สรุปเนื้อหา บทที่ 764.5 บนยอดเขาจี้เซ่อ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 764.5 บนยอดเขาจี้เซ่อ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
นอกจากกริ่งเกรงว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงมาเป็นแขกที่บ้านบ่อยๆ แล้ว การที่เหวยเว่ยยินดี ‘ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง’ เช่นนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะมีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย อีกทั้งความเสี่ยงยังน้อยมาก เหวยเว่ยรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การทำตามคำกล่าวของเขาก็มีหวังว่าจะได้รับการประกันผลเก็บเกี่ยวไม่ว่าจะหน้าแล้งหรือหน้าน้ำหลาก และสักวันหนึ่งเมื่อดูแลภูเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งได้เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถนอนเสวยสุขได้เลย เป็นเทพภูเขา คิดบุกเบิกจวน จากนั้นค่อยคิดจะเป็นเทพภูเขาของภูเขาทายาทแห่งซานจวินห้าขุนเขา ชีวิตก็จะมีความหวังแล้ว…
ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันเพียงแค่พูดถึงคุณธรรมน้ำใจหรือคุณูปการอะไร อย่างมากนางเหวยเว่ยก็แค่กินอยู่ใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ เท่านั้น ครั้งหน้าที่พบเจอกับเขาอีกครั้ง นางก็จะนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น เฉินผิงอันคงไม่ถึงกับเอากระบี่บินตัดหัวนางจริงๆ หรอกกระมัง?
แต่เหวยเว่ยก็จำต้องยอมรับว่า กลัวเขาเฉินผิงอัน นั่นก็คือกลัวจริงๆ
หลายปีมานี้ ส่วนลึกในจิตใจของนางจะคิดถึงคนหนุ่มผู้นั้นว่าหากตายไปแล้วก็ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเขากลับมาข่มขู่ตัวเองได้อีก เพียงแต่ว่าพอเขาคิดอีกที ก็รู้สึกอีกว่าหากคนหนุ่มผู้นั้นตายไปจริงๆ ดูเหมือนว่าจะน่าเสียดายอยู่สักหน่อย
สาวใช้เรือนร่างอวบอิ่มทำท่าหมายมั่นปั้นมือ เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เหนียงเนียงเทพวารี ดูเหมือนเซียนกระบี่เฉินจะบอกว่าพวกเราสามารถไปเข้าฝันเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ผ่านทางมาคนนั้นได้ก่อน”
เหวยเว่ยหันหน้ามากล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ยังจะเป็นเทพหญิงแห่งศาลเทพภูเขา? ล้วนถูกเจ้าทำให้ขายหน้าหมดแล้ว เวลาเดิน คนอื่นเขาใช้มือผลัก แต่เจ้ากลับดีนัก ใช้ก้นใหญ่ๆ กระแทก เจ้ารู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นเห็นเจ้าแล้วจะคิดว่าเจ้าเป็นอะไร? หากโชคดีก็คงคิดว่าเจ้าเป็นภูตจิ้งจอกตามป่าเขา หากโชคไม่ดี บัณฑิตเดินละเมอมาถึงศาล เขายังจะคิดว่าตัวเองไปเที่ยวสถานที่อย่างว่า ไม่แน่ว่าความคิดแรกของเขาก็คือ ต้องรีบก้มหน้าลงมองเงินในกระเป๋าเงินทันทีว่ามีพอหรือไม่”
เหวยเว่ยชี้ไปที่สตรีร่างสูงโปร่ง “เอาเป็นเจ้าแล้วกัน พวกเราสามคน เจ้าเคยอ่านตำรามาหลายเล่ม สามารถพูดคุยกับบัณฑิตได้มากหน่อยพอดี…”
สาวใช้คนนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ให้ตายก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ได้แต่ท่องประโยคว่าสั่งสอนด้วยความจริงใจ ใช้คำว่าจุนจุนอยู่ในใจตัวเองเงียบๆ หลายรอบ
เหวยเว่ยพลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คลี่ยิ้มราวบุปผา ร้องโอ้โหหนึ่งที “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าซ่งมาแล้วหรือ”
ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้ามาทางศาลเทพภูเขา “คุยเรื่องของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าก็แค่กลับมาท่องเที่ยวสถานที่เดิม แค่มาเดินเล่นเท่านั้น วันนี้คงไม่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองแล้ว”
เหวยเว่ยพูดบ่น “พอหมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งย้ายไปก็ทำเอาโชคชะตาบู๊ของขุนเขาสายน้ำในบริเวณใกล้เคียงหายไปด้วย ไม่เพียงแต่ศาลเทพภูเขาเล็กๆ ของข้าที่เจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย เหล่านายท่านเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายที่เคยชินกับการใช้ชีวิตมือเติบใจกว้างก็ล้วนเริ่มกลายมาเป็นคนขี้เหนียว เปลี่ยนมาเป็นประหยัดมัธยัสถ์กันยิ่งนัก”
ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองกรอบป้ายของศาลแวบหนึ่ง สายตาเคลื่อนลงต่ำ มองไปยังเทวรูปร่างทองทั้งสามองค์ที่อยู่ในศาล ยิ้มเอ่ยว่า “จ่ายเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
เหวยเว่ยยื่นมือมาปิดปากหัวเราะคิกคัก “ชีวิตที่ยากลำบากพอจะผ่านพ้นมาได้แล้ว ยังดีที่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอะไร ทรัพย์สมบัติจึงยังพอมีเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
ซ่งอวี่เซานั่งอยู่บนม้านั่งหินเขียวตัวยาว เอ่ยสัพยอกว่า “เป็นเพราะตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่า หนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเป็นได้ค่อนข้างยาก อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกเทพภูเขาเถื่อนลักพาตัวไปเป็นฮูหยินในหมู่บ้านโจรแล้ว คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้กลายมาเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาแล้ว แต่อันที่จริงกลับเป็นได้ยากยิ่งกว่าเสียอีก?”
เหวยเว่ยส่ายหน้าเบาๆ “เป็นง่ายจะตายไป”
ซ่งอวี่เซาหลุดหัวเราะพรืด คนแก่ก็คือยุทธภพเก่าแก่ หากคิดจะมองความมากน้อยของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งพื้นที่ออกคร่าวๆ อย่างคลุมเครือ ก็ยังพอจะทำได้อยู่บ้าง ศาลเทพภูเขาแห่งนี้ประคับประคองตัวได้ไม่ถึงร้อยปีก็จะต้องหิวโหยจนร่างทองของเหนียงเนียงเทพภูเขาไม่อาจทนรับการกัดเซาะจากลมและฝนได้แล้ว
เหวยเว่ยเอาสองมือไพล่หลัง เดินลงขั้นบันไดมาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าจงใจเก็บงำประกายเอาไว้ คร้านจะขยับหัวสมองก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าจะพูดถึงแผนการของตัวเองให้ท่านฟังดีหรือไม่?”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ “ยินดีจะรับฟังรายละเอียด”
หลังจากฟังแผนการของเหวยเว่ยจบ แรกเริ่มผู้เฒ่าฟังอย่างไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางลัดในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำที่เดินบนทางเสี่ยงเกินไป หาใช่วิถีแห่งความยืนยาว เพียงแต่ว่าเมื่อเหวยเว่ยโพล่งคำว่า ‘แก่นแท้สะอาดบริสุทธิ์’ ที่ฟังสุภาพไพเราะออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ความจริงใจของมนุษย์’ ผู้เฒ่าก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่อาจโต้ตอบกลับได้เลย ซ่งอวี่เซามองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมผู้นี้แล้วอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างคลางแคลงว่า “เหวยเว่ย ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนว่าเจ้ามีสมองขึ้นมาล่ะ?”
เหวยเว่ยเชิดหน้า หัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะเช็ดมุมปากแล้วโบกมือ “แค่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่ข้ายังแสดงฝีมือแค่สามสี่ส่วนเท่านั้นนะ”
ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “เป็นแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด วันหน้าข้าคงไม่มาเตร็ดเตร่แถวนี้แล้ว”
ตอนอายุน้อยรู้สึกว่าก็แค่ระยะทางขุนเขาสายน้ำไม่กี่ก้าว พอคนแก่ตัวขึ้น กลับไกลเสียแล้ว
เหวยเว่ยมองผู้เฒ่าผมขาวหลังค่อมแล้วถอนหายใจ หุบรอยยิ้ม พูดไปตามสัตย์จริงว่า “บอกตามตรง วิธีนี้เป็นเฉินผิงอันที่สอนข้า ข้าหรือจะคิดเรื่องพวกนี้ได้”
ซ่งอวี่เซาอืมรับหนึ่งที พยักหน้าพูดน้ำเสียงเฉยเมยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ผู้เฒ่าหมุนตัวจากไป
สาวใช้ร่างสูงโปร่งมาหยุดอยู่ข้างกายเหนียงเนียงเทพภูเขา ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่งคาดการณ์ได้แม่นยำดุจเทพจริงๆ เจ้าค่ะ”
เหวยเว่ยด่าขำๆ “เขาเดากะผายลมอะไรล่ะ เจ้าไม่เห็นหรือว่าซ่งอวี่เซาขึ้นเขามาอย่างเอ้อระเหย แต่กลับวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไปน่ะ?”
ผู้เฒ่าไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ศาลเทพภูเขาบ้านของตน แต่กลับไปยังเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านในอดีต ไปเยือนเหลาสุราแห่งนั้น ผู้เฒ่านั่งอยู่ในตำแหน่งเก่า
เถ้าแก่เปลี่ยนคนแล้ว แล้วก็เปลี่ยนคนอีก เป็นคนรุ่นหลานที่ดูแลกิจการ อันที่จริงวัตถุดิบในการทำหม้อไฟมีการแอบลดคุณภาพ ไม่ต้องเปิดหม้อจ้วงตะเกียบ ซ่งอวี่เซาก็รู้ได้ว่าไม่มีรสชาติอย่างในปีนั้นอีกแล้ว เพียงแต่ซ่งอวี่เซาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้พูดอยู่แล้ว กลับกลายเป็นหวังว่าร้านอาหารที่รสชาติของหม้อไฟไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมอีกต่อไปแห่งนี้ วันหน้ากิจการจะสามารถดียิ่งกว่านี้ ไม่แน่ว่ารอให้วันใดได้เงินมามากพอก็อาจจะกลับมาพิถีพิถันได้อีกครั้ง
เถ้าแก่หนุ่มคนนั้น ต่อให้จะจำได้อริยะกระบี่ผู้อาวุโสแห่งแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับท่านปู่ของตัวเองอย่างซ่งอวี่เซาได้ แต่ว่าพอเอาวัตถุดิบหม้อไฟโต๊ะใหญ่ขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะด้วยตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็อดรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะไม่ได้ จึงไม่กล้าจะตีสนิทกับผู้เฒ่า พูดจาตามมารยาทอยู่สองสามคำ เพียงไม่นานก็จากไปแล้ว
ซ่งอวี่เซาไม่ได้สั่งถ้วยและตะเกียบสองชุด แต่สั่งจอกเหล้ามาสองใบ วางจอกเหล้าใบหนึ่งไว้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ไม่ได้รินเหล้า ผู้เฒ่าเพียงจิบเหล้าหนึ่งอึก ด่าอยู่สองสามคำ เจ้าเด็กตัวเหม็นถึงกับกล้าหลบเลี่ยงตน ไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนือของเจ้าเลยไป ขอให้เจ้าน้ำลายสอจนตาย
เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไปได้สองสามจอก ผู้เฒ่าก็ยังอดไม่ไหวลุกขึ้น เดินไปรินเหล้าใส่จอกนั้นจนเต็ม พอกลับมานั่งที่เดิมก็พึมพำหนึ่งประโยค ฟังไม่ชัดเจน แล้วก็ไม่รู้ว่าด่าคนหรือว่าพูดอะไร
ซ่งอวี่เซาพลันหันหน้ากลับไป ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนมาได้อย่างไร?”
คือซ่งเฟิ่งซานผู้เป็นหลานชายและหลิ่วเชี่ยนภรรยาของหลานชาย
คนทั้งสองนั่งลง ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “เป็นเหวยเว่ยที่ส่งข่าวไปแจ้ง พอได้รับข่าวแล้ว ระหว่างที่มาหลิ่วเชี่ยนก็เดิมพันกับข้า บอกว่าท่านปู่จะต้องมาที่นี่ก่อนแน่นอน ข้าไม่เชื่อ ดังนั้นจะดื่มลงโทษตัวเองสามจอก”
ซ่งอวี่เซาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากดื่มเหล้าก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
ซ่งเฟิ่งซานดื่มเหล้า หลิ่วเชี่ยนจุ่มเนื้อในหม้อไฟ เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร
หากไม่เป็นเพราะฉีถิงจี้ที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางช่วยออกกระบี่ให้ ผู้คนก็มีแต่จะยิ่งคับแค้นใจก่นด่ากันไปทั่วยิ่งกว่านี้
คนที่ถูกฉีถิงจี้ถามกระบี่ หลังจากโดนกระบี่ไปหนึ่งที กระดูกก็ยังแข็งอยู่มาก บอกว่าต่อให้หลิวชาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวบรวมโชคชะตาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ แล้วจะอย่างไร? เซียวสวิ้นผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ? นางเองก็ยังถูกจั่วโย่วไล่ไปยังสนามรบนอกฟ้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับมา ไม่อาจกลับไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? ต่อให้มีหลิวชาเพิ่มมาอีกคนหนึ่งจะนับเป็นผายลมอะไรได้ หากเจ้าฉีถิงจี้แน่จริงก็กลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วแกะสลักตัวอักษรใหญ่ลงบนหัวกำแพงอีกทีสิ…ดังนั้นฉีถิงจี้ที่คร้านจะพูดมากจึงมอบกระบี่ให้ผู้ฝึกตนคนนั้นอีกหนึ่งที
ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่ฉีถิงจี้กลับต้องปล่อยกระบี่ออกไปถึงสองครั้ง แล้วยังได้แค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจสังหารได้
นี่ทำให้ฉีถิงจี้ที่กลับมายังทักษินาตยทวีป พอมาหาลู่จือแล้วก็ไม่ได้โน้มน้าวให้นางเข้ามาอยู่ในสำนักของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่ดื่มเหล้าเงียบๆ เท่านั้น
หากเปลี่ยนมาเป็นลู่จือ คาดว่าแค่กระบี่เดียวคงฟันขอบเขตหยกดิบคนนั้นให้ตายได้แล้ว จากนั้นก็หวนกลับไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ลู่จือที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ คนที่นางยินดีจะพูดคุยด้วยมากหน่อยมีแค่สองคนเท่านั้น ก็คือสองคนที่อยู่ข้างกายนางในเวลานี้ ถัวเหยียนฮูหยินแต่ไหนแต่ไรมามักเคยชินกับการพูดจาวกวนอ้อมค้อม ความหมายคร่าวๆ ก็คือโน้มน้าวให้ลู่จือตอบตกลง เป็นแค่เค่อชิงเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นคนบ้านเดียวกัน ตามเหตุตามผลแล้วล้วนไม่ควรปฏิเสธ เส้าอวิ๋นเหยียนกลับมีความเห็นต่าง มีถัวเหยียนอยู่ เส้าอวิ๋นเหยียนไม่กล้าพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปนัก กังวลว่ายามที่ตนออกจากบ้านไปเพียงลำพัง อยู่ดีๆ หากไม่ทันระวังอาจจะโดนกระบี่หนึ่งเข้าให้ ดังนั้นเส้าอวิ๋นเหยียนจึงพูดแค่ว่าเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีเลิศล้ำ แน่นอนว่าไม่ต้องการให้อาจารย์ลู่เพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรด้วยการไปเป็นเค่อชิงอะไรนั่น หากเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง กลับพอจะคิดพิจารณาได้
“ฉีถิงจี้พูดถูกแล้ว สำนักที่เขาอยู่ต้องมีเซียนกระบี่ที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องกฎเกณฑ์เท่าไรอยู่สักคน ข้าจะตอบตกลงเป็นเค่อชิงของเขา”
ลู่จือกล่าว “เส้าอวิ๋นเหยียน เจ้าพาถัวเหยียนไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยกัน จากนั้นค่อยอ้อมไปที่อุตรกุรุทวีป สุดท้ายถึงค่อยไปพบอิ่นกวาน”
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้า “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเจตนาจะชัดเจนเกินไป”
ส่วนลู่จือจะเป็นหรือไม่เป็นเค่อชิง อันที่จริงเส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้มีความคิดอะไรมากนัก ก่อนหน้านี้ที่เอ่ยแย้งก็แค่ไม่ชอบวิธีการของถัวเหยียนเท่านั้น
ถัวเหยียนฮูหยินถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ลู่ ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านดีกว่าไหม?”
ลู่จือเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าออกเดินทางทันที”
ถัวเหยียนฮูหยินโอดครวญไม่หยุด นางไม่ยินดีไปพบใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นจริงๆ คราวก่อนต้องสูญเสียสวนดอกเหมยไปหนึ่งแห่ง แล้วคราวนี้ล่ะ?
เส้าอวิ๋นเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ในเมื่อพวกเขารู้ว่าในที่สุดอิ่นกวานก็หวนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลแล้ว ถ้าอย่างนั้นเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป ซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีป ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีป…เซียนกระบี่แห่งไพศาลทุกคนที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยการเซ่นกระบี่ครั้งนั้น ก็ควรจะรู้เรื่องนี้แล้ว
ธวัลทวีป
เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงที่ในอดีตอยู่ดีๆ ก็รับปากเป็นผู้ถวายงานให้กับสกุลหลิวก็เพิ่งจะกลับจากการประชุมศาลบรรพจารย์ของสกุลหลิวมายังศาลเหลยกง ถึงอย่างไรแค่ไปนั่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาเปล่าๆ อยู่แล้ว ไม่เอามาก็เสียเปล่าน่ะสิ เซี่ยซงฮวาถึงขั้นเอ่ยเตือนสกุลหลิวเป็นพิเศษว่าหากมีการประชุม ไม่ต้องสนว่าน้อยหรือใหญ่ จำไว้ว่าต้องส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าว ขอแค่นางอยู่ในธวัลทวีปจะต้องรีบไปให้ถึงทันที จะดีจะชั่วนางก็เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ควรต้องออกแรง ต่อให้ไม่มีโอกาสได้ออกแรง ก็ควรจะเสนอคำแนะนำให้
หากเป็นสำนักบนภูเขาทั่วไป ป่านนี้คงบ่นกันด้วยความไม่พอใจไปแล้ว แต่สกุลหลิวธวัลทวีป ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาให้เซี่ยซงฮวาทุกครั้ง แต่ละครั้งล้วนเปลี่ยนวิธีการในการมอบเงินให้ หลายครั้งเข้า อย่าว่าแต่เงินเทพเซียนที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของนางต้องใช้จ่ายเลย แม้แต่ส่วนของเซี่ยซงฮวาเองก็ล้วนไม่ขาดแคลน นี่ทำให้เซี่ยซงฮวารู้สึกเกรงใจอย่างอดไม่ได้ ครั้งนี้ออกมาจากศาลบรรพจารย์สกุลหลิวจึงได้ถามหลิวจวี้เป่าว่า สรุปแล้วมีศัตรูที่สกุลหลิวต้องการฟันทิ้ง แต่กลับไม่เหมาะจะฟันทิ้งบ้างหรือไม่ เดี๋ยวนางทำให้เอง ไปกลับเงียบๆ รอบเดียวก็ได้แล้ว
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!