กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 782

ท่ามกลางแสงสนธยา อยู่ดีๆ อู๋ซวงเจี้ยงก็เอ่ยว่าต้องไปแล้ว

โยนกระบี่ยาวเย่โหยวให้เฉินผิงอัน ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถหลอมมันสำเร็จแล้ว

เฉินผิงอันรับเย่โหยวมา แข็งใจทำหน้าหนาขอเทียบอักษรแผ่นหนึ่งมาจากอู๋ซวงเจี้ยง

ในใต้หล้ามืดสลัว ผู้คนล้วนให้การยอมรับว่าตัวอักษรที่ผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูเขียนสามารถขับไล่ผีได้ แขวนตัวอักษรเหมือนแขวนยันต์ ถึงขั้นที่ว่ายังใช้ได้ผลดียิ่งกว่า แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อยากอาศัยตัวอักษรของอู๋ซวงเจี้ยงมาทำเรื่องจำพวกขับไล่ผีปัดเป่าเสนียดจัญไรอะไร นั่นเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรฟ้ามากเกินไป เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกจากการเดินทางมาเยือนเรือราตรี วันหน้าแขวนไว้ในห้องหนังสือของภูเขาลั่วพั่วบ้านตน หากมีแขกมาเยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงต้องถามว่าเป็นของจริงหรือของปลอมไม่ใช่หรือ?

อู๋ซวงเจี้ยงตอบตกลง เฉินผิงอันจึงหยิบพู่กัน กระดาษและหมึกออกมาในห้องโถงใหญ่ หมี่ลี่น้อยเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปูกระดาษเซวียนจื่อ ค้อมตัวลงบนโต๊ะฝนหมึกให้

อู๋ซวงเจี้ยงมองพู่กันและก้อนหมึกที่เป็นวัตถุธรรมดาทั่วไปล่างภูเขาก็คล้ายว่าจะไม่มีอารมณ์เขียนตัวอักษร เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “บนร่างของข้ามีแต่เจ้าพวกนี้แล้ว ผู้อาวุโสช่วยถูไถใช้ไปก่อนได้ไหม?”

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ภูเขาลั่วพั่วขายหน้าเช่นนี้ได้ แต่ข้าผู้แซ่อู๋กลับขายหน้าไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด”

เฉินผิงอันรีบพูด “ถ้าอย่างนั้นให้ผู้เยาว์ไปขอสี่สมบัติในห้องหนังสือมาจากหลี่สือหลางก่อนดีไหม?”

อู๋ซวงเจี้ยงเหลือบตามองสีท้องฟ้าด้านนอก ส่ายหน้าเอ่ย “จะให้เสี่ยวป๋ายรอนานไม่ได้”

หมี่ลี่น้อยที่ยังคงฝนก้อนหมึกร้อนใจจนยกมือเกาแก้ม เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์อู๋ อาจารย์อู๋ เขียนตัวอักษรง่ายๆ แค่ไม่กี่ตัวได้หรือไม่? พวกเราอยู่นอกบ้าน เดินทางท่องยุทธภพ พิถีพิถันไม่สู้ถูไถให้ผ่านไปนะ”

อู๋ซวงเจี้ยงคิดแล้วก็พยักหน้า “มีเหตุผล”

อู๋ซวงเจี้ยงหยิบข้าวของในห้องหนังสือที่พกติดตัวออกมาจากชายแขนเสื้อของตัวเอง กางกระดาษจดหมายไฉ่อวิ๋นแผ่นหนึ่ง หยิบพู่กันที่ด้ามทำมาจากไผ่เขียวออกมาด้ามหนึ่ง บนพู่กันแกะสลักตัวอักษรตัวเล็กหนึ่งแถว ‘ในใจมีไผ่เขียวขจีหมื่นลี้’ แท่นฝนหมึกอันหนึ่ง ด้านข้างของแท่นฝนหมึกสลักคำว่าถ้ำเทพเซียน บนแท่นฝนหมึกโบราณมีชือหลงเล็กจิ๋วคู่หนึ่งนอนขดกาย อู๋ซวงเจี้ยงใช้ด้ามพู่กันเคาะหัวชือหลงเบาๆ ชือหลงสองตัวก็ลืมตาสีทองคู่นั้นขึ้นทันที ด้านในแท่นฝนหมึกโบราณพลันมีริ้วคลื่นสีทองชั้นหนึ่งกระเพื่อมขึ้น อู๋ซวงเจี้ยงจุ่มน้ำหมึกแล้วก็ใช้ปลายพู่กันที่เป็นสีเหลืองทองวาดเทียบอักษรลายมือแบบหวัดที่พอจะถือว่าเป็น ‘เทียบ ณ ขณะนั้น’ ขึ้นมา

“ณ ขณะนั้นมิอาจได้ดังใจหวัง ไม่เชื่อว่าบนโลกจะมีคนที่เสียใจจนผมขาว ยามดึกดวงตะวันลอยกลางนภา ทางที่ดีอย่านั่งมองจันทร์อย่างเดียวดาย นอกหน้าต่างดอกเหมยผลิบานชั่วข้ามคืน สงสัยว่าคนที่คิดถึงมายืนอยู่ตรงหน้า”

สุดท้ายบนเทียบอักษรทั้งสามแผ่นนี้ก็แยกกันประทับตราประทับส่วนตัวของอู่ซวงเจี้ยงสองแผ่น และตราลงนามหนึ่งแผ่น

บัณฑิตบนหลังม้า บัญชาทัพนับล้าน มนุษย์และตำราล้วนเสื่อมชราไปตามเวลา ใจเหมือนดอกบัวเขียวบนโลก

เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านข้าง สองมือถูกันเบาๆ เอ่ยอย่างสะท้อนใจไม่หยุด “ผู้อาวุโสมีตัวอักษรที่ดีขนาดนี้ ไม่เขียนกลอนคู่อีกสักบทก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ เรื่องดีต้องมากันเป็นคู่ ต้องพิถีพิถันสักหน่อย”

อู๋ซวงเจี้ยงคลี่ยิ้ม บนโต๊ะปรากฎกระดาษเขียนกลอนคู่สองแผ่นที่ทำจากวัสดุว่านเหนียนหงของตำหนักสุ้ยฉู บนกลอนคู่ทุกแผ่นจะต้องมีภาพมังกรสีทองขดตัวอยู่เจ็ดจุด คล้ายกับกำลังรอคอยเตรียมพร้อมอยู่เสมอ รอแค่ให้จรดพู่กันเขียนตัวอักษรเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังหยิบกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ หลังเปิดออกแล้วก็เห็นว่ามีตลับกระเบื้องเล็กๆ เจ็ดสีวางเรียงกันอยู่ คือโคลนเจ็ดสมบัติที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าของตำหนักสุ้ยฉู อวี๋โฉวราชาบนภูเขาเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งมาจากซากปรักจวนเซียน จึงย้ายภูเขาโบราณลูกนั้นมาที่สำนัก หลังจากที่ภูเขาหยั่งรากลงดินแล้วภาพปรากฎการณ์ผิดปกติก็พลันเกิดขึ้น มักจะมีทัศนียภาพที่ผงชาดเหมือนเมฆหลากสีล่องลอยเกิดขึ้นเป็นประจำ หลังจากเซียนเหรินหลอมเม็ดทรายที่ถูกลมพัดปลิวปราย รวบรวมครบเจ็ดสีก็จะกลายเป็นโคลนเจ็ดสมบัติ มีคำกล่าวว่าโคลนหลากสีหนึ่งตำลึงเงินฝนธัญพืชหนึ่งจิน

เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขียนกลอนคู่คงไม่มีข้อพิถีพิถันเรื่องตัวอักษรเจ็ดสีด้วยกระมัง? เพียงแต่ว่าเขาไม่กล้าถามมาก กลัวว่าหากถามไป เป็ดที่ต้มสุกแล้วอาจจะบินหนีไปได้

อู๋ซวงเจี้ยงเองก็ไม่อธิบายอะไร ใช้พู่กันแต้มชาดสมบัติเจ็ดสีเขียนอักษรลงบนกระดาษกลอนคู่สองแผ่น แผ่นละเจ็ดคำ ใช้พู่กันเก่ากองกันเป็นภูเขาก็ยังไม่เสียดาย ผู้ที่ฝึกเขียนพู่กันจีนต้องอ่านตำราให้มาก อ่านตำรามากตัวอักษรจึงจะมีท่วงทำนอง

อู่ซวงเจี้ยงเป่าลมใส่กลอนคู่เบาๆ เจียวหลงสีทองสิบสี่ตัวของกลอนคู่หนึ่งคู่เหมือนถูกแต้มนัยน์ตา จึงเลื้อยช้าๆ เป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วหยุดนิ่งไม่ขยับอีก

บทกวีของซูจื่อ คำกลอนของอู๋ซวงเจี้ยง

ถือโอกาสเอาเปรียบคนหนุ่มข้างกายที่ขอร้องเขาไปเล็กน้อย

เฉินผิงอันที่ต้องกลายมาเป็นหลานชายเปล่าๆ ครั้งหนึ่งไม่ขัดเคืองใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีเรื่องราวเช่นนั้นอยู่ด้วย

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ก็ถือเสียว่าเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้สำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วก่อตั้งสำเร็จ สามารถเอาไปแขวนเป็นคำขวัญหน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ได้ ตัวอักษรบนคำขวัญจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กลางวันตัวอักษรดำ กลางคืนตัวอักษรขาว ขาวดำแบ่งแยกชัดเจน ส่วนระดับขั้นน่ะหรือ ไม่ต่ำ หากแขวนไว้บนประตูของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่วก็มากพอจะให้พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างซานจวินเว่ยป้อหรือพวกภูตผีทั้งหลายหยุดเท้าอยู่นอกประตู ไม่กล้าก้าวข้ามเส้นไปแม้แต่ครึ่งก้าว แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ อีกทั้งความผิดนั้นยังยากจะแก้ไข เจ้าจำเป็นต้องปลดกลอนคู่นี้ลง”

เฉินผิงอันถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะเจ้าตำหนักสุ้ยฉูที่ยิ้มเอ่ยประโยคว่า ‘เคยมีหวังที่จะได้หลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตหนึ่งถึงสองตัว’ ผู้นี้

อู๋ซวงเจี้ยงโบกมือ เพียงแค่เก็บตราประทับพวกนั้นมา หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับแม่นางน้อยชุดดำ “หมี่ลี่น้อย ของใช้ในห้องหนังสือที่เหลือบนโต๊ะล้วนมอบให้เจ้าทั้งหมด ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนปลาตากแห้งและเมล็ดแตงของเจ้าแล้วกัน ส่วนวันหน้าเจ้าจะเอาไปมอบให้ใคร ข้าก็ไม่มีความเห็น”

โจวหมี่ลี่รีบโบกมืออย่างแรง “ไม่ได้นะ ไม่ได้นะ ปลาตากแห้งและเมล็ดแตงล้วนไม่เก็บเงิน”

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ หันกายจากไป ก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตู หมี่ลี่น้อยวิ่งตะบึงออกไป ไล่ตามอาจารย์อู๋ผู้นั้น ควักปลาตากแห้งสองถุงออกมาจากในชายแขนเสื้อ เกาแก้มพูดด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “อาจารย์อู๋ อาจารย์อู๋ เหลือแค่นี้แล้ว ล้วนยกให้ท่านก็แล้วกัน อย่ารังเกียจว่าน้อยเลยนะ หากรังเกียจจริงๆ ก็ไม่เป็นไร วันหน้าไปเป็นแขกที่บ้านข้ารับรองว่ามีมากพอเลยล่ะ”

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มรับปลาลำธารตากแห้งสองถุงนั้นมา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ แล้วจากไป เพียงแค่ก้าวเดียวของอู๋ซวงเจี้ยงก็ไปจากนครเถียวมู่ได้แล้ว

หมี่ลี่น้อยโบกมือ ยืนมองอยู่นอกประตูที่เดิมนานมาก นางถอนหายใจ รู้สึกอิจฉาในตบะของอาจารย์อู๋ผู้นี้เล็กน้อย ไม่ต้องทะยานลมเดินทางไกล สวบทีเดียวก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว แบบนั้นจะไม่ใช่ขอบเขตเทพเซียนที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นโอสถทองหรอกหรือ?! อ๋า คิดอะไรน่ะ เซียนดินจะพอได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจเป็นขอบเขตหยกดิบในตำราก็ได้นะ เฮ้อ ขอบเขตสูงขนาดนี้ สูงเหมือนเว่ยซานจวินแล้ว อาจารย์อู๋อยู่ที่บ้านเกิดต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีกี่ครั้งกันนะ? มิน่าเล่ายามมอบของขวัญให้คนอื่นจึงไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้ง ใจกว้าง มือเติบ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ควรต้องเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยท่าทางซื่อๆ ที่เจอกันโดยบังเอิญที่ทะเลสาบคนใบ้ผู้นั้น นิสัยไม่เลวร้าย ก็แค่ว่าผมยาวความรู้สั้น เงินฝนธัญพืชเหรียญเดียวก็ขายภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ได้แล้ว

หมี่ลี่น้อยเดินอาดๆ กลับมานั่งข้างโต๊ะใหญ่ เฉินผิงอันเก็บเทียบตัวอักษรและกลอนคู่ใส่ลงไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น ยิ้มเอ่ยกับหมี่ลี่น้อยว่า “แท่นฝนหมึกโบราณ พู่กันไผ่เขียว โคลนเจ็ดสมบัติ ของสามอย่างนี้ล้วนให้เผยเฉียนเก็บรักษาไว้ให้เจ้าก่อน”

หมี่ลี่น้อยอึ้งตะลึงไป แม่นางน้อยเหลือบมองข้าวของที่อยู่บนโต๊ะ “แต่ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้วนะว่าจะมอบให้ใครบ้าง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!