กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 768

เมื่อเทียบกันแล้วชื่อเสียงของจ้าวเหยานับว่าไม่โดดเด่นนัก เป็นหนึ่งในขุนนางผู้ตรวจข้อสอบจำนวนมากมายที่ต้องแยกห้องกันอ่านกระดาษคำตอบ คือหนึ่งในฝางซือ (คำเรียกขานขุนนางที่แยกห้องตรวจข้อสอบในการสอบด้วยความเคารพ) หลายสิบคนของสนามสอบ เมื่อเทียบกับขุนนางผู้ตรวจข้อสอบคนอื่นๆ แล้ว จำนวนจิ้นซื่อจึงมีน้อยที่สุด จิ้นซื่อระดับสองมีแค่สองคน

จ้วงหยวนจางติ้ง ปั้งเหยี่ยนเฉาฉิงหล่าง

ถั่นฮวาหลางหยางซ่วง อายุน้อยที่สุดในบรรดาคนสิบแปดคน รูปโฉมโดดเด่น หากไม่เป็นเพราะมีจิ้นซื่อเด็กอัจฉริยะอายุสิบห้าอยู่คนหนึ่ง หยางซ่วงที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีก็จะกลายเป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของการสอบครั้งล่าสุดในระดับมณฑล และตอนที่หยางซ่วงขี่ม้า ‘ชมบุปผา’ (ทั่นฮวา คำเดียวกับชื่อตำแหน่งของการสอบ) ในเมืองหลวงต้าหลีก็เคยชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ผู้คนพากันออกจากตรอกซอกซอยเพื่อมาร่วมเฉลิมฉลอง

นอกจากนี้แล้วในบรรดาเม่าหลินหลางจิ้นซื่อระดับสองจำนวนสิบห้าคน หวังชินรั่วมีความเฉียบแหลมทางวรรณกรรมที่สุด ถูกขนานนามว่า ‘ไอเซียนล่องลอย ถ้อยคำแห่งเซียนมากล้น’ นอกจากนี้คือสองพี่น้องแซ่เฉิงที่จับมือกันเดินขึ้นสู่อันดับสองของการสอบ หลักการทางภาษาเรียบง่าย ‘ประหนึ่งคมวาทะของอริยะปราชญ์’ นี่แสดงให้เห็นว่าเหล่าปัญญาชนของต้าหลีต่างก็ให้การประเมินสองพี่น้องคู่นี้ไว้สูงมาก

สามอันดับแรกของระดับหนึ่ง บวกกับเม่าหลินหลางสามคนอย่างหวังชินรั่วและ ‘สองเฉิง’ นี้ ทุกวันนี้ทั้งหกคนต่างก็ให้การช่วยเหลือบัณฑิตในเช่อฝู่ (สมัยโบราณหมายถึงสถานที่จัดเก็บตำราของจักรพรรดิ) เป็นผู้นำในวงการการประพันธ์ ร่วมกับสำนักฮั่นหลินเรียบเรียง คัดเลือก และตรวจสอบสี่ตำราใหญ่

หลังจากคนทั้งกลุ่มสามคนเดินออกมาจากเรือนพักแล้ว หลิ่วชิงเฟิงก็หยุดเท้าอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มกล่าว “ข้าขอคุยเล่นกับคุณชายเฉินอีกสักสองสามคำ”

หลางจงผู้เฒ่าแห่งกองบวงสรวงพยักหน้ารับ เฉินผิงอันเอ่ยคำลาก่อน จากนั้นเดินก้าวเร็วๆ นำออกไปในตรอกเล็ก

หลิ่วชิงเฟิงเดินอยู่ในตรอกไปพร้อมกับเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นการคุยเล่นอย่างที่เขาบอกจริงๆ พูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ของหนึ่งแคว้นครึ่งทวีป เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “พรรคในยุทธภพที่รำหอกใช้กระบอง ในบรรดาลูกศิษย์จะต้องมีสักสองสามคนที่รำอักษรใช้น้ำหมึกเป็น ไม่อย่างนั้นวิชาหมัดเท้าของเหล่าบรรพจารย์ที่ฝึกปรืออย่างยอดเยี่ยมถึงแก่น ก็จะถูกเรื่องเล่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสีสันละลานตาในยุทธภพกลบฝังไป ถ้าเช่นนั้นก็หลักการเดียวกัน เอาไปวางไว้ในวงการประพันธ์ของเหล่าปัญญาชน หรือวางไว้ในสถานที่ที่ใหญ่กว่านั้น ตัวอยู่ในระบบสืบทอดสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ อันที่จริงก็เป็นหลักการเดียวกัน หากควันธูปบางเบาขึ้นมา ไม่มีคนรุ่นหลังคอยสืบทอดให้ ความสามารถในการใช้พู่กันทำสงครามไม่ได้เรื่อง หรือความสามารถด้านการป่าวประกาศคุณงามความดีอันเกริกก้องของเหล่าบรรพจารย์ไม่ได้ความ ก็จะต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ส่วนสิ่งที่อยู่ด้านในนี้ บ้างจริงบ้างเท็จ หรือมีจริงกี่ส่วนมีเท็จกี่ส่วน ก็พอๆ กับบันทึกขุนเขาสายน้ำที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ อันที่จริงชาวบ้านก็แค่รอดูเรื่องสนุก คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจมีมากมาย ไหนเลยจะมีคนมากมายขนาดนั้นยอมเอาเวลาว่างไปสืบเสาะหาความจริง ก็เหมือนกับว่ามีตรอกแห่งหนึ่งกั้นขวาง มีคนร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก มีคนเดินผ่านทางมา ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกว่าเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้นอัปมงคลดีแต่จะทำให้คนรำคาญ แห่ขบวนรับเจ้าสาวอยู่บนถนน เกี้ยวพลิกคว่ำ คนที่อยู่บนทางมองเห็นว่าเจ้าสาวรูปโฉมงดงามดุจบุปผา กลับกลายเป็นว่าชอบใจ เพราะได้เปรียบมาเปล่าๆ หากเจ้าสาวรูปโฉมธรรมดา บุคลิกท่าทางหยาบกระด้าง หรือไม่ตอนเจ้าบ่าวลงจากหลังม้าพลัดตกลงมาเผยท่วงท่าทุลักทุเล ถ่วงรั้งเวลาการเข้าห้องหอ คนนอกก็มีแต่จะสนุกสนาน ส่วนเจ้าสาวจะงดงามหรือไม่งดงาม อันที่จริงล้วนไม่เกี่ยวกับคนผ่านทางเหล่านั้น แต่ใครเล่าจะสนใจ”

ผู้เฒ่านั่งลงพูดยังดี พอต้องเดินไปพูดไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของหลิ่วชิงเฟิงไม่ค่อยมั่นคงนัก ฝีเท้าก็ก้าวเนิบช้ายิ่ง

เฉินผิงอันยื่นมือไปประคองแขนของเจ้ากรมผู้เฒ่าท่านนี้ไว้แล้ว พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ทุกคนของใต้หล้าถึงจะได้อ่านตำรา เข้าใจหลักการเหตุผล แยกแยะจริงเท็จออกอย่างชัดเจน”

หลิ่วชิงเฟิงร้องเอ๊ะหนึ่งที เอ่ยอย่างตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าแยกแยะถูกผิดหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “การที่จะรู้ว่าเรื่องราวบนวิถีทางโลกเป็นจริงหรือเท็จ ค่อนข้างจะทำได้ยากมาโดยตลอด ส่วนในใจมีถูกมีผิดหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเคยอ่านตำราเล่าเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่สักเท่าไร”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยเตือนว่า “ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่วิถีทางโลกสงบสุข ท่าทางงดงามน่าชมของบัณฑิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเข้าไปในวงการขุนนาง ก็จะยิ่งเป็นดั่งหมู่มวลบุปผารวมกลุ่ม ความดุร้ายของบัณฑิต ก็ยิ่งเป็นดั่งการจุ่มน้ำหมึก หลบซ่อนได้ดียิ่ง จรดพู่กันได้ดีเท่าไร ก็สามารถดำรงอยู่บนโลกได้นานเท่านั้น ขนาดเจ้ายังต้องระวังแล้วระวังอีก หากเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเรื่องนอกกาย ไม่จำเป็นต้องสนใจ พิสูจน์มรรคาเพื่อความเป็นอมตะ ตัดขาดเรื่องทางโลก กระทืบเท้า สะบัดไหล่ ล่างภูเขามีเรื่อง บนภูเขาไม่มีเรื่อง เจ้ายังคงเป็นเจ้า ไม่มีภาระย่อมตัวเบา”

เข้ามาในบ้าน คือเจ้ากรมพิธีการแห่งเมืองหลวงสำรองต้าหลีที่เผชิญกับลมฝนในวงการขุนนางมาอย่างโชกโชน พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว

ออกจากบ้าน ก็มีแค่หลิ่วชิงเฟิงบัณฑิตที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งที่พูดคุยเรื่องของวิถีทางโลก พูดถึงใจคนกับคนบนเส้นทางเดียวกัน

แยกได้ไม่ชัดเจน ก็เพราะเฉินผิงอันที่เป็นเจ้าประมุขของสำนักหนึ่งยังคงมีกลิ่นอายของบัณฑิต จึงเผชิญความยากลำบากมาไม่มากพอ ไม่เข้าใจการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามซึ่งไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่

แบ่งได้ชัดเจน เข้าเมืองตาหลิ่วจึงหลิ่วตาตาม ไม่ใช่ไหลไปตามกระแส ก็คือการอ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ เด็กหนุ่มยากจนจากตรอกทรุดโทรมในอดีต เมื่อได้ออกเดินทางไกลก็ประสบผลสำเร็จแล้วจริงๆ

เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หลิ่วโปรดวางใจ นอกจากหลิ่วชิงซานและหลิ่วป๋อฉีที่เดิมทีก็เป็นสหายของข้าอยู่แล้ว ยังมีสวนสิงโตบ้านบรรพบุรุษของสกุลหลิ่วในแคว้นชิงหลวน รวมไปถึงเมล็ดพันธ์บัณฑิตแต่ละคนในรุ่นหลัง ข้าจะต้องพยายามปกป้องคนและเรื่องราวที่ควรปกป้องไว้อย่างเต็มที่”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้”

เฉินผิงอันกล่าว “งั้นก็ไม่บังเอิญเลย ข้ากลับมีใจเช่นนี้”

หลิ่วชิงเฟิงไม่ใช่คนคร่ำครึ จึงยิ้มอย่างเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็รับความหวังดีนี้ไว้แล้ว

หลิ่วชิงเฟิงเงียบไปพักใหญ่ ยืนอยู่หน้าตรอกเล็กกับเฉินผิงอัน ถามว่า “รวมถึงคนสามคนที่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษบนภูเขาฮุยเหมิงนั้น เจ้ามักจะชอบหาเรื่องใส่ตัวเสมอ เปลืองแรงกายเปลืองแรงใจ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “ฝนกระหน่ำเทลงมา ดินบนถนนเปียกแฉะกลายเป็นโคลน ใครบ้างที่ไม่เคยเป็นไก่ตกน้ำเลยสักรอบสองรอบ?”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “หลังฝนผ่านฟ้าสดใส ยามที่อากาศร้อนแผดเผา ถ้าอย่างนั้นก็มีความน่ารักน่าเอ็นดูของฤดูหนาวเพิ่มเข้ามาแล้ว”

ห่างออกไปไม่ไกลมีรถม้าอยู่คันหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายประสานมือคารวะอำลากัน

หลิ่วชิ่งเฟิงเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเดิน หันตัวกลับมาถาม “ใต้เท้าหลางจงของพวกเราท่านนั้น?”

เฉินผิงอันทำหน้าเหลอหรา “ใครหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!