ฝนเม็ดเล็กพร่างพรมบรรยากาศขมุกขมัว เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่เดินทางจากใต้ไปเหนือเข้าจอดเทียบท่าที่ท่าเรือป๋ายลู่ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเชื่องช้า บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาคนหนึ่งเดินลงมา สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง ด้ามร่มคือกิ่งดอกกุ้ย ข้างกายมีเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีหมึกคนหนึ่ง ในมือเขาก็ถือร่มคันเล็กเช่นเดียวกัน ทำมาจากไผ่เขียวทั่วไป ทว่าพื้นผิวร่มกลับสร้างขึ้นจากดอกบัวมรกตของตระกูลเซียน ก็คือโจวอันดับหนึ่งและชุยตงซานที่ร่ายเวทอำพรางตาและสวมหน้ากาก
คนทั้งสองต่างก็สะพายกระบี่ ล้วนเป็นของตกทอดที่อยู่ในพื้นที่ลับของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและอุตรกุรุทวีป ไม่เคยเผยกายในแจกันสมบัติทวีปมาก่อน วัตถุตกทอดของเซียนกระบี่โบราณสองชิ้นนี้มีชื่อแบ่งออกเป็นเจี่ยอู่เซิง เทียนโจ่ว
เบื้องหลังมีผู้ฝึกตนบนทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มหนึ่งที่มาเที่ยวเยือนภูเขาตะวันเที่ยงเช่นเดียวกัน พวกเขาพูดคุยหัวเราะเบิกบาน มีคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล่าให้ดรุณีน้อยเรือนกายอ้อนแอ้นข้างกายเขาฟังว่า อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคือสหายรักบนภูเขาของบรรพจารย์เซียนกระบี่ยอดเขาป๋าอวิ๋นของภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งคบค้าสมาคมกันมานานหลายร้อยปีแล้ว และบรรพจารย์ยอดเขาป๋าอวิ๋นผู้นั้น ตอนที่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าก็เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่ลี่แห่งอุตรกุรุทวีป ร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่
ชุยตงซานฟังด้วยความเบิกบาน ใช้เสียงในใจหัวเราะคิกคักถามว่า “โจวอันดับหนึ่ง ไม่สู้พวกเรามาเปลี่ยนร่มกันดีไหม?”
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองเบื้องล่างกระดาษร่มดอกบัวมรกตที่เป็นสีเขียว เห็นว่าเป็นสีเขียวทึบทึมก็ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ไม่น่ารักสักเท่าไร”
ในกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังมีเด็กชายหน้าตาหมดจดคนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ถือร่มคันใหญ่ ใช้เวทน้ำรวบรวมสะสมน้ำฝนกองใหญ่มาไว้บนผิวร่ม จากนั้นก็พลันบิดด้ามร่ม เม็ดฝนจึงสาดกระจายไปรอบทิศเหนือนลูกธนูที่พุ่งออกไปเป็นกลุ่ม เหมือนกระบี่บินที่มีมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าเม็ดฝนที่สาดกระจายไปสี่ทิศของตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เพิ่งเหยียบย่างลงบนเส้นทางการฝึกตนได้ไม่นานนี้ ไม่ได้มีพลานุภาพใดๆ ทว่ายามที่เม็ดฝนกระทบลงบนร่มกิ่งกุ้ยและร่มบัวมรกตแล้วกลับเกิดเสียงดังปุๆ
พวกผู้อาวุโสในสำนักก็เพียงแค่คลี่ยิ้มเท่านั้น
ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พอจะฝึกตนจนประสบความสำเร็จได้บ้างเล็กน้อยพวกนี้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกางร่ม แค่ปล่อยปราณวิญญาณออกมา ลมฝนก็จะหลบเลี่ยงไปเอง
เทพเซียนบนภูเขาห้าขอบเขตกลาง ยามที่ออกเดินทางท่องไปทั่วทิศ น้ำและไฟไม่อาจรุกราน สิ่งสกปรกชั่วร้ายหลีกทางให้ พวกบุคคลประหลาดมหัศจรรย์ที่ถูกบันทึกอยู่ในเกร็ดพงศาวดาร ในเรื่องเล่าตำนานประหลาดของแคว้นใต้อาณัติที่เป็นดั่งกบใต้บ่อทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็คือกล่าวถึงผู้ฝึกตนประเภทนี้
หากนักท่องเที่ยวสองคนที่อยู่ข้างหน้าสามารถสลายเม็ดฝนให้หายไปได้เหมือนพวกเขา แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนออกหน้าขัดขวางไม่ให้เด็กชายเล่นร่ม ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยก่อนหนึ่งคำ เอ่ยถ้อยคำเกรงใจสองสามประโยคว่าเด็กน้อยเกเรซุกซน สหายโปรดอย่าถือโทษโกรธเคือง
ผลคือชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อไปข้างหลังหนึ่งที ตบเด็กคนนั้นร่วงลงไปในน้ำ ก่อนจะหันหน้าไปหัวเราะร่า “เจ้าลูกกระต่ายน้อยชอบเล่นน้ำก็ไปเล่นในน้ำซะ”
เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน แม้ว่าเด็กชายจะได้ขึ้นเขาตั้งแต่อายุน้อยๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้ ร่างของเขาจึงวาดเป็นวงเส้นโค้งอ้อมผ่านกอต้นอ้อต้นกกสีขาวหิมะกอใหญ่ร่วงตกลงไปในน้ำของท่าเรือท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้องมองมา
เจียงซ่างเจินหันมายิ้มเอ่ย “เกือบทำให้ข้าผู้อาวุโสตกใจตายแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องขอโทษ สามารถจ่ายเงินชดใช้ได้”
ชุยตงซานร้องหึหนึ่งที
เจียงซ่างเจินรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันใด “จ่ายเงินฟาดเคราะห์ จ่ายเงินฟาดเคราะห์”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งยื่นมือไปกดด้ามดาบของดาบอาคมที่พกไว้ตรงเอว ถามเสียงหนัก “เด็กแค่เล่นสนุก ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หากไม่เป็นเพราะบุรุษที่ถือร่มผู้นั้นเอ่ยสำเนียงที่มีเฉพาะของอุตรกุรุทวีป ป่านนี้เขาคงชักดาบออกจากฝักฟันฉับลงไปแล้ว
ถึงอย่างไรตนก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล
เรื่องไปถึงหูของภูเขาตะวันเที่ยง หรือต่อให้ลามไปถึงราชสำนักแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่กลัว มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายต้องชดใช้ผลการกระทำของตัวเองเท่านั้น
แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปไม่ห้ามปรามการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธและการประลองเวทของเทพเซียน แต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผู้คนเคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว จึงยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีทันใด
ชุยตงซานมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งเท้าเอว พูดอย่างมีเหตุมีผลเต็มเปี่ยม “ข้าผู้อาวุโสอายุไม่มาก ก็เป็นเด็กเหมือนกันนะ”
เจียงซ่างเจินยกนิ้วโป้งชี้ไปยังกระบี่ที่พกอยู่ด้านหลัง พ่นเสียงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “หากไปอยู่ที่บ้านเกิดของข้าผู้อาวุโส กล้าถามหมัดเช่นนี้ ป่านนี้เจ้าลูกกระต่ายนี่คงกลายเป็นศพนอนตัวแข็งไปแล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นิสัยสุขุมท่านหนึ่งรีบใช้เสียงในใจพูดกับทุกคนทันที “ฟังจากน้ำเสียงแล้วท่าจะเป็นผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปจริงๆ ส่วนจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
ทุกวันนี้อุตรกุรุทวีปคือทวีปพี่น้องของแจกันสมบัติทวีป ส่วนใบถงทวีปก็ถือได้แค่ว่าเป็นทวีปหลานเท่านั้น
ในน้ำของท่าเรือมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น แสงไฟสาดกระจายออกมาเหมือนสายฟ้า ประหนึ่งมังกรเพลิงพุ่งแหวกว่ายออกมาจากน้ำ
ถึงกับเป็นอาวุธวิเศษชั้นสูงที่มีแสงเรืองรองไหลเวียนวนชิ้นหนึ่ง ลักษณะเป็นเหล็กหมาดขนาดเล็ก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ ยาวหนึ่งฉื่อกว่าๆ แกะสลักเป็นรูปเก้ามังกร
ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเด็กชายคนนั้น คนยังไม่ทันปีนขึ้นฝั่งก็เรียกเหล็กหมาดเล็กออกมาแทงไปยังเด็กหนุ่มชุดสีหมึกที่ถือร่มบัวมรกตแล้ว
ทุกคนเห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะร่าเอ่ยประโยคว่า “มาได้ดี” แล้วก็พลันหุบร่มบัวมรกต สองมือกำด้ามร่มเอาไว้แน่น ประหนึ่งใช้สองมือถือกระบี่ แต่กลับใช้ท่วงท่าฟันดาบอาคมฟันลงไป ผลคือเพียงแค่ถูกเหล็กหมาดเล็กนั่นกระแทกชน เลือดลมของเด็กหนุ่มก็พลุ่งพล่าน จิตวิญญาณไม่มั่นคง หน้าแดงก่ำทันใด ได้แต่คำรามอย่างเดือดดาล กดลมปราณสู่จุดตันเถียน สองเท้าจมอยู่ในดินนิ่มที่ถูกน้ำฝนชะใส่ลึกชุ่นกว่า ยังคงถูกปลายแหลมของเหล็กหมาดทองสัมฤทธิ์ดันเข้ามาที่ตัวร่ม ร่างจึงถอยกรูดออกไปจั้งกว่าถึงจะหยุดยั้งเอาไว้ได้
เด็กคนนั้นยืนอยู่บนฝั่ง สองนิ้วทำมุทรา ในใจท่องคาถาอย่างว่องไว กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ปากท่องสองคำว่า “สูบน้ำ” โคจรปราณวิญญาณฟ้าดินในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต ระหว่างนิ้วมือกับเหล็กหมาดเหมือนมีเส้นด้ายสีทองเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน มังกรเก้าตัวที่ถูกแกะสลักไว้บนเหล็กหมาดขนาดเล็กอย่างงามประณีติเหมือนถูกแต้มนัยน์ตา พากันเลื้อยขยับ แต่ถึงอย่างไรเด็กชายก็ยังอายุน้อยเกินไป หล่อหลอมวัตถุได้ไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม ความเคลื่อนไหวจึงไม่ไวมากพอ เพิ่งจะอ้าปากสูบน้ำฝน เด็กหนุ่มชุดสีหมึกคนนั้นก็ค้อมเอวเบี่ยงตัว แล้วยังได้บุรุษชุดเขียวยื่นมือมาคว้าไหล่ พากระโดดออกไปสองสามทีเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ แล้วก็หนีไปทั้งอย่างนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่กล้าเดินบนถนนใหญ่ของท่าเรือ เลือกกระโดดเหยียบไปบนกอต้นกกต้นอ้อริมน้ำแทน เรือนกายเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง มองแล้วงดงามยิ่งนัก
เด็กชายไม่ยินดีจะปล่อยเจ้าตะพาบสองคนนั้นไป ขยับนิ้ว สายตาจ้องไปยังแผ่นหลังของคนทั้งสองเขม็ง พึมพำท่องคาถา “สายฟ้าแลบปลาบ มังกรดำเลื้อยลด น้ำตกหมื่นจั้ง!”
มังกรสีดำตัวเล็กยาวเท่านิ้วมื้อเก้าตัวล้อมพัวพันไปทั่วเหล็กหมาดทองสัมฤทธิ์ พ่นลูกธนูแหลมคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำฝนออกไปเก้าสาย คนทั้งสองที่เหยียบอยู่บนต้นกกหลบซ้ายหลบขวา สภาพทุลักทุเลยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!