เสิ่นเจี้ยวคานผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มือขวาของเฉินผิงอันคีบเงินร้อนน้อยขึ้นมา เตรียมจะพลิกไปอีกด้าน ปัญญาชนเครางามเพิ่งจะเหลือบเห็นตัวอักษร ‘ซู’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ให้กลัดกลุ้มยิ่งนัก หันหน้าไปมอง โบกมือเป็นพัลวัน “เจ้าโจรน้อยจอมเจ้าเล่ห์ กลัวเจ้าแล้ว ไปๆๆ พวกเราจากกันตรงนี้ อย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย”
เฉินผิงอันเก็บเงินเทพเซียนกลับลงไปอีกครั้ง เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “อาจารย์พ่อ คือคนที่ชอบแกะสลักหน้าผาไปทั่วสารทิศว่า ‘ได้รับคำสั่งให้มาเยือนที่นี่’ คนนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาหยุดอยู่ที่นี่ ข้ายังนึกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้จะอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วขว้างตำราใส่หน้าข้า”
โจวหมี่ลี่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จิตใจคนยากจะคาดเดา ยุทธภพอันตรายจริงๆ”
เฉินผิงอันตบหัวของหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ย “น้ำทะเลเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เมฆประหลาดแปรเปลี่ยน ยุทธภพอันตรายจริงๆ”
บนถนนมีแผงดูดวงอยู่แห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าผอมจนหนังหุ้มกระดูก ด้านหน้าแผงใช้ถ่านวาดครึ่งวงกลมเอาไว้ ลักษณะคล้ายพระจันทร์ครึ่งดวง เขาเพิ่งจะเก็บแผงพอดี เด็กๆ หลายคนที่คุ้นเคยกับพวกพ่อค้าที่มาตั้งแผงลอยกำลังเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน นักพรตเฒ่ายื่นมือไปตบบนแผงหนักๆ หนึ่งที ตวาดดุ พวกเด็กๆ ก็แตกฮือกันทันใด นักพรตเฒ่าเห็นเฉินผิงอันที่ผ่านทางมาก็รีบจับธงเอียงกะเท่เร่ข้างกายให้ตั้งตรงทันใด บนผืนธงเขียนประโยคว่า ‘อยากได้เคล็ดลับความเป็นอมตะ ก็ต้องผ่านด่านเซียนนี้ไปก่อน’ ทันใดนั้นเขาก็พลันตะเบ็งเสียงดังลั่น “สองหมื่นตำลึงทองไม่ซื้อทาง ถนนในตลาดยกให้เจ้า…”
คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสามจะเดินผ่านแผงไปโดยตรง ไม่เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังจงใจทำเป็นมองไม่เห็นอีกด้วย สุดท้ายเดินเข้าไปในร้านขายอาวุธที่อยู่ใกล้กับแผงของเขา นักพรตเฒ่าดึงสายตาที่มองตามตาปริบๆ กลับมา ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “คนหยาบ คนหยาบ ไม่รู้จักมหามรรคา”
ข้างแผงดูดวงยังมีแผงลอยเล็กๆ อีกหนึ่งแผง ด้านบนผืนผ้าวางขวดไหเก่าแก่ไว้บางส่วน มีชายฉกรรจ์ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงนอนหลับหัวห้อยอยู่ ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าเพื่อนบ้านตะโกนดังขนาดนั้นก็ยังไม่ทำให้เขาตื่นได้ รอกระทั่งนักพรตเฒ่าหันหน้ากลับมา แล้วจู่ๆ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าทึ่ม กิจการมาเยือนถึงที่แล้ว ตื่นเร็ว” ชายฉกรรจ์ก็พลันเงยหน้าขึ้น พบว่าแท้จริงแล้วไม่มีใครแวะมาที่ร้านก็หลับต่ออีกครั้ง นักพรตเฒ่ารู้สึกทนมองเจ้าตัวขี้เกียจผู้นี้ไม่ไหวจึงพ่นเสียงหัวเราะพรืด “ในอดีตน้องจิงมีความองอาจห้าวหาญถึงเพียงใด ทุกวันนี้กลับต้องกลายมาเป็นผ้าห่อบุญที่หลอกต้มคนอื่นแล้วก็ยังไม่อาจหาเงินมาได้เสียได้”
ชายฉกรรจ์เพียงแค่หลับตานิ่ง นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืนจากม้านั่งยาว ยกเท้าเตะโถเล็กชุบทองขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่ใกล้เท้าคว่ำไปใบหนึ่ง นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยันว่า “เจ้าบอกว่าหลุดมาจากในวัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนโง่เชื่อเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้าบอกว่าของเล่นชิ้นนี้คือเหมินไห่ (สมัยโบราณหมายถึงโถใหญ่ที่ใช้ในวัง มีหกชนิด) ที่เอาไว้เลี้ยงเจียวหลง ใครจะเชื่อ? โอ้โห ยังชุบทองด้วยหรือนี่ ไม่ได้แค่แปะทองสินะ ดูสินั่น ล่วงเกินแล้วๆ สีหลุดหมดแล้ว”
ชายฉกรรจ์เองก็นิสัยดียิ่ง เพียงแค่อ้อมเอวไปคว้าโถน้ำใบเล็กที่โดนเตะจนสีหลุดกลับมาตั้งวางให้ดีอีกครั้ง
นักพรตเฒ่าเตะโถเล็กจนพลิกคว่ำอีกรอบ
ชายฉกรรจ์ก็หยิบมาตั้งวางใหม่ให้ดี เพียงแต่วางไว้บนมุมผ้าที่ห่างจากนักพรตมาไกลหน่อย เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “คนบนโลกรู้จักแต่มรรคาจารย์เต๋าขี่วัวดำ ใครจะรู้จักเจ้ากัน? คนที่รู้จักเจ้าก็ไม่มีทางมาที่นี่ เจ้าเองก็ต้องนั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่นี่ทุกวันเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวยาว ถอนหายใจเฮือกๆ อันที่จริงถนนและตรอกเก่าแก่มากมายในเมืองก็ล้วนมีอายุพอๆ กับผู้เฒ่า ทว่าพวกมันกลับเริ่มค่อยๆ หายไปแล้ว
และเพื่อนบ้านที่ตั้งแผงอยู่ใกล้กันอย่างคู่ของพวกเขานี้ ไม่ว่าจะอย่างไร จะดีจะชั่วก็ยังคงอยู่ที่นี่ได้ คนหนึ่งเคยขี่วัวดำออกท่องไปทั่วหล้า พยายามตามหาภาพบรรพบุรุษของห้าขุนเขา คนหนึ่งเคยขี่ลาแก่ขากะเผลกอ่อนแรง ตัวโยกคลอนไปมาอยู่บนหลังลา มือกระบี่ที่มีหนวดม้วนงอ สะพายธนูคันใหญ่ กระบี่สามฉื่อและธนูหกชั่งล้วนสามารถทิ่มแทงเจียวในน้ำได้
เฉินผิงอันเข้ามาในร้านแล้วก็หยิบฝักดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา ชักดาบออกจากฝัก ตัวดาบแคบบาง คมกริบอย่างถึงที่สุด แกะสลักคำว่า ‘เสี่ยวเหมย’ เอาไว้ เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะหนึ่งที ตัวดาบสั่นแต่กลับไร้เสียง มีเพียงริ้วแสงบนตัวดาบเท่านั้นที่เหมือนลายน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก เฉินผิงอันส่ายหน้า ดาบเป็นดาบดี อีกทั้งยังเป็น ‘ดาบจริง’ เพียงเล่มเดียวในร้านแห่งนี้ด้วย เฉินผิงอันเสียดายก็แต่คำพูดระหว่างนักพรตเฒ่าและชายฉกรรจ์ร้านผ้าห่อบุญนั้นกลายเป็นเสียงที่อู้อี้ ได้ยินไม่ชัดเจน ฟ้าดินแห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว
เจ้าของร้านคือชายฉกรรจ์หุ่นหลังเสือเอวหมี ยิ้มเอ่ยว่า “ทั้งๆ ที่เป็นคนสะพายกระบี่ แต่กลับเข้ามาเลือกดาบในร้าน ไม่เข้าท่าเลย”
มีผู้เฒ่าชุดเขียวคนหนึ่งกำลังอ้อนวอนอย่างยากลำบาก “เทียบอักษรแผ่นนั้นของบรรพบุรุษบ้านข้าไม่อาจให้คนนอกเห็นได้จริงๆ ช่วยเห็นใจกันหน่อย ขายมันให้ข้าเถอะ”
ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองผู้เฒ่าคนนั้น คร้านจะพูดคุยด้วย
บนถนนมีเสียงเอะอะดังขึ้นมา เฉินผิงอันสอดดาบกลับใส่ฝัก วางกลับลงไปที่เดิม ถามชายฉกรรจ์ที่เป็นเจ้าของร้านว่า “ดาบนี้ขายอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มตอบ “หากคิดจะซื้อดาบ ย่อมได้ ไม่แพง แค่ต้องเอาน้ำบ๊วยของฉูโจวหนึ่งถ้วย ขิงขาวของถงหลิงครึ่งจิน รากบัวอ่อนตามฤดูกาลของทังซานอีกเล็กน้อยมาแลกก็ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอถามว่าของสามอย่างนี้อยู่ที่ใดหรือ?”
ชายฉกรรจ์ตอบ “อยู่ในนครแห่งอื่น”
บนถนนมีเสียงเอะอะอึกทึกดังขึ้น แล้วจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าม้า เป็นกองทหารม้าลาดตระเวนเมืองก่อนหน้านี้ที่คุ้มกันคนผู้หนึ่งมาส่งไว้ที่นอกร้านขายอาวุธ คือบัณฑิตท่าทางสง่างามคนหนึ่ง
บัณฑิตผู้นั้นเดินเข้ามาในร้าน ในมือถือกล่องไม้มาด้วยใบหนึ่ง พอเจอกับพวกกลุ่มของเฉินผิงอันก็มีท่าทีตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดปากพูดอะไร วางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะคิดเงิน พอเปิดออกแล้วก็คือน้ำบ๊วยหนึ่งถ้วย ขิงขาวครึ่งจินและรากบัวอ่อนสีขาวหิมะอีกสองสามราก
ชายฉกรรจ์เห็นแล้วถึงกับน้ำตาคลอ ไม่พูดไม่จาก็เดินอ้อมผ่านโต๊ะคิดเงินมา เอ่ยขออภัยเฉินผิงอันหนึ่งคำ แล้วหยิบดาบยาวที่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเหมย’ (คิ้วเล็ก) เล่มนั้นโยนให้กับบัณฑิตผู้นั้น
ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ขอเทียบอักษรมาจากเจ้าของร้านเอ่ยอย่างรันทด “เจ้านครเส้า มากวาดค้นที่ดินของพวกเราอีกแล้วหรือ เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสามนครตามใจชอบ แบบนี้ใช่ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่?”
บัณฑิตห้อยดาบไว้ตรงเอวโดยตรง แล้วถึงหันมายิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่า “ต่อให้เป็นข้า เข้าออกนครเปิ่นโม่รอบหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน”
บัณฑิตแซ่เส้าคิดแล้วก็เอ่ยกับเจ้าของร้านว่า “รบกวนหยิบเทียบไร้ตัวอักษรนั่นออกมาหน่อย ข้าจะเสริมให้เอง”
เจ้าของร้านหรี่ตาลง “เส้าเป่าเจวี้ยน เจ้าคิดดีแล้วหรือ ระวังจะสูญเสียตำแหน่งเจ้านครที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไปนะ”
บัณฑิตเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ชายฉกรรจ์จึงหยิบเทียบอักษรชิ้นหนึ่งออกมา ไม่มีตัวอักษร แต่กลับมีกลิ่นบุปผาอบอวล เห็นเพียงว่าตรงตราประทับเป็นคำว่าตำหนักจีซี
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง
เส้าเป่าเจวี้ยน เจ้านครของนครแห่งอื่น
น้ำบ๊วย ขิงขาวถงหลิงและรากบัวภูเขาทังซานของนครเปิ่นโม่
นี่หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดบนเรือข้ามฟากต้องมีนครอยู่อย่างน้อยสามแห่ง
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองมาทางเฉินผิงอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!