข้าไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม้แต่จะเหลือบตามองสักครั้งก็ยังไม่ทำ แค่เดินเล่นบนภูเขาก็ทำไม่ได้งั้นหรือ”
อู่ฉวินยื่นชาแก้วหนึ่งส่งให้เขา ส่วนตัวเองยกชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาแล้วก็วางลงไปอีก ยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เจ้าก่อปัญหาต่างหาก หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ชื่อเสียงของจวนไฉ่เชวี่ยพวกเราคงถูกทำลายจนสิ้นแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ไปหาเรื่องพวกนาง แต่แม่นางน้อยที่สัมผัสกับโลกได้ไม่ลึกซึ้งพวกนั้น จิตใจที่รักความสวยความงามล้วนมีกันทุกคน อีกทั้งเจ้าเองก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง…”
พูดมาถึงตรงนี้ คงเป็นเพราะอู่ฉวินเองก็รู้สึกว่าจะโทษอวี๋หมี่ที่มาจากภูเขาลั่วพั่วผู้นี้ไม่ได้ เจ้าหมอนี่หน้าตาดีเกินไปจริงๆ ต่อให้ไม่ไปหาเรื่องใคร แต่เพียงแค่มายืนริมหน้าผามองไปยังทิศไกลยามอยู่ว่างๆ หรือแค่มาชมทัศนียภาพยามหิมะตก คนชุดขาวถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว หรือไม่ในค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำก็ถือร่มเดินเนิบช้า หยิบกิ่งท้อขึ้นมาถือไว้ในมือ…อวี๋หมี่ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ ต่อให้ไม่พูดแม่งก็เหมือนกำลังพูด ประเด็นสำคัญยังเป็นการพูดประเภทที่ว่าไร้เสียงเหนือกว่ามีเสียง…
อวี๋หมี่ยิ่งน้อยใจมากกว่าเดิม ฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะ ใช้นิ้วขยับถ้วยชา “ต่างก็พูดกันว่าอุตรกุรุทวีปของพวกเจ้ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เซียนกระบี่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เดินไปไหนก็พบเจอ ข้าถึงได้กล้าใช้ชื่อของผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หากรู้อย่างนี้แต่แรกก็คงไม่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วน คงยอมเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรแต่โดยดีแล้ว”
พออวี๋หมี่มาถึงจวนไช่เฉวี่ยก็ยังไม่เคยลงมือ
ดังนั้นจนถึงตอนนี้อู่ฉวินจึงยังไม่อาจแน่ใจในขอบเขตที่แท้จริงของอวี๋หมี่ได้ แต่นางก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทรอะไร มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง
และอวี๋หมี่ก็ดูเหมือนว่าจะสนใจจ้าวหลวนมากเป็นพิเศษ แต่กลับไม่ใช่ความรู้สึกของชายหญิง กลับกลายเป็นว่าเหมือนผู้อาวุโสคนหนึ่งที่คอยปกป้องมรรคาให้กับผู้เยาว์มากกว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าจวนอย่างหลิ่วกุ้ยเป่าจึงคล้ายว่าจะผิดปกติไปจากเดิม เดิมทีหลิ่วกุ้ยเป่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับจ้าวหลวน ตอนนี้จึงค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนนิดๆ แล้ว
หลิ่วกุ้ยเป่าเดินลงจากภูเขามาที่ร้านน้ำชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม วางจดหมายลับฉบับหนึ่งไว้บนโต๊ะ
หมี่อวี้ดวงตาเป็นประกายวาบ พนมสิบนิ้วท่องพึมพำ จากนั้นถึงได้แกะจดหมายลับฉบับนั้นออก แล้วก็เกือบจะน้ำตาเอ่อคลอ พอทนไม่ไหวก็หันหน้าไปเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเป่าอย่างซาบซึ้งใจ “แม่นางหลิ่ว พระคุณยิ่งใหญ่มิอาจตอบแทนได้ วันหน้าใครกล้ารังแกเจ้า นอกจากเจ้าจวนซุน นอกจากพี่หญิงอู่ฉวิน นอกจากเซียนดินทุกคนของอุตรกุรุทวีปแล้ว เจ้าก็สามารถบอกข้าอย่างตรงไปตรงมาได้เลย ข้ารับรองว่าต้องเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่…”
หลิ่วกุ้ยเป่าเพียงแค่จ้องเขาเขม็ง
คนที่น่าโดนอัดที่สุดไม่ใช่ตัวเจ้าเองหรอกหรือ?
หมี่อวี้รู้คำตอบจากในสายตาของแม่นางคนนี้ แต่กลับยังแสร้งทำเป็นโง่งม เพียงแค่ไม่เอ่ยอะไรอีก หมี่อวี้เก็บจดหมายลับที่ได้มาจากภูเขาพีอวิ๋นฉบับนั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ในที่สุดก็สามารถกลับไปได้แล้ว
จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกกระบี่สามคนขี่กระบี่มา อู่ฉวินและหลิ่วกุ้ยเป่ารีบลุกขึ้นทันใด
ไม่นึกว่าจะเป็นเซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบไฉ่ผิง เจ้าสำนักลี่ไฉ่
ข้างกายมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดติดตามมาด้วยสองคน คือเฉินหลี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยอย่างมาก รวมไปถึงเกาโย่วชิงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่ก็ได้แต่ถือว่าอายุน้อยด้วยเช่นกัน
เฉินหลี่ยิ้มตาหยี ใช้เสียงในใจหัวเราะเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่หรอกหรือ มาดเหนือกว่าในอดีตแล้วนะ เกือบจะทำให้ตาสุนัขของข้าบอดเสียแล้ว”
ฟังเข้าสิ คุ้นเคยแค่ไหน ไม่เสียแรงที่เป็นอิ่นกวานน้อยแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เจ้าถึงกับไม่อาจด่ากลับได้
หมี่อวี้ชอบเรื่องพวกนี้จริงๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว
ลี่ไฉ่ทักทายผู้ฝึกตนหญิงสองคนของจวนไช่เฉวี่ย พูดคุยตามมารยาทเสร็จแล้วก็ใช้เสียงในใจพูดกับหมี่อวี้ว่า “ข้าไม่ไปแจกันสมบัติทวีป ต้องรบกวนเซียนกระบี่หมี่คุ้มครองพวกเขาสองคนไปที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
หมี่อวี้กล่าว “ข้าต้องไปที่นครเหนือเมฆก่อนสักรอบ ไปพาจ้าวซู่เซี่ยมาด้วยกัน”
ลี่ไฉ่โบกมือ “ต่อให้เจ้าพาผู้ฝึกตนหญิงทุกคนของจวนไช่เฉวี่ยไปด้วย ข้าก็ไม่สนใจ แต่บอกไว้ก่อนว่าหากกล้าเกี้ยวพาโย่วชิง ข้าจะฟันเจ้าให้ตาย ต่อให้เจ้าไม่เกี้ยวพานาง ขอแค่โย่วชิงเกิดความคิดบางอย่างต่อเจ้า ข้าก็จะยังฟันเจ้าให้ตายอยู่ดี”
หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ลี่อาจจะไม่รู้ แม่นางบางคน แค่ข้ามองสายตาของพวกนาง ข้าก็รู้แล้วว่าพวกนางมีคนในใจแล้วหรือไม่”
ลี่ไฉ่จุ๊ปากเอ่ย “ท่าทางแสร้งทำเป็นพูดจาจริงจังอย่างหน้าไม่อายของเจ้านี้คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเจ้าหรือ?”
หมี่อวี้ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “จะไม่ไปพบผู้ถวายงานโจวคนนั้นสักหน่อยหรือ?”
ลี่ไฉ่สบถด่า “เจ้าตะพาบใจดำ เขาต้องไสหัวมาพบข้าถึงจะถูก!”
หมี่อวี้พยักหน้ารับอย่างแรง “มีเหตุผล!”
แจกันสมบัติทวีป
ปั้งเหยี่ยนคนใหม่แห่งราชวงศ์ต้าหลี ผู้แต่งตำราสำนักฮั่นหลินแซ่เฉาคนหนึ่งลาป่วยกะทันหัน แล้วออกจากเมืองหลวงมาอย่างเงียบเชียบ นั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งจากท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว
นอกจากนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลภูเขาลั่วพั่วทุกคน ผู้ถวายงาน เค่อชิง รวมไปถึงผู้มาร่วมงานพิธีที่มีความสัมพันธ์อันดีกับยอดเขาลั่วพั่ว ต่างก็เริ่มพากันออกเดินทาง
บนเรือข้ามฟากเมฆา เจียงซ่างเจินนั่งอยู่บนราวรั้ว ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะได้ต่อสู้ติดต่อกันสองครั้ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!