ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันงีบหลับอยู่ในศาลบรรพจารย์ ทุกคนที่อยู่นอกห้องโถงต่างก็รอคอยให้เจ้าขุนเขาปรากฏตัวกันเงียบๆ
สำหรับผู้ฝึกตน การนอนหลับพักผ่อนก็คือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ชีวิตคนก็มีแค่สองเรื่องคือตื่นกับหลับเท่านั้น ชั่วชีวิตนี้ ยามที่มาก็คือการตื่นใหญ่ ยามที่จากไปก็คือการหลับใหญ่
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ชำเลืองตามองเจียงซ่างเจินที่จอนผมสองข้างเริ่มเป็นสีขาว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตะวันจันทราดุจมดบนแท่นโม่ ข้าผู้อาวุโสร่ายรำอย่างอิสระเสรี”
เดิมทีเจียงซ่างเจินกำลังพูดจาแสดงความอิจฉาเซียนกระบี่หมี่ที่พอไม่มีภาระก็ตัวเบา ส่วนหมี่อวี้ก็กำลังเอ่ยชื่นชมความมีคุณธรรม บนบ่าแบกภาระหนักดุจเหล็กไว้อย่างองอาจของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งโจวอย่างเลื่อมใสบูชา
พอได้ยินคำทอดถอนใจของชุยตงซาน เจียงซ่างเจินก็ยิ้มเอ่ยว่า “เดินทางกลับแม้เมามาย ยกโคมไฟมองหากระบี่ ถามท่านว่ามีเรื่องไม่สงบสุขใดหรือไม่ ประโยคนี้ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
หมี่อวี้ฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์ เสียเปรียบอย่างหนักเพราะอ่านหนังสือมาไม่มาก เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็นึกอยากจะปลอมตัวเป็นผู้กล้าออกไปท่องยุทธภพล่างภูเขาดูสักรอบ ชุดขาวควบม้า จะได้ทำความรู้จักกับจอมยุทธ์หญิงน่ารักสดใสมากๆ หน่อย
ชุยตงซานเริ่มบ่นเฉาฉิงหล่าง ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลเจ้าได้อันดับหนึ่งติดต่อกันสามครั้งในการสอบ พอไปถึงสนามสอบของต้าหลีกลับได้เป็นแค่ปั้งเหยี่ยนในการสอบครั้งล่าสุด แล้วก็ได้เป็นแค่เปียนซิว (ตำแหน่งขุนนางทำหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียง แก้ไข ตรวจสอบตำราและเอกสารต่างๆ) ฮั่นหลินซึ่งเป็นขุนนางระดับหกชั้นโทของต้าหลี ทำเอาเขาที่เดินทางไปยังสวนกงเต๋อในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางครั้งนี้ไม่กล้าคุยโวให้อาจารย์ปู่ฟัง ตาเฒ่าต่งของศาลบุ๋น โจวมี่อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝู เจ้าคนที่เล่นหมากล้อมห่วยแตกสองคนนี้ได้อ่านบทความทั้งหลายที่เจ้าเขียนในการสอบไปแล้ว คำประเมินไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก อาจารย์ปู่มีตำแหน่งเป็นแค่ซิ่วไฉ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ก็ได้แต่ให้ตาเฒ่าต่งและเจ้าขุนเขาโจวช่วยตรวจสอบ ช่วยเขียนคำวิจารณ์ให้เชิงอรรถ จึงต้องเอาบทความของเจ้าไปให้พวกเขาน่ะสิ
เฉาฉิงหล่างรับเอากระดาษคำตอบสามสี่แผ่นที่ ‘ถูกขโมยมา’ จากกรมพิธีการต้าหลีมาแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ด้านบนมีตัวอักษรสีชาด วงกลม และคำอธิบายของอาจารย์ผู้เฒ่าต่งกับเจ้าขุนเขาโจวอยู่เยอะมากจริงๆ คำวิจารณ์ก็มีอยู่บ้าง เพียงแต่มีไม่มาก ที่มากกว่ายังคงเป็นถ้อยคำไพเราะที่มีความพิถีพิถันและกะน้ำหนักหนักเบาดียิ่ง
อันที่จริงไม่เพียงแต่กระดาษคำตอบของเฉาเปียนซิวเท่านั้น กระดาษคำตอบหน้าพระที่นั่งของสามอันดับหนึ่งและจิ้นซื่ออันดับสองของการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้ล้วนถูกชุยตงซานหอบเอามาด้วยจนเกลี้ยง แล้วเอาไปไว้ที่สวนกงเต๋อ หลังจากตาเฒ่าต่งอ่านกระดาษคำตอบเหล่านั้นจบก็เอ่ยทอดถอนใจมาหนึ่งประโยคว่า แสงตะวันสาดเรื่อรอง ก้อนเมฆลอยขึ้นสูง มารวมกันที่ต้าหลี ผู้มากความสามารถดารดาษ คือความงามแห่งขุนเขาสายน้ำ
เฉาฉิงหล่างถาม “ศิษย์พี่เล็ก ตำแหน่งเปียนซิวแห่งฮั่นหลินของข้า เมื่อไหร่ถึงจะลาออกได้หรือ?”
อันที่จริงเรื่องของการเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ต้าหลีก็ไม่ได้เป็นความตั้งใจเดิมของเฉาฉิงหล่างเช่นกัน แต่เป็นจูเหลี่ยนที่พูดยุยง อาจารย์จ้งเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ เฉาฉิงหล่างถึงได้เริ่มจากการสอบระดับท้องถิ่น สอบระดับจังหวัด สอบระดับแคว้น และสอบระดับหน้าพระที่นั่งตามลำดับ สอบจนกระทั่งติดอันดับเป็นปั้งเหยี่ยน ดูเหมือนว่าสายของเหวินเซิ่ง หากพูดถึงแค่เรื่องของยศจากการสอบเคอจวี่ก็ดูเหมือนว่าภาระทั้งหมดจะตกลงมาบนบ่าของเฉาฉิงหล่างคนเดียว และเฉาฉิงหล่างก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจริงๆ ต่อให้ราชวงศ์ต้าหลีจะคืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งกลับไปให้ ทว่าปัญญาชนของอีกครึ่งทวีปก็ยังคงแย่งชิงกันอยากเป็นปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบสองสนามอย่างสอบระดับแคว้นและสอบหน้าพระที่นั่งในเมืองหลวงที่ต้าหลีเป็นผู้บุกเบิกก่อนใครที่ยิ่งมีผู้มากความสามารถมาเข้าร่วมนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตลำดับต้นๆ เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นปั้งเหยี่ยนของการสอบครั้งล่าสุดอย่างเฉาฉิงหล่างนี้จึงมีน้ำหนักมากอย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “จะลาออกจากขุนนางทำไม? เดี๋ยวศิษย์พี่เล็กจะช่วยหางานเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ให้เจ้าทำ การตรวจสอบของกรมขุนนางก็จะช่วยขวางไว้ให้เจ้าด้วย ถือเสียว่าเป็นฮั่นหลินหลางคนหนึ่งที่ได้นั่งเก้าอี้เย็นล่วงหน้าไปก่อนสองสามปีแล้วกัน”
สุยโย่วเปียนยืนอยู่ข้างกายอาจารย์จ้งชิว คนหนึ่งสละวิถีวรยุทธอย่างเด็ดเดี่ยว หันไปฝึกตนฝึกกระบี่ ตั้งปณิธานไว้ว่าจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ ถือกระบี่บินทะยาน อีกคนหนึ่งกลับถึงขั้นสามารถฝึกฝนวิชาอภินิหารของลัทธิขงจื๊อได้ระหว่างทาง สอดผสานเข้ากับหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรา สุดท้ายจึงสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดากันทั้งนั้น
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยกับสามคนที่เหลือในภาพวาด แต่กับอาจารย์จ้งนางกลับให้ความเคารพนับถืออย่างมาก เวลานี้กำลังเอ่ยแสดงความยินดีกับเขา “อาจายร์จ้งใช้ภาพบรรยากาศของวิญญูชนผู้เที่ยงตรงแห่งสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาสร้างโอสถทองได้ เป็นเรื่องที่ล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “สนใจแต่เรื่องการหว่านไถ ไม่สนใจเรื่องผลเก็บเกี่ยว เจ้าและข้าต่างก็มีความคิดเหมือนกัน”
อันที่จริงอาจารย์ของสุยโย่วเปียนที่อยู่ในบ้านเกิดของพวกเขา จ้งชิวก็รู้จัก แต่ไหนแต่ไรมาราชครูจ้งก็อ่านตำราหลากหลาย เรื่องลับแห่งยุทธภพ เกร็ดประวัติพงศาวดาร ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนอ่านหมด บัณฑิตผู้นั้นอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถูกมองเป็นบุคคลที่ไม่ต่างจากอริยะแห่งลัทธิขงจื๊อ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเซียนกระบี่ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เอาเป็นว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เขียนถึงเขาไม่ว่าจะเป็นในบทประพันธ์ส่วนตัว หรือในเกร็ดพงศาวดารก็หนีไม่พ้นว่า แค่เขาอ้าปากก็พ่นเม็ดกระบี่ออกมา แสงสีขาวเปล่งวาบทีเดียว หัวคนพลันกลิ้งหล่นจากบ่า ส่วนคำเรียกขานของจ้งชิวที่บอกว่า ‘อริยะบุ๋นปรมาจารย์บู๊’ นั้น คำว่า ‘อริยะบุ๋น’ แท้จริงแล้วก็สามารถถือได้ว่าเป็นแบบอย่างคนรุ่นหลังตามหลังอาจารย์ท่านนั้นของสุยโย่วเปียน
หลูป๋ายเซี่ยงถามเว่ยเซี่ยน “ทำไมถึงยังไม่รับลูกศิษย์สักที?”
เว่ยเซี่ยนตอบ “รอให้ลูกศิษย์ของเจ้ารับลูกศิษย์ ข้าค่อยรับ อายุน้อย ลำดับศักดิ์สูง ได้เปรียบมาเปล่าๆ หากขนาดนี้แล้วยังไร้อนาคต ก็จะตีให้ตาย”
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “เหล่าเว่ย เจ้าบอกว่าการเข่นฆ่าในสนามรบไม่มีค่ายกลงูตัวยาวเหมือนอักษรอี (一) หรือค่ายกลประตูมังกรอะไร ก็แค่จัดขบวนให้แน่นอน แนวตรงแนวขวางพุ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างเสรีเท่านั้น สุดท้ายต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง สะบัดดาบสะเปะสะปะ ฟันคนมั่วซั่ว เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ มักจะรู้สึกว่าเจ้าพูดหลอกข้า รอจนข้าไปเยือนเกราะทองทวีป ถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
เว่ยเซี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นวดคลึงปลายคาง “คำพูดที่มีความรู้ขนาดนี้ ปกติข้าไม่ค่อยพูดนะ หรือว่าเป็นคำพูดหลังจากข้าดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว?”
เผยเฉียนกล่าว “รบกวนเจ้าเหล่าเว่ยช่วยหยุดแต่พอสมควรเถอะ”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะฮ่าๆ “ดื่มเก่ง ดื่มเก่ง”
โจวหมี่ลี่กำลังกระซิบกระซาบกับพี่หญิงหน่วนซู่ แอบแข่งกันว่าเมล็ดแตงในชายแขนเสื้อของแต่ละคนใครมีมากใครมีน้อย
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์แล้วก็พบว่าทุกคนค่อนข้างเงียบ สายตาที่มองมายังตนค่อนข้างจะแปลกประหลาด เฉินผิงอันเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นความผิดปกติ จึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรกันหรือ?”
ชุยตงซานพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่หญิงใหญ่?”
ความหมายในคำพูดนี้ก็คือ ในสถานการณ์ที่เร่งด่วนคับขันเช่นนี้ควรเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ต้องออกหน้าแล้ว
เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อะไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!