เด็กสาวคนนั้นเห็นว่าคนต่างถิ่นชุดเขียวคล้ายจะมีความเคลื่อนไหว เตรียมจะติดตามเด็กหนุ่มไปยังนครแห่งอื่น จึงรีบหันไปพูดอย่างขุ่นเคืองกับเด็กหนุ่มทันใด “เจ้าไม่รู้จักดูว่าใครมาก่อนมาหลังบ้างหรือ?”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน ด่ากราดออกมาโดยตรง “ฉินจื่อตู นังไพร่ชั้นต่ำ! พูดกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร ยังไม่รีบอุดปากกว้างๆ ของเจ้าไว้อีก?”
เด็กสาวที่ถูกเรียกชื่อโดยตรงอึ้งตะลึง แล้วยังถูกด่าว่าไพร่ชั้นต่ำต่อหน้าผู้คน บางทีอาจเพราะกริ่งเกรงเรื่องตัวตนของตัวเอง นางจึงไม่ได้ตอบโต้กลับคืน เพียงแค่หลุบตาลงต่ำ น้ำตาคลอเจียนจะหยด หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดหัวตา
เด็กหนุ่มคนนั้นลำพองใจยิ่งนัก โน้มน้าวให้เฉินผิงอันติดตามตนเองออกจากนครเถียวมู่ต่ออีกครั้ง “อาจารย์เฉิน อยู่ท่ามกลางกลุ่มสตรีน่าเบื่อเกินไป ไม่สง่างามมากพอ เจ้านครของข้ารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่ชอบพวกอยู่ท่ามกลางเสียงหัวร่อต่อกระซิก ไม่ชอบทำตัวเสเพลอยู่กับมวลบุปผาที่กลิ่นหอมโชยมาเหมือนถามกระบี่เช่นนี้ นี่จะไปเข้าท่าได้อย่างไร ดังนั้นอาจารย์เฉินรีบตามข้าจากไปโดยเร็วเถอะ เจ้านครของข้าจัดงานเลี้ยงรอต้อนรับอาจารย์เฉินไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีของขวัญหนักอีกชิ้นหนึ่งเตรียมไว้ให้เพิ่มเติมด้วย ถือเป็นค่าตอบแทนที่ท่านจะช่วยเพิ่มลวดลายตราประทับให้ครบถ้วน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ควรพูดถึงแม่นางปี้อวี้เช่นนี้”
การที่ไม่ได้รีบตอบรับคำเชิญของเด็กหนุ่มทันที เพราะเฉินผิงอันอยากจะเดินเที่ยวอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้สักหน่อย รวมไปถึงอยากจะเอ่ยขอบคุณคนเคราหยิกสักคำ แล้วยังมีชายฉกรรจ์ร้านขายอาวุธผู้นั้นด้วย ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินมาหน้าประตู ดูเหมือนเขาจะคอยจับสังเกต ‘เย่โหยว’ ที่อยู่ด้านหลังของตนตลอดเวลา แล้วก็เพราะอาหารรสเลิศของสถานที่ต่างๆ อย่างขิงถงหลิง รากบัวทังซาน อันที่จริงเฉินผิงอันจึงพอจะเดาสถานะของเถ้าแก่ร้านนั้นได้คร่าวๆ แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอาจารย์อู่ซงที่ป๋ายเหย่เคยพบเจอเมื่อครั้งขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนในอดีต ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดจะไปขอภาพควายภาพหนึ่งมาจากตู้ซิ่วไฉผู้นี้ จะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องคุยกันก่อนค่อยว่ากัน ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ แต่ขอแค่จับหัวของเส้นสายเส้นหนึ่งขึ้นมาได้ก็จะสบายขึ้นเยอะมาก
เด็กหนุ่มได้ยินเฉินผิงอันเรียกฉินจื่อตูว่า ‘ปี้อวี้’ เปิดโปงชื่อเล่นของนางด้วยคำพูดประโยคเดียว เขาก็คล้ายจะตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะอย่างเบิกบาน “ไม่คิดว่าอาจารย์เฉินจะรู้ประวัติความเป็นมาของนางไพร่ผู้นี้อยู่แล้ว หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าอาจารย์เฉินก็คงต้องเคยอ่าน ‘บทศึกษาหงฮุยเก๋อ’ ‘บันทึกแยนจือ’ ‘ชุดหนังสือเซียงเยี่ยน’ มาหมดแล้ว เซียนกระบี่อายุน้อยส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่เสียแรงที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มิน่าเล่าเจ้านครของข้าถึงได้มองอาจารย์เฉินแตกต่างไปจากผู้อื่น ให้เกียรติท่านเพียงคนเดียว หลี่สือหลางมองอาจารย์เฉินผิดไปอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจผิดคิดว่าท่านอาจารย์คือพวกคร่ำครึหัวโบราณที่ชอบทำอะไรตายตัว”
เฉินผิงอันรีบยิ้มอธิบายทันใด “มิกล้ารับ ข้าเพียงแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังโดยบังเอิญ อันที่จริงยังไม่เคยอ่านตำราทั้งสามเล่มมาก่อน”
ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึงตำราเล่มสุดท้าย เฉินผิงอันก็รีบทำมุทรากระบี่ใช้พายุปราณกระบี่สลายเสียงของเด็กหนุ่มไปในเสี้ยววินาที หลีกเลี่ยงไม่ให้เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยได้ยิน พ่อครัวเฒ่าซื้อตำรามาส่งเดช ช่างทำร้ายคนได้ลึกล้ำจริงๆ
ในเมื่อเฟิงจวินและแผงดูดวงล้วนไม่อยู่แล้ว เส้าเป่าเจวี้ยนก็จากไปแล้ว เผยเฉียนจึงให้หมี่ลี่น้อยอยู่ในตะกร้าไปก่อน นางเก็บกระบองยาวมา หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา แบกตะกร้าขึ้นหลังอีกครั้ง รอคอยอยู่ข้างกายเฉินผิงอันอย่างสงบ เส้นสายตาของเผยเฉียนไล่มองไปบนร่างของเด็กสาวที่ชื่อฉินจื่อตูมากหน่อย ก่อนที่แม่นางคนนี้จะออกจากบ้านต้องสิ้นเปลืองแรงใจไปไม่น้อยแน่ นางสวมชุดกระโปรงสีม่วง บนมวยผมเสียบดอกไม้สีม่วง ตรงเอวก็ผูกถุงหอมสีม่วงใบเล็กปักตัวอักษรสี่คำว่า ‘จวนเทพแยนจือ’ เด็กสาวประทินโฉมอย่างประณีติบรรจง แต้มหน้าผากเป็นจุดสีทองเล็กๆ ใบหน้าขาวใส สิ่งที่พบเห็นได้ยากก็คือเด็กสาวคนนี้ยังวาดเส้นสีขาวไว้ตรงจอนหูสองฝั่ง เป็นเหตุให้เด็กสาวที่เดิมทีใบหน้าค่อนข้างจะกลม เปลี่ยนมาเป็นหน้าเรียวขึ้นหลายส่วน
เผยเฉียนมองจนปากอ้าตาค้าง หากทุกครั้งที่เด็กสาวต้องออกจากบ้านแล้วต้องประทินโฉมเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ในบ้านตัวเองต้องใช้เวลาไปเท่าไร? ไม่กลัวว่าจะยุ่งยากหรือ?
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือเอ่ยเตือนให้เด็กหนุ่มผู้นี้ระวัง กลับกันยังขยับเท้าออกห่างจากเด็กหนุ่มที่ปากไร้หูรูดหลายก้าวในชั่วพริบตา หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย
แล้วก็จริงดังคาด เด็กสาวพลันเงยหน้าขึ้น ก้าวเร็วๆ มาประชิดตัว มือหนึ่งกระชากหูของเด็กหนุ่มแล้วดึงอย่างแรง กระชากจนเด็กหนุ่มคนนั้นร้องโอ๊ยเอียงหัวตามมา มืออีกข้างของเด็กสาวยกขึ้นข่วนหน้าเด็กหนุ่มเต็มแรง ปากด่าไปด้วยว่าใครให้เจ้าพูดว่าไพร่ชั้นต่ำ เด็กหนุ่มเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบ ยิ่งไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา ยกมือคว้ามวยผมของเด็กสาว เพียงไม่นานกุมารทองกุมารีหยกคู่หนึ่งที่มองจากใบหน้าแล้วน่าจะเป็นคนวัยเดียวกันก็กอดกันกลม พัวพัวตบตีกันอีนุงตุงนัง ถึงขั้นใช้ศอกถอง ใช้เข่ากระทุ้ง มองดูแล้วอุตลุดวุ่นวายยิ่ง
ภาพนี้ทำให้หมี่ลี่น้อยได้เปิดโลกกว้างแล้ว คนในท้องถิ่นพวกนี้ล้วนดุร้ายยิ่งนัก นิสัยไม่ค่อยดีกันเลยจริงๆ พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ข่วนหน้าจิกทึ้งกันแล้ว
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องห้าม เด็กหนุ่มเด็กสาวที่พัวพันอยู่ด้วยกันเหมือนตีกันจากฟ้าลงมายังพื้นดิน ล้มไปกองบนพื้นพร้อมกัน สุดท้ายเด็กหนุ่มใช้เท้าเหยียบบนหน้าเด็กสาว เด็กสาวก็เอาคืน เท้าหนึ่งเหยียบลงบนหน้าอกเด็กหนุ่ม อีกเท้าหนึ่งเตะเข้าที่เป้ากางเกงของเขา สุดท้ายทั้งสองฝ่ายพากันถอยกรูดไปด้านหลัง โชคดีที่ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้วิชาหมัดเท้าที่ไม่ได้ล้ำเลิศอะไร จึงไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงมากนัก เด็กสาวโผเผลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนร่าง เด็กหนุ่มเอามือหนึ่งกุมหน้า อีกมือหนึ่งกุมหน้าอก แยกเขี้ยวลุกขึ้นยืนโงนเงนได้แล้วก็จำต้องค้อมเอวกลับลงไปอีกครั้ง
เผยเฉียนเห็นว่าเด็กสาวคนนั้นกันคิ้วแล้วค่อยวาดคิ้วทับอีกที เวลานี้ถูกเด็กหนุ่มเตะจนขนคิ้วข้างหนึ่งหลุดหายไป ดวงหน้าที่ประทินโฉมมาอย่างงดงามดุจสีสันของดอกท้อเปลี่ยนเป็นลายพร้อยเละเทะไปหมด ดอกไม้สีม่วงที่นางเสียบไว้บนศีรษะก็ถูกเด็กหนุ่มขยี้แล้วโปรยลงพื้นไปแล้วก่อนหน้านี้ เวลานี้เด็กสาวยืนอยู่บนถนนจึงดูน่าตลกอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนถุงผ้าแพรใบเล็กที่ปักสี่คำว่า ‘จวนเทพแยนจือ’ นั้น ระหว่างที่พวกเขาโรมรันกันอีนุงตุงนัง ตัวเชือกก็คลายออก แมลงนูนเขียวทองตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าผลของต้นอวี๋ (ต้นเอม) ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กหนุ่มลุกขึ้นก็เห็นโอกาสจึงแอบใช้เท้าเหยียบมันไว้ใต้รองเท้า เพียงไม่นานเด็กสาวที่ชื่อเล่นคือปี้อวี้ก็ค้นพบว่าจักจั่นเขียวทองที่ตัวเองเลี้ยงไว้เพื่อความงดงามหายไป นางร้อนใจยิ่งนัก ชี้หน้าเด็กหนุ่มเอ่ยข่มขู่ “หลงปิน คืนจักจั่นเขียวทองข้ามา!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ดูท่าโชควาสนาอย่างหนึ่งจะเดินสวนไหล่ตนไปอีกแล้ว
ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป นักพรตไต้หยวนผู้ถวายงานราชวงศ์สกุลอวี๋เคยมอบของขวัญขอขมาให้เฉินผิงอันหนึ่งชิ้น ก้อนหมึกมีชื่อว่า ‘หมึกนักพรตเต๋าสนใต้ดวงจันทร์’ เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันยกให้คนอื่นไปแทน ว่ากันว่าทุกครั้งเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ ก้อนหมึกนั้นจะมีนักพรตน้อยตัวเล็กเหมือนแมลงวันเดินอยู่ เรียกตัวเองว่าทูตสนดำ ขุนนางภูตหมึก ภายหลังเฉินผิงอันสอบถามชุยตงซานถึงได้รู้ว่านักพรตน้อยที่เป็นหมึกโบราณซึ่งกลายมาเป็นภูตนั้น ดูเหมือนจะชื่อว่า ‘หลงปิน’ สถานที่ที่มันบรรลุมรรคาไม่ใช่ก้อนหมึกก้อนนั้น แต่เป็นตอนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่พอดี เพราะว่ามันชอบใช้หมึกโบราณล้ำค่าหายากบนโลกก้อนแล้วก้อนเล่ามาทำเป็น ‘ท่าเรือตระกูลเซียน’ ของตน เดินทางไปโน่นมานี่ไม่แน่นอน ร่องรอยไม่อยู่กับที่ หากไม่เป็นเพราะมีโชควาสนามาเยือน ต่อให้เซียนเหรินได้หมึกไปก็ยากจะหาร่องรอยได้พบ ถือเป็นการจำแลงของมหามรรคาที่เกิดจากโชคชะตาบุ๋นมารวมตัวกัน บรรลุมรรคาด้วยวิธีที่พอๆ กับคนจิ๋วควันธูป ก้อนเงิน ‘ตั๊กแตน’ และก้อนหมึก ‘ท่าเรือ’ ทุกก้อนที่หลงปินเคยไปหยุดพักมาก่อน ล้วนจะต้องมีปราณบุ๋นซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นตอนนั้นแม้แต่ชุยตงซานก็ยังเสียดาย แน่นอนว่าเฉินผิงอันยิ่งเสียดายมากกว่า เพราะหากนำของชิ้นนี้มอบให้กับหน่วนซู่น้อย เห็นได้ชัดว่าจะดีเยี่ยมที่สุด
บนเรือข้ามฟากมีโชควาสนาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าทุกจุดทุกตำแหน่งล้วนมีแต่กับดัก
“ของเล่นผุๆ ใครจะไปอยากได้ มอบให้เจ้าก็ได้” เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด ยกเท้าขึ้น จากนั้นใช้ปลายเท้าเกี่ยวจักจั่นเขียวทองขึ้นมาแล้วเตะไปทางเด็กสาว ฝ่ายหลังใช้สองมือรับไว้ เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าแพรด้วยความระมัดระวัง ใช้เชือกมัดไว้แน่น
เด็กสาวถาม “เซียนกระบี่ว่าอย่างไร? สรุปแล้วจะเขียนบท ‘สันดานเลวทราม’ ที่ไม่ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว แล้วค่อยถูกส่งออกไปนอกอาณาเขตอย่างมีมารยาท หรือว่านับแต่วันนี้ไปจะกลายเป็นศัตรูกับนครเถียวมู่ของข้า?”
เฉินผิงอันเอ่ยกับนาง “ข้าไม่เขียนอะไรทั้งนั้น แค่หวังว่าจะได้เที่ยวเล่นอยู่ที่นี่สักสองสามวัน เจ้านครบ้านเจ้าอยากไล่คนก็เชิญไล่ได้ตามสบาย หลี่สือหลางทำอะไรตามแต่ใจ มองข้าเป็นศัตรูก็ไม่เป็นไร เพราะข้าไม่ได้มองนครเถียวมู่เช่นนั้น”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “แขกชั่วร้ายมาเยือน ไม่รู้จักดีชั่ว น่ารำคาญ น่าหงุดหงิด”
แต่แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้มหวาน “คนหนุ่มอารมณ์ร้อน แต่ก็ถือว่าเป็นเซียนกระบี่ที่ใจกว้างไม่น้อย”
ประหนึ่งได้รับคำสั่ง นางจึงทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “รองเจ้านครเพิ่งจะได้ยินข่าวว่าเซียนกระบี่มาเยือน จึงต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อแก่เซียนกระบี่ เชิญพวกท่านเดินเที่ยวชมนครเถียวมู่อย่างวางใจ แต่มีเวลาจำกัดแค่สามวันเท่านั้น สามวันให้หลังหากเซียนกระบี่ยังหาวิธีไปเยือนนครแห่งอื่นไม่ได้ ก็จะโทษนครเถียวมู่ของพวกเราที่ทำตามกฎระเบียบไม่ได้แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!