กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 768

เข้ามาในเรือนหลังเล็ก หลิ่วชิงเฟิงกับเฉินผิงอันก็พูดคุยกันไปตลอดทาง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการรำลึกความหลังของคนบ้านเดียวกันระหว่างเฉินผิงอันกับจ้าวเหยาก่อนหน้านี้แล้วออกจะดู ‘ห่างเหิน’ ไปสักหน่อย

ส่วนใหญ่แล้วจะพูดคุยกันเรื่องขนบธรรมเนียมและผู้คนของแคว้นชิงหลวนมากกว่า แล้วก็คุยถึงหลิ่วชิงซานกับสวนสิงโตด้วย หลิ่วชิงซานน้องชายของหลิ่วชิงเฟิง หลังจากที่ได้แต่งงานกับหลิ่วป๋อฉีนักพรตหญิงแห่งเรือนซือเตาแล้ว หลายปีมานี้ก็ออกเดินทางไกลท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ระหว่างนั้นยังเคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวมารอบหนึ่ง คล้ายการกลับบ้านไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล กราบอาจารย์บนภูเขาเหมือนเกิดใหม่ อาจารย์ผู้มีพระคุณของหลิ่วป๋อฉีก็คือนักพรตหญิงวัยชราที่เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัวเหมือนกับเจียงอวิ๋นเซิง ‘นักพรตน้อย’ แห่งนครชิงชุ่ยป๋ายอวี้จิงและจางลู่เซียนกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงประตูบานเดียวกั้นขวางก็คือใต้หล้าสองแห่ง ปีนั้นหลิ่วป๋อฉีกลับไปยังเรือนซือเตา หลิ่วชิงซานได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนก็ได้ข่าว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ปรากฏตัว

หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งแรกสุดที่ได้อ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งที่ต่างบ้านต่างเมือง ความคิดแรกของข้าก็คือเป็นฝีมือของอาจารย์หลิ่วที่ไม่มีใจฝักใฝ่ในวงการขุนนางแล้ว ก็เลยหันมาแต่งตำราขายแลกเงินแทน”

หลางจงผู้เฒ่าที่มีความสัมพันธ์เก่าก่อนกับหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นคือมือหนึ่งในกองบวงสรวง กองบวงสรวงกับกองข่าวกงกรมขุนนางของจ้าวเหยา รวมไปถึงกองอู๋เสวี่ยน (ทำหน้าที่คัดเลือกทหารประจำกอง) กรมกลาโหม แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นที่ว่าการ ‘เล็ก’ ที่มีอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์ต้าหลี ผู้เฒ่าเคยเข้าร่วมการล่าครั้งหนึ่งที่ทางต้าหลีจัดขึ้นอย่างตั้งใจ เป็นการล้อมปราบบุรุษสวมงอบพกดาบคนหนึ่งที่เมืองหงจู๋ เพียงแต่ว่าความต่างทางด้านฝีมือมีไม่มาก จึงถูกคนผู้นั้นใช้กำลังของคนคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่ม

หลังจากนั้นมาหลางจงผู้เฒ่าก็ยังเคยพาหร่วนซิ่วและสวีเสี่ยวเฉียวจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนเดินทางลงใต้ไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน สุดท้ายไปหยุดพักที่ภูเขาฝูหรง ยื่นไม้ติดกาวเหนียว (จานกาน ชื่อเดียวกับหน่วยจานกานของต้าหลี) ไปดักจับผีเสื้อจับแมลงปอ ไล่ล่าตัวอ่อนที่มีโชคชะตาบู๊ซึ่งเป็นคนของต้าหลีคนหนึ่ง ดังนั้นคำพูดโบราณถึงได้บอกว่าคนแก่มักจะมีเรื่องเล่ามากมาย

เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วคนนี้ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือจะช่วยภูเขาลั่วพัวบดบังอำพรางไว้แค่ไหน ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นการสำรวจตรวจสอบของสามฝ่ายอย่างกรมพิธีการต้าหลี จวนผู้ตรวจการและซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วไปได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ร่างทองและศาลของซ่งอวี้จางต่างก็ย้ายไปอยู่ที่ภูเขาฉีตุนหมดแล้ว เฉาเกิงซินผู้ตรวจการก็ได้เลื่อนขั้นขุนนางไปอยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี บวกกับหอบินทะยานที่พังทลาย การเปลี่ยนแปลงที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเหล่านี้ ทำให้การตรวจสอบอย่างลับๆ ที่กรมพิธีการต้าหลีมีต่อภูเขาลั่วพั่วปิดฉากลงเช่นกัน และไม่ว่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนและการให้ความสำคัญที่ฮ่องเต้สองพระองค์ของต้าหลีมีต่อเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือ เลือกเฉาเกิงซินที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายให้มารับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาที่สามารถเข้าห้องทรงพระอักษรได้โดยตรง ให้ซ่งอวี้จางย้ายออกจากภูเขาลั่วพั่ว ก็ล้วนถือเป็นการแสดงความเป็นมิตรอย่างหนึ่งทั้งสิ้น

ดังนั้นคำสัพยอกที่เจ้าขุนเขาหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นมาหลังจากนั่งลงจึงทำให้หลางจงผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ทันที

หรือคิดจะคิดบัญชีย้อนหลังกับต้าหลีแล้ว?

บอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว หลางจงผู้เฒ่าก็ไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนหนุ่มผู้นี้เลย

ชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาซับซ้อนเกินไป นิสัยการกระทำก็ระมัดระวังรอบคอบเกินไป หลายปีที่ผ่านมานี้หลางจงผู้เฒ่ามักจะเปิดอ่านเอกสารลับของกรมพิธีการอยู่เป็นประจำ เอามาทำเป็นกับแกล้มแกล้มสุรา หมายจะหาความ ‘สมเหตุสมผล’ จากขั้นตอนการร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองของเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นี้ให้เจอ แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เฉินผิงอันอยู่บ้านเกิด ช่วงเวลาอันยากจนข้นแค้นที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร หรือว่าช่วงหลังที่ทำหน้าที่เป็นนักบัญชีในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้เฒ่าก็มองคำว่าผิดหวังตกอับออกแค่คำเดียวเท่านั้น ทว่าทุกหน้าหนังสือที่เปิดผ่านไป ก็ราวกับว่าเฉินผิงอันจะต้องเดินขึ้นสู่จุดที่สูงกว่าเดิมอย่างเงียบเชียบ หากเปลี่ยนมาเป็นคนหนุ่มคนอื่น บุญคุณความแค้นในอดีตมากมายที่อยู่ล่างภูเขา ในเมื่อได้ดิบได้ดีแล้วก็คงจะจัดการคลี่คลายให้จบๆ กันไปนานแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้กลับเหลือค้างไว้อย่างนี้มาโดยตลอด ปีแล้วปีเล่า ไม่คิดจะไปแตะต้องพวกมัน

ทุกวันนี้ภูเขาลูกหนึ่งในอาณาเขตขุนเขาเหนือ กับสถานที่มังกรผงาดของสกุลซ่งต้าหลี หากอิงตามคำกล่าวของตระกูลเซียนบนภูเขา อันที่จริงอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ภูเขาลูกนั้นกลับได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้ อีกทั้งยังถึงขั้นอ้อมผ่านราชวงศ์ต้าหลีไป สอดคล้องกับตามหลักพิธีการของศาลบุ๋น แต่กลับไม่สมเหตุสมผล

ก็เหมือนหมู่บ้านชนบทที่มีเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมากมายแห่งหนึ่ง มีชายฉกรรจ์ซื่อๆ คนหนึ่งที่ยอมอดทนข่มกลั้นมาเกินครึ่งชีวิต อยู่ดีๆ วันหนึ่งไปซื้อสุราดีมาดื่มโดยที่ไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มอย่างเต็มคราบเท่านั้น ทั่วร่างมีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้ง จากนั้นยามค่ำคืนก็ถือมีดเดินออกจากบ้านไป

คหบดีชั่วร้ายและลูกหลานคนร่ำรวยที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น คนยังพอจะป้องกันได้ แต่หากคนซื่อตรงคนหนึ่งลงมืออย่างอำมหิตขึ้นมา ใครเล่าจะคาดการณ์ได้?

บนโต๊ะไม่มีน้ำชา แล้วก็ไม่มีสุรา

ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เป็นแขกเช่นเดียวกัน

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “หากข้าเป็นคนถือพู่กันจริงๆ นอกจากตัวอักษรไม่กี่พันคำที่เป็นบทนำซึ่งจะไม่เปลี่ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว ล้วนเก็บเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนอื่นๆ ที่เหลือต้องเปลี่ยนเยอะเลย การพบเจอในยุทธภพ ต้องพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้มาก เลียนแบบฝีมือจิตรกรเอกของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูก แล้วค่อยเลียนแบบภูเขาเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา บวกกับภาพสิบสองสาวงามลงสี เรื่องประหลาดพิสดารทั้งหลายเขียนให้อ้อมค้อมหน่อย หมึกเข้มมากสีสัน ให้ความสำคัญกับคำว่าเซียน ยามเข่นฆ่ากับผู้อื่นก็เขียนให้เขาสังหารคนอย่างเด็ดขาด จะไม่อืดอาดยืดยาด เน้นคำว่าเหี้ยม ในวงการขุนนางก็ให้ชื่นชมว่าเขามีประสบการณ์มากกลอุบาย ยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นวางตัวระมัดระวังรอบคอบ แสดงให้เห็นถึงคำว่าสุขุมมั่นคง”

“ยามที่อยู่ว่างๆ เจอภูเขาพบสายน้ำ เป็นต้องได้พบเจอกับยอดฝีมือที่หลบเร้นกาย ได้พูดคุยกับผู้มีชื่อเสียงของสามลัทธิ พูดคุยถึงความซื่อสัตย์จริงใจ พูดถึงมรรคถา พูดถึงปริศนาธรรม ล้วนหนีไม่พ้นคำว่าสุขสบาย ทำให้คนรู้สึกเพียงว่าเหยียบอยู่บนความว่างเปล่าในจุดสูง มีกลุ่มขุนเขาเป็นพื้นดิน เมฆขาวอยู่ใต้ฝ่าเท้า วิหคโบยบินอยู่ข้างไหล่ มองดูเหมือนเลื่อนลอย ความจริงก็คือความว่างเปล่า ตรงจุดที่ตัวอักษรเรียบง่ายก็เขียนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ยึดครองความได้เปรียบ ตรงจุดที่ตัวอักษรซับซ้อนก็เขียนให้สันโดษหลุดพ้น แต่กลับเป็นดั่งหมอนปักลายบุปผา จุดประสงค์ของตัวอักษรที่เขียน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็แค่เป็นความรู้สึกทั่วไปของคนคนหนึ่งที่ ‘ยากจนจนกลัว’ รวมไปถึงสองคำว่า ‘ค้าขาย’ ที่เขียนถึงกล่าวถึงและลงมือทำในตำรา ตอนที่ได้เงินมาก็เพื่อผลประโยชน์ เพื่อการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อขอบเขตที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งข้าก็คือเหตุผล ยามที่ขาดทุนก็เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศจอมปลอม เพื่อสะสมบุญกุศล เพื่อช่วงชิงใจของสาวงาม”

“เมื่อได้เจอกับสำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป แบ่งส่วนแบ่งกันเก้าต่อหนึ่ง หรือถึงขั้นที่ว่าข้าไม่ต้องการสักเหรียญทองแดงเดียว ต้องการเพียงว่านอกเหนือจากท่าเรือตระกูลเซียนทั้งหมดแล้ว ร้านหนังสือในหมู่ชาวบ้านล่างภูเขาทุกแห่งล้วนต้องมีบันทึกขุนเขาสายน้ำวางขายหลายๆ เล่ม? เล่มต้น? เล่มต้นเขียนบอกไว้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ในหนังสือมีรายละเอียดอยู่หลายสิบจุดที่มากพอจะกระทบกระเทียบคนมีใจ ให้พวกคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นได้ขบคิด วิญญูชนกับวิญญูชนจอมปลอม มีได้ทั้งสองนัย เล่มท้ายเขียนถึงการกระทำของเขาที่เปิดเผยตรงไปตรงมา จิตใจกว้างขวางสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายได้แฝงเข้าไปในกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผูกมิตรกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หลายตน อาศัยเพียงกำลังของตัวเองคนเดียวมาเล่นตลกกับใจคน ประหนึ่งปลาได้น้ำ จิตใจมุ่งมั่นทำเพื่อไพศาล เพื่อสร้างคุณงามความชอบที่มิอาจสั่นคลอนได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!