อู๋ซวงเจี้ยงยกถ้วยชาลักษณะเรียบง่ายโบราณที่มีลวดลายเป็นลายจุดนกกระทาจีนในมือขึ้นมาจิบชาเบาๆ หนึ่งอึก มองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดราคามาได้เลย พูดมาให้ข้าฟังก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าละโมบ ข้าผู้แซ่อู๋กับคนรักก็มีแค่สองชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเปิดราคาสูงเทียมฟ้าอย่างไรก็ล้วนไม่มากเกินไป”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ฝืนบังคับซื้อขายไม่ใช่นิสัยของผู้สูงศักดิ์กระมัง?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “เป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงชีวิตและทรัพย์สิน ข้าจึงไม่อาจมัวมาสนใจเรื่องมาดแห่งเซียนอะไรอีกแล้ว”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจเอ่ย “ช่างจริงใจจริงๆ ถึงอย่างไรเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ คำพูดและการกระทำล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มอ่อน “ถูกพวกเจ้าฟันตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ต้องฟังคำพูดเหน็บแนมอีกแค่ไม่กี่คำก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก”
การช่วงชิงบนมหามรรคาจำเป็นต้องเป็นการช่วงชิงที่ตัดสินว่าเจ้าตายข้ารอด เจียงซ่างเจินโมโหไม่เบา จึงคิดจะลุกขึ้นร่ายเหตุผลสักสองสามประโยค แต่กลับถูกชุยตงซานใช้สองมือกดบ่าเอาไว้ ออกแรงกดเขาให้นั่งกลับลงไป พูดบ่นว่า “อะไรกัน อะไรกัน สู้ก็สู้ไม่ชนะ ประหยัดแรงไว้หน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวหากเจรจากันไม่สำเร็จ หน้าที่สำคัญที่ต้องโขกหัวขอร้องเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ยังต้องมอบให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเจ้านะ”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา ทายาที่เป็นสูตรลับของร้านยาตระกูลหยางลงบนสองมือ พันแผลอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงหยิบยันต์กระดูกขาวก่อเกิดเนื้อขึ้นมาหลายแผ่น สุดท้ายเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ขอผู้อาวุโสโปรดพลิกเปิดปฏิทินเหลืองสักหน่อย ฟังเสร็จแล้วผู้เยาว์ค่อยตัดสินใจอีกที”
อู๋ซวงเจี้ยงมองคนหนุ่มที่สีหน้าสงบนิ่งสุขุมอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ ยิ้มถามว่า “กระบี่สุดท้ายนั้นของเจ้าฟันออกมาอย่างไร?”
หากเปลี่ยนมาเป็นหนิงเหยาที่ออกกระบี่นั้น อู๋ซวงเจี้ยงคงไม่แปลกใจ แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ในมือถือกระบี่ยาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนแค่ครึ่งเล่ม แต่กลับสามารถฟันร่างจริงและกายธรรมคนฟ้าของตนให้แหลกสลายได้เลยหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ใช่กระบวนท่าชั้นยอดอะไร ก็แค่กระโดดทะยานไปข้างหน้า ออกกระบี่ฟันไปส่งเดช ทว่าใช้วิธีการโคจรที่มาจากปราณกระบี่สิบแปดหยุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็บวกวิชาหมัดอีกเล็กน้อย มีชื่อว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า”
อยู่กับอู๋ซวงเจี้ยงที่ไม่ว่าเรียนรู้เรื่องอะไรก็เป็นทุกเรื่อง คิดจะจงใจปิดบัง ไม่ได้มีความหมายเท่าใดนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สู้เปิดเผยอย่างจริงใจไปเลยจะดีกว่า
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มพลางพยักหน้ารับ ยกมือขึ้น สองนิ้วประกบกันแล้วปาดเบาๆ หนึ่งที บนโต๊ะปรากฏปราณกระบี่เมล็ดงาสิบแปดเมล็ด ไม่ได้เรียงตัวเป็นเส้นตรง ตำแหน่งที่หยุดลอยตัวอยู่สอดคล้องกับช่องโพรงลมปราณฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์สิบแปดแห่งพอดี ร้อยเรียงกันเป็นเส้น แสงกระบี่สว่างไสวน้อยๆ โต๊ะเหมือนผืนดินกว้างใหญ่ ปราณกระบี่คล้ายดวงดาว จึงเหมือนว่าอู๋ซวงเจี้ยงสร้างธารดวงดาวเล็กจิ๋วเส้นหนึ่งขึ้นมากลางอากาศ มืออีกข้างของอู๋ซวงเจี้ยงพลันกำเป็นหมัด ผลักออกไปช้าๆ ส่ายหน้าคล้ายไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก มีการเปลี่ยนวิถีโคจรอย่างเล็กละเอียดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายปล่อยหมัดหนึ่งออกไป กลมกลืนเป็นธรรมชาติ หลังจากที่ปราณกระบี่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นก็กลายมาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ หรือควรจะพูดว่าคือสิบแปดหมัดที่ทับซ้อนกันอย่างสมบูรณ์
อู๋ซวงเจี้ยงบิดหมุนข้อมือ เก็บ ‘ม้วนภาพ’ ที่เป็นทั้งวิชากระบี่และเป็นทั้งวิชาหมัดนี้กลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ ไม่ปิดบังสีหน้าชื่นชมของตัวเองแม้แต่น้อย พยักหน้ายิ้มเอ่ย “หมัดเป็นหมัดดี น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ไม่อาจเรียนรู้ได้ทั้งหมด ขาดจิตวิญญาณที่เป็นรากฐานส่วนหนึ่งไป”
อู๋ซวงเจี้ยงทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะคีบยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ผลักออกไปเบาๆ แผ่นยันต์ก็ลอยเข้าหาเฉินผิงอัน “ถือเสียว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ จากตำหนักสุ้ยฉู”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีความชอบไม่รับเงิน ผู้อาวุโสอาศัยความสามารถของตัวเองเรียนรู้วิชากระบี่และปณิธานหมัดไปได้ ผู้เยาว์จะฝืนใจยอมรับไว้ก็แล้วกัน”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นยันต์ร่างเบาไท่ชิงแผ่นหนึ่ง มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์วิเศษตะวันขาวลอยสูง หรือถูกพวกนักพรตเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวเรียกว่ายันต์สละศพบน เป็นผลงานที่ข้าภาคภูมิใจ มีต้นกำเนิดมาจากยันต์ไท่เสวียนชิงเซิงที่มรรคาจารย์เต๋าสร้างขึ้นด้วยตัวเอง มันกับยันต์ขวานหยกตำหนักดวงจันทร์ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นยันต์ใหญ่อย่างสมชื่อ”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ยังไม่สะทกสะท้าน ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม
ยันต์ตัวเบาลอยสูงนี้ หากการเจรจาการค้าในวันนี้สำเร็จลงด้วยดีในท้ายที่สุด อย่าว่าแต่แผ่นหนึ่งเลย ต่อให้อู๋ซวงเจี้ยงมอบมาให้ปึกใหญ่ เฉินผิงอันก็จะรับไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่อู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้นิสัยยากคาดเดา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ดีๆ เขาจะพลิกหน้าแตกหักกันหรือไม่ หากเล่นตุกติกกับยันต์แผ่นหนึ่ง แล้วตนรับไว้อย่างผึ่งผาย หากไม่เรียกว่าหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร
เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มยังคงไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น อู๋ซวงเจี้ยงก็ทั้งไม่มีโทสะ แล้วก็ไม่เก็บยันต์ที่ทำจาก ‘วัสดุที่มีรากฐานมาจากบทความคำเขียว’ นั้นมา ปล่อยให้มันลอยอยู่เหนือผิวโต๊ะเบื้องหน้าเฉินผิงอันเบาๆ อยู่อย่างนั้น
ชุยตงซานที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงซ่างเจินเขย่งปลายเท้า เพ่งสายตามองยันต์ล้ำค่าที่มีประกายแสงของวิเศษไหลรินวิบวับ วิชาการวาดยันต์สามารถแอบเรียนรู้มาได้หลายส่วน ทว่ากระดาษยันต์กลับยากที่จะแทนที่ได้ เพราะว่าวัสดุที่ใช้สร้างยันต์แผ่นนี้ดีมากและล้ำค่ามาก ไม่เพียงแต่มีมูลค่าควรเมือง หลักๆ แล้วยังมีราคาแต่ไร้ตลาด อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นถือเป็นของดีที่เซียนเหรินของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงเอามาใช้อัญเชิญเทพลงมาโดยเฉพาะ
อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้าไปมองเจ้าประมุข ‘ผู้เฒ่า’ ของสำนักกุยหยกที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวหิมะแล้วพูดกลั้วหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าและข้าต่างก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”
สตรีที่ทั้งสองฝ่ายรัก ล้วนไม่ใช่สตรีที่รูปโฉมงามล้ำในบรรดาสตรีบนภูเขาอะไร สำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาแล้ว ความงามแบบใดที่มีไม่ได้บ้างเล่า?
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นกุมหมัดแล้วเขย่าเบาๆ ยิ้มร่าหน้าเป็น “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
ตำแหน่งที่นั่งของคนห้าคนในห้องนี้ก็น่าสนใจอย่างมาก
อู่ซวงเจี้ยงนั่งหันหลังให้ประตู ยามอยู่บนโต๊ะสุราผู้ที่ได้นั่งหันหน้าเข้าหาประตูใหญ่คือผู้สูงศักดิ์ที่สุด
ในบรรดาพวกกลุ่มของเฉินผิงอัน หลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงนำเข้ามานั่งในห้องก่อน แม้ว่าเฉินผิงอันจะขอบเขตต่ำสุด ขณะเดียวกันยังบาดเจ็บไม่เบา เป็นรองแค่ชุยตงซานที่คราบร่างพังทลายเท่านั้น แต่กลับยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวฝั่งซ้ายมือของอู๋ซวงเจี้ยง ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งจึงอยู่ใกล้กับอู๋ซวงเจี้ยงที่สุด
หนิงเหยาเลือกนั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันคล้ายผู้ปกป้องมรรคาของเขา
เจียงซ่างเจินแย่งนั่งฝั่งขวามือของอู๋ซวงเจี้ยง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยกตำแหน่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามของอู๋ซวงเจี้ยงให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่บาดเจ็บหนักที่สุด ถือว่าอยู่ห่างจากอู๋ซวงเจี้ยงมากที่สุด เพียงแต่ว่าชุยตงซานกลับไม่ได้นั่งลง แต่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงซ่างเจิน
นอกจากอู๋ซวงเจี้ยงที่เป็นคนนอกแล้ว
คนสี่คนในห้อง อันที่จริงต่างก็คิดพิจารณาเพื่อคนอื่นๆ ทั้งสิ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!