กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 764

นอกจากกริ่งเกรงว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงมาเป็นแขกที่บ้านบ่อยๆ แล้ว การที่เหวยเว่ยยินดี ‘ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง’ เช่นนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะมีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย อีกทั้งความเสี่ยงยังน้อยมาก เหวยเว่ยรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การทำตามคำกล่าวของเขาก็มีหวังว่าจะได้รับการประกันผลเก็บเกี่ยวไม่ว่าจะหน้าแล้งหรือหน้าน้ำหลาก และสักวันหนึ่งเมื่อดูแลภูเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งได้เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถนอนเสวยสุขได้เลย เป็นเทพภูเขา คิดบุกเบิกจวน จากนั้นค่อยคิดจะเป็นเทพภูเขาของภูเขาทายาทแห่งซานจวินห้าขุนเขา ชีวิตก็จะมีความหวังแล้ว…

ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันเพียงแค่พูดถึงคุณธรรมน้ำใจหรือคุณูปการอะไร อย่างมากนางเหวยเว่ยก็แค่กินอยู่ใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ เท่านั้น ครั้งหน้าที่พบเจอกับเขาอีกครั้ง นางก็จะนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น เฉินผิงอันคงไม่ถึงกับเอากระบี่บินตัดหัวนางจริงๆ หรอกกระมัง?

แต่เหวยเว่ยก็จำต้องยอมรับว่า กลัวเขาเฉินผิงอัน นั่นก็คือกลัวจริงๆ

หลายปีมานี้ ส่วนลึกในจิตใจของนางจะคิดถึงคนหนุ่มผู้นั้นว่าหากตายไปแล้วก็ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเขากลับมาข่มขู่ตัวเองได้อีก เพียงแต่ว่าพอเขาคิดอีกที ก็รู้สึกอีกว่าหากคนหนุ่มผู้นั้นตายไปจริงๆ ดูเหมือนว่าจะน่าเสียดายอยู่สักหน่อย

สาวใช้เรือนร่างอวบอิ่มทำท่าหมายมั่นปั้นมือ เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เหนียงเนียงเทพวารี ดูเหมือนเซียนกระบี่เฉินจะบอกว่าพวกเราสามารถไปเข้าฝันเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ผ่านทางมาคนนั้นได้ก่อน”

เหวยเว่ยหันหน้ามากล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ยังจะเป็นเทพหญิงแห่งศาลเทพภูเขา? ล้วนถูกเจ้าทำให้ขายหน้าหมดแล้ว เวลาเดิน คนอื่นเขาใช้มือผลัก แต่เจ้ากลับดีนัก ใช้ก้นใหญ่ๆ กระแทก เจ้ารู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นเห็นเจ้าแล้วจะคิดว่าเจ้าเป็นอะไร? หากโชคดีก็คงคิดว่าเจ้าเป็นภูตจิ้งจอกตามป่าเขา หากโชคไม่ดี บัณฑิตเดินละเมอมาถึงศาล เขายังจะคิดว่าตัวเองไปเที่ยวสถานที่อย่างว่า ไม่แน่ว่าความคิดแรกของเขาก็คือ ต้องรีบก้มหน้าลงมองเงินในกระเป๋าเงินทันทีว่ามีพอหรือไม่”

เหวยเว่ยชี้ไปที่สตรีร่างสูงโปร่ง “เอาเป็นเจ้าแล้วกัน พวกเราสามคน เจ้าเคยอ่านตำรามาหลายเล่ม สามารถพูดคุยกับบัณฑิตได้มากหน่อยพอดี…”

สาวใช้คนนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ให้ตายก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ได้แต่ท่องประโยคว่าสั่งสอนด้วยความจริงใจ ใช้คำว่าจุนจุนอยู่ในใจตัวเองเงียบๆ หลายรอบ

เหวยเว่ยพลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คลี่ยิ้มราวบุปผา ร้องโอ้โหหนึ่งที “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าซ่งมาแล้วหรือ”

ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้ามาทางศาลเทพภูเขา “คุยเรื่องของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าก็แค่กลับมาท่องเที่ยวสถานที่เดิม แค่มาเดินเล่นเท่านั้น วันนี้คงไม่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองแล้ว”

เหวยเว่ยพูดบ่น “พอหมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งย้ายไปก็ทำเอาโชคชะตาบู๊ของขุนเขาสายน้ำในบริเวณใกล้เคียงหายไปด้วย ไม่เพียงแต่ศาลเทพภูเขาเล็กๆ ของข้าที่เจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย เหล่านายท่านเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายที่เคยชินกับการใช้ชีวิตมือเติบใจกว้างก็ล้วนเริ่มกลายมาเป็นคนขี้เหนียว เปลี่ยนมาเป็นประหยัดมัธยัสถ์กันยิ่งนัก”

ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองกรอบป้ายของศาลแวบหนึ่ง สายตาเคลื่อนลงต่ำ มองไปยังเทวรูปร่างทองทั้งสามองค์ที่อยู่ในศาล ยิ้มเอ่ยว่า “จ่ายเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว”

เหวยเว่ยยื่นมือมาปิดปากหัวเราะคิกคัก “ชีวิตที่ยากลำบากพอจะผ่านพ้นมาได้แล้ว ยังดีที่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอะไร ทรัพย์สมบัติจึงยังพอมีเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย”

ซ่งอวี่เซานั่งอยู่บนม้านั่งหินเขียวตัวยาว เอ่ยสัพยอกว่า “เป็นเพราะตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่า หนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเป็นได้ค่อนข้างยาก อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกเทพภูเขาเถื่อนลักพาตัวไปเป็นฮูหยินในหมู่บ้านโจรแล้ว คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้กลายมาเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาแล้ว แต่อันที่จริงกลับเป็นได้ยากยิ่งกว่าเสียอีก?”

เหวยเว่ยส่ายหน้าเบาๆ “เป็นง่ายจะตายไป”

ซ่งอวี่เซาหลุดหัวเราะพรืด คนแก่ก็คือยุทธภพเก่าแก่ หากคิดจะมองความมากน้อยของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งพื้นที่ออกคร่าวๆ อย่างคลุมเครือ ก็ยังพอจะทำได้อยู่บ้าง ศาลเทพภูเขาแห่งนี้ประคับประคองตัวได้ไม่ถึงร้อยปีก็จะต้องหิวโหยจนร่างทองของเหนียงเนียงเทพภูเขาไม่อาจทนรับการกัดเซาะจากลมและฝนได้แล้ว

เหวยเว่ยเอาสองมือไพล่หลัง เดินลงขั้นบันไดมาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าจงใจเก็บงำประกายเอาไว้ คร้านจะขยับหัวสมองก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าจะพูดถึงแผนการของตัวเองให้ท่านฟังดีหรือไม่?”

ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ “ยินดีจะรับฟังรายละเอียด”

หลังจากฟังแผนการของเหวยเว่ยจบ แรกเริ่มผู้เฒ่าฟังอย่างไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางลัดในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำที่เดินบนทางเสี่ยงเกินไป หาใช่วิถีแห่งความยืนยาว เพียงแต่ว่าเมื่อเหวยเว่ยโพล่งคำว่า ‘แก่นแท้สะอาดบริสุทธิ์’ ที่ฟังสุภาพไพเราะออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ความจริงใจของมนุษย์’ ผู้เฒ่าก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่อาจโต้ตอบกลับได้เลย ซ่งอวี่เซามองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมผู้นี้แล้วอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างคลางแคลงว่า “เหวยเว่ย ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนว่าเจ้ามีสมองขึ้นมาล่ะ?”

เหวยเว่ยเชิดหน้า หัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะเช็ดมุมปากแล้วโบกมือ “แค่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่ข้ายังแสดงฝีมือแค่สามสี่ส่วนเท่านั้นนะ”

ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “เป็นแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด วันหน้าข้าคงไม่มาเตร็ดเตร่แถวนี้แล้ว”

ตอนอายุน้อยรู้สึกว่าก็แค่ระยะทางขุนเขาสายน้ำไม่กี่ก้าว พอคนแก่ตัวขึ้น กลับไกลเสียแล้ว

เหวยเว่ยมองผู้เฒ่าผมขาวหลังค่อมแล้วถอนหายใจ หุบรอยยิ้ม พูดไปตามสัตย์จริงว่า “บอกตามตรง วิธีนี้เป็นเฉินผิงอันที่สอนข้า ข้าหรือจะคิดเรื่องพวกนี้ได้”

ซ่งอวี่เซาอืมรับหนึ่งที พยักหน้าพูดน้ำเสียงเฉยเมยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว”

ผู้เฒ่าหมุนตัวจากไป

สาวใช้ร่างสูงโปร่งมาหยุดอยู่ข้างกายเหนียงเนียงเทพภูเขา ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่งคาดการณ์ได้แม่นยำดุจเทพจริงๆ เจ้าค่ะ”

เหวยเว่ยด่าขำๆ “เขาเดากะผายลมอะไรล่ะ เจ้าไม่เห็นหรือว่าซ่งอวี่เซาขึ้นเขามาอย่างเอ้อระเหย แต่กลับวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไปน่ะ?”

ผู้เฒ่าไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ศาลเทพภูเขาบ้านของตน แต่กลับไปยังเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านในอดีต ไปเยือนเหลาสุราแห่งนั้น ผู้เฒ่านั่งอยู่ในตำแหน่งเก่า

เถ้าแก่เปลี่ยนคนแล้ว แล้วก็เปลี่ยนคนอีก เป็นคนรุ่นหลานที่ดูแลกิจการ อันที่จริงวัตถุดิบในการทำหม้อไฟมีการแอบลดคุณภาพ ไม่ต้องเปิดหม้อจ้วงตะเกียบ ซ่งอวี่เซาก็รู้ได้ว่าไม่มีรสชาติอย่างในปีนั้นอีกแล้ว เพียงแต่ซ่งอวี่เซาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้พูดอยู่แล้ว กลับกลายเป็นหวังว่าร้านอาหารที่รสชาติของหม้อไฟไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมอีกต่อไปแห่งนี้ วันหน้ากิจการจะสามารถดียิ่งกว่านี้ ไม่แน่ว่ารอให้วันใดได้เงินมามากพอก็อาจจะกลับมาพิถีพิถันได้อีกครั้ง

เถ้าแก่หนุ่มคนนั้น ต่อให้จะจำได้อริยะกระบี่ผู้อาวุโสแห่งแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับท่านปู่ของตัวเองอย่างซ่งอวี่เซาได้ แต่ว่าพอเอาวัตถุดิบหม้อไฟโต๊ะใหญ่ขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะด้วยตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็อดรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะไม่ได้ จึงไม่กล้าจะตีสนิทกับผู้เฒ่า พูดจาตามมารยาทอยู่สองสามคำ เพียงไม่นานก็จากไปแล้ว

ซ่งอวี่เซาไม่ได้สั่งถ้วยและตะเกียบสองชุด แต่สั่งจอกเหล้ามาสองใบ วางจอกเหล้าใบหนึ่งไว้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ไม่ได้รินเหล้า ผู้เฒ่าเพียงจิบเหล้าหนึ่งอึก ด่าอยู่สองสามคำ เจ้าเด็กตัวเหม็นถึงกับกล้าหลบเลี่ยงตน ไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนือของเจ้าเลยไป ขอให้เจ้าน้ำลายสอจนตาย

เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไปได้สองสามจอก ผู้เฒ่าก็ยังอดไม่ไหวลุกขึ้น เดินไปรินเหล้าใส่จอกนั้นจนเต็ม พอกลับมานั่งที่เดิมก็พึมพำหนึ่งประโยค ฟังไม่ชัดเจน แล้วก็ไม่รู้ว่าด่าคนหรือว่าพูดอะไร

ซ่งอวี่เซาพลันหันหน้ากลับไป ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนมาได้อย่างไร?”

คือซ่งเฟิ่งซานผู้เป็นหลานชายและหลิ่วเชี่ยนภรรยาของหลานชาย

คนทั้งสองนั่งลง ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “เป็นเหวยเว่ยที่ส่งข่าวไปแจ้ง พอได้รับข่าวแล้ว ระหว่างที่มาหลิ่วเชี่ยนก็เดิมพันกับข้า บอกว่าท่านปู่จะต้องมาที่นี่ก่อนแน่นอน ข้าไม่เชื่อ ดังนั้นจะดื่มลงโทษตัวเองสามจอก”

ซ่งอวี่เซาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากดื่มเหล้าก็บอกมาตรงๆ เถอะ”

ซ่งเฟิ่งซานดื่มเหล้า หลิ่วเชี่ยนจุ่มเนื้อในหม้อไฟ เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!