นอกจากนี้แล้วบนมหาสมุทรทักษิณยังมีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนลำหนึ่งปรากฎขึ้นมา มากพอจะข้ามทวีปเดินทางไกลได้ ขนาดใหญ่มาก ประหนึ่งนครยิ่งใหญ่โอฬาร บนเรือข้ามฟากมีเพียงภิกษุท่าทางแปลกประหลาดที่คล้ายกับว่าเกิดจากการจำแลงของมหามรรคาอยู่คนเดียวเท่านั้น เพียงแต่ว่าร่องรอยของเรือลำนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด จะขึ้นเรือได้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าคนที่ขึ้นเรือไปแล้วกลับเหมือนวัวปั้นดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีใครที่ออกมาได้สักคน หลังจากนั้นมาชงเชี่ยนผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตเซียนเหรินของหลิวเสียทวีปก็จับมือกับเซียนกระบี่จากแผ่นดินกลางคนหนึ่งขึ้นเรือไปตรวจสอบ คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่อาจรั้งเรือข้ามฟากลำนั้นเอาไว้ได้ แล้วยังเกือบจะถูกภิกษุหนุ่มที่ราวกับอยู่ในขั้นไร้รอบเขตผู้นั้น ‘รั้งตัวไว้เป็นแขกหนึ่งร้อยปี’ ทั้งสองฝ่ายจึงได้แต่ฝืนฝ่าฟ้าดินเล็กออกมา ถึงได้กลับมาเยือนใต้หล้าไพศาลได้อีกครั้ง
ศาลชิวเฟิงแห่งแจกันสมบัติทวีป เรือข้ามฟากไร้นามที่ล่องลอยอยู่บนทะเลทางทิศใต้ไม่มีร่องรอยแน่ชัด หอชมมหาสมุทรบนภูเขาของเกราะทองทวีป…
หลังจากที่อาณาเขตของใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเชื่อมติดกัน โชควาสนาตระกูลเซียนก็เหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตกที่พากันแตกหน่อ
เฉินผิงอันย่อมไม่มีความสนใจใดๆ ต่อศาลชิวเฟิงแห่งนั้น แต่หากภูเขาลั่วพั่วมีคนที่จะลงเขาไปฝึกประสบการณ์กลับพอจะลองไปดูได้ ลองไปเสี่ยงโชคดู ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อันตรายเหมือนเรือข้ามฟากลำนั้น
หลิวเสี้ยนหยางเดินมาส่งเฉินผิงอันถึงหน้าประตู แล้วพลันเหวี่ยงแขนออกมา
เฉินผิงอันก้มหัว ค้อมตัวลง พุ่งกระโจนไปข้างหน้า คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล
เรือนพักแห่งที่สอง กุ้ยฮูหยินแห่งนครมังกรเฒ่า ถัวเหยียนฮูหยินแห่งภูเขาห้อยหัว
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนกับหน่วนซู่ถือของขวัญไปขอบคุณ ทั้งสองฝ่ายนั่งลงพูดคุยกันบนเก้าอี้ยาวในระเบียงไผ่เขียว
กุ้ยฮูหยินยังคงอ่อนโยนดังเดิม นางเรียกให้เผยเฉียนไปนั่งลงข้างกัน หน่วนซู่ก็ถูกกุ้ยฮูหยินดึงมาไว้ข้างกายด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งเพียงลำพัง
พูดคุยเรื่องอารามจินกุ้ยของแคว้นชิงหลวนกับกุ้ยฮูหยิน เพราะต้นกุ้ยโบราณบนภูเขาชิงเหย้าคือเผ่าพันธ์ตำหนักดวงจันทร์อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับไผ่เขียวภูเขาพีอวิ๋นที่มีความเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่
ทุกวันนี้สถานะของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นดั่งหินที่ผุดหลังน้ำลดแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามอะไรอีก
กุ้ยฮูหยินยิ้มบางๆเอ่ยว่า “ต้นกุ้ยหกต้นของภูเขาชิงเหย้ามาจากสายเกาะกุ้ยฮวาของข้าจริง บรรพบุรุษเปิดขุนเขาของอารามจินกุ้ยถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนฉา จางกั่วเจ้าอารามคนปัจจุบัน หากนับตามลำดับศักดิ์แล้วก็สามารถถือว่าเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของเซียนฉาได้ เสี่ยวสุ่ยถ่งก็น่าจะเป็นอาจารย์ลุงของจางกั่ว เซียนฉาเคยมีข้อตกลงลับอย่างหนึ่งกับบรรพจารย์สกุลฟ่าน อีกทั้งยังช่วยทำไม้พายไม้ไผ่ให้ ทำให้ถ่อเรือข้ามผ่านร่องเจียวหลงไปได้อย่างปลอดภัย เกาะกุ้ยฮวาจึงมอบดอกกุ้ยให้เขาไปหลายกิ่ง”
คนพายเรือเฒ่าที่ปิดบังชื่อแซ่ของตระกูลฟ่านคนนั้น ชื่อจริงคือเซียนฉา ได้ละทิ้งแซ่สกุลของตัวเองไปนานแล้ว ตั้งฉายาให้ตัวเองว่านักพรตซิงโจว คนพายเรือเฒ่าถือได้ว่าเป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินไม่ยอมรับลูกศิษย์ที่หัวทึบผู้นี้ แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาซึ่งมีเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นหนึ่งในนั้นกลับต่างก็ยอมรับศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้
และเซียนฉาผู้นี้ยังคงหลงรักกุ้ยฮูหยินไม่ยอมเปลี่ยนใจ ปีนั้นเฉินผิงอันนั่งเรือเกาะกุ้ยฮวาไปยังภูเขาห้อยหัวก็เคยได้สัมผัสกับความลุ่มหลงในรักของเขาที่มีต่อกุ้ยฮูหยินมาก่อน และทั้งสองฝ่ายยังเคยประลอง ‘มรรคกถา’ กันมาแล้วด้วย
อันที่จริงเฉินผิงอันมีความประทับใจที่ดีต่อลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนฉามากกว่า
แต่หากจะว่ากันด้วยความน้อยใหญ่ของชื่อเสียง เซียนฉาที่เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ อยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับมีชื่อเสียงมากกว่าขอบเขตบินทะยานเสียอีก
ผู้ฝึกตนที่เป็นแนวเดียวกับหลิ่วชื่อเฉิงแห่งนครจักรพรรดิขาว แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วบ้านตนก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน
ในอารามจินกุ้ย เบื้องใต้ต้นกุ้ยโบราณซึ่งเป็น ‘เผ่าพันธ์ตำหนักดวงจันทร์’ ที่มีอายุมากที่สุดต้นหนึ่ง พื้นผิวของโต๊ะหินได้ถูกเซียนกระบี่บางท่านใช้ปราณกระบี่แกะสลักเป็นกระดานหมาก
ตอนนั้นจับมือกันเดินทางไปเที่ยวที่อาราม สองฝ่ายที่อยากประลองหมากล้อมกันขึ้นมากะทันหันก็คือนักพรตเซียนฉาและหลี่ถวนจิ่งเจ้าสวนแห่งสวนลมฟ้านั่นเอง
วันนี้ถือว่ากุ้ยฮูหยินได้ช่วยไขข้อสงสัยใน ‘ร่องรอยเซียน’ อันยาวนานข้อหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ดูท่าคงไม่ต่างจากเมืองฉีเฮ้อแห่งนั้นสักเท่าไร
เฉินผิงอันมองเผยเฉียนแล้วก็พลันหัวเราะออกมา
อารามจินกุ้ยเคยมีนักพรตน้อยที่กระตือรือร้นในการรับรองแขกคนหนึ่งใช้สารพัดวิธีเพื่อที่จะมอบร่มกิ่งกุ้ยตระกูลเซียนที่มีค่าอย่างถึงที่สุดด้ามหนึ่งให้กับแม่นางน้อยถ่านดำที่เคยมาเป็นแขกบนภูเขา
เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อาจารย์พ่อ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยังจำนักพรตน้อยคนนั้นได้หรือไม่?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้า “จำได้ อยู่ข้างกายนักพรตหนุ่มที่มีชื่อว่าสวี่ป๋อรุ่ย เป็นคนน่ารำคาญผู้หนึ่ง”
ถัวเหยียนฮูหยินรู้สึกอิจฉากุ้ยฮูหยินอยู่บ้างที่สามารถพูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานที่ใจดำอำมหิตผู้นี้ได้โดยไม่ต้องระวังคำพูดใดๆ
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เส้าอวิ๋นเหยียนให้นางยืมชั่วคราวลูกนั้น ถัวเหยียนฮูหยินก็รู้สึกสงบใจลงได้เล็กน้อย ไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ไม่ใช่หรือ?
เหตุใดเฉินผิงอันถึงจัดแจงให้นางไปคอยอยู่ข้างกายลู่จือ ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจเดิมของคฤหาสน์หลบร้อนหรือความตั้งใจของตัวใต้เท้าอิ่นกวานเอง ถัวเหยียนฮูหยินก็รู้ชัดเจนดีในใจ เพราะหวังให้ลู่จือที่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาซึ่งมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว ตนจะคอยช่วยนางวางแผนได้
กุ้ยฮูหยินใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “คุณชายเฉิน เรื่องด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทรา รู้ความเป็นมาหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพียงแค่เคยได้ยินมาว่าหลิ่วชีมีสมุดวาสนาครองคู่อยู่เล่มหนึ่ง เป็นของที่ผู้เฒ่าจันทราเคยพลิกเปิดเพื่อเลือกคนสองคน จากนั้นร้อยด้ายแดงเชื่อมโยงพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะกลายมาเป็นคู่ครองกัน จะสามารถอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าด้ายแดงเส้นนั้นสั้นหรือยาว”
หลิ่วชี
ใต้หล้านี้เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาสองกลุ่มที่ถูกประเมินไว้สูงเกินไปและถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป
หลิ่วชีขอบเขตบินทะยานเป็นคนหนึ่งในนั้น เนื่องจากเขียนคำได้ดี ถ้อยคำที่เขาเขียนแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง แต่ ‘ขอบเขตเส้นเอ็นหลิว’ นั้นมาจากไหน เหตุใดถึงมีวาสนาเซียนที่เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียวนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่เคยแพร่ไปในใต้หล้าไพศาล
ดังนั้นหลิ่วชีอยู่บนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนยอดเขา จึงเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่ถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป
หลังจากที่หลิ่วชีเดินทางจากใต้หล้ามืดสลัวกลับมายังไพศาลบ้านเกิด ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่ถูกประเมินไว้ต่ำเกินไปที่สุด ถึงขั้นไม่มีหนึ่งใน
บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หลิ่วชีเคยสกัดขวางปีศาจใหญ่หยางจื่อ เล่าลือกันว่าเขาใช้เวทคาถาสามร้อยหกสิบห้าชนิด สยบกำราบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นวิชาน้ำของหย่างจื่อได้อย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายจึงร่วมมือกับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านหนึ่ง คุมขังหย่างจื่อที่พยายามจะหลบหนีอยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้สำเร็จ
ในบรรดากลุ่มของผู้ฝึกตนที่เคยถูกประเมินไว้สูงเกินไป มีจวี้จื่อสำนักโม่ที่ ‘คนคนเดียวสามารถโจมตีเมือง สามารถพิทักษ์เมืองได้เพียงลำพัง’ และยังมีจั่วโย่วที่ไม่เคยประลองกระบี่กับเผยหมิ่นอย่างแท้จริงมาก่อน
เพียงแต่ว่าหลังจากศึกเฝ้าพิทักษ์ทักษินาตยทวีปผ่านพ้นไป จวี้จื่อสำนักโม่และจั่วโย่วที่ถามกระบี่กับเซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่มาหลายครั้งก็ไม่ได้อยู่ในลำดับของ ‘ผู้ที่ถูกประเมินไว้สูงเกินไป’ อีกต่อไป เปลี่ยนมาเป็นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่ทุ่มสุดชีวิตทำลายตะวันจันทราบนบ่าแทน เพราะว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแลกชีวิตอะไรกับหลิวชา ดูเหมือนว่าหลิวชาไม่แม้แต่จะขอบเขตถดถอยด้วยซ้ำ เพียงแค่สามารถรั้งหลิวชาไว้ตรงริมทางเข้ากุยซวี (มหาสมุทรจุดที่น้ำไหลมารวมกัน ภาษาจีนคือ归墟 แปลตรงตัวได้ว่ากลับคืนสู่ซากปรัก ในตำนานจีนจะหมายถึงที่ซึ่งน้ำทั้งหมดรวมถึงทางช้างเผือกไหลลงสู่ความว่างเปล่าที่ลึกที่สุด ลักษณะคล้ายน้ำวน) บนทะเลทักษิณแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงไปยังใต้หล้าไพศาลได้เท่านั้น
กุ้ยฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องระวัง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ระวังมากแล้ว”
กุ้ยฮูหยินชำเลืองตามองข้อมือของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เหมือนกัน”
ลุกขึ้นแล้วบอกลา
เฉินผิงอันพลันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถัวเหยียนฮูหยิน วันหน้าข้าค่อยสอบถามเรื่องการสู้รบที่ทักษินาตยทวีปจากเจ้าอย่างละเอียดอีกที”
ถัวเหยียนฮูหยินพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
จุดที่สาม ล้วนเป็นคนของอุตรกุรุทวีป
เฉินผิงอันพาเฉาฉิงหล่าง โจวหมี่ลี่และเฉินหลิงจวินไปด้วยกัน
หมี่ลี่น้อยมาจากทะเลสาบคนใบ้ เฉินหลิงจวินก็เคยเดินลงลำน้ำที่อุตรกุรุทวีป
ป๋ายโส่วยืนรอต้อนรับเฉินคนดีพี่น้องที่รักที่หน้าประตูด้วยตัวเอง ขอแค่เผยเฉียนไม่ได้อยู่ที่นี่ เฉินคนดีก็คือพี่น้องคนดีของตน
ไปถึงลานเรือนแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามผ่านธรณีประตูไป เตรียมจะหดเท้ากลับ เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัย
หลิวจิ่งหลง หลิ่วจื้อชิง สวีซิ่งจิ่ว นั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่งกันอยู่ บนโต๊ะวางสุราไว้จนเต็ม
คิดไม่ถึงว่าป๋ายโส่วจะได้รับคำสั่งจากอาจารย์จึงปิดประตูลงเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ดื่มเหล้านั้นได้ แต่ว่าดื่มได้แค่พอสมควรเท่านั้น ไม่อย่างนั้นรับรองแขกด้วยความเมามายจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็รอให้ข้าไปเยี่ยมเยือนทุกคนเสร็จก่อนแล้วค่อยมาดื่มเหล้ากับพวกเจ้าให้สาแก่ใจ”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ “ดื่มก่อนเถอะ ดื่มเหล้านี่นะ หากดื่มได้ที่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนพูดง่าย”
เฉินผิงอันหันไปมองเฉาฉิงหล่าง เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “อาจารย์ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ดื่มเหล้า”
เฉินหลิงจวินตบอกดั่งสนั่นฟ้า รีบรับคำบัญชาการณ์ทันใด “ดื่มเหล้า? ผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ! นายท่านโปรดวางใจ อีกเดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบแบกอาจารย์หลิวกลับเข้าไปในห้องให้เอง”
หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าคารวะเฉินผิงอันด้วยขนบของลัทธิเต๋า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!