เด็กชายผมขาวหัวเราะหึหึ “มีสิ ต้องมีแน่นอน รีบเอาสมบัติก้นกรุพวกนั้นออกมาเร็วเข้า”
โจวหมี่ลี่ยกสองแขนกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากมีข้าก็จะเลี้ยงปลาผักดองเจ้า! ปลาผักดองอร่อยไหม? ไม่อร่อยที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบกิน ในเมื่อไม่มีใครกินปลาผักดอง เลี้ยงให้คนอื่นกินก็ไม่มีใครกิน ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่มีแล้วไงล่ะ”
เฉินผิงอันยื่นมือมากดหน้าผาก ช่างเป็นคำพูดที่มีเหตุผลจริงๆ ลำบากหมี่ลี่น้อยแล้ว…
หนิงเหยากระดกมุมปาก
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้าอย่างอ่อนใจ
เผยเฉียนจึงเอ่ยกับโจวหมี่ลี่ว่า “เอาออกมาเถอะ”
หมี่ลี่น้อยร้อนใจขึ้นมาครามครัน รีบหันมาขยิบตาให้เผยเฉียน ตนอุตส่าห์เก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี ยังไม่ทันต่อสู้ก็พ่ายแพ้ไปก่อนแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เผยเฉียนพยักหน้า แม่นางน้อยชุดดำก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทันใด ไปที่ห้องของเผยเฉียนและตนเอง หยิบเอาแกนม้วนภาพออกมาจากในหีบไม้ไผ่เขียว วิ่งตะบึงกลับมา เม้มปากแน่น ไม่รีบร้อนวางลงบนโตะ หมี่ลี่น้อยเพียงแค่ถือประคองแกนม้วนภาพเอาไว้ ใบหน้าเคร่งขรึมมองไปยังเจ้าขุนเขาคนดี ราวกับกำลังพูดว่าข้าจะมอบให้จริงๆ แล้วนะ ถึงเวลานั้นฮูหยินเจ้าขุนเขาว่าอะไรก็โทษข้าไม่ได้แล้วนะ
เฉินผิงอันมองลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนแล้วบ่นว่า “ล้วนมอบให้เจ้าไปหมดแล้ว มีอะไรให้ต้องเก็บซ่อนอีกเล่า”
เผยเฉียนยิ้มพลางพยักหน้ารับ จากนั้นมองไปยังเด็กชายผมขาวตัวการร้ายผู้นั้น
เฉินผิงอันยื่นสมุดที่ชายเคราหยิกมอบให้ส่งให้กับหนิงเหยา
หนิงเหยารับมาพลิกเปิดง่ายๆ ก็ค้นพบว่าโชควาสนาทุกครั้งคล้ายเป็นการทายคำปริศนา คำศัพท์บนสมุดก็คล้ายท่าเรือตระกูลเซียนแห่งแล้วแห่งเล่า มีชื่อของท่าเรือบอกไว้ แต่กลับไม่บอกคนอ่านว่าควรจะเดินไปยังท่าเรือแห่งใด
เด็กชายผมขาวมองแกนม้วนภาพบนโต๊ะ แกนทำจากหยกขาว ด้านนอกยังแปะกระดาษแผ่นเล็กไว้หนึ่งแผ่น ตัวอักษรพอจะถือว่างดงามได้อย่างถูไถ เนื้อหาที่เขียนคุยโวไร้ความละอาย บอกว่าจะสอนให้สตรีทั่วทั้งใต้หล้ารู้จักหวีผมประทินโฉม
หลังจากเปิดออกก็เป็นภาพของสาวงามทั้งหลายที่วาดขนคิ้ว มวยผมแตกต่างกัน ทรงคิ้วยวนยางเอย ลูบเมฆาเอย ต่าวยวิน (วิธีการเขียนคิ้วอย่างหนึ่งของสตรีสมัยโบราณ เน้นตรงหัวเข้มตรงปลายค่อยๆ อ่อนลง) เอย ทรงผมเซียนบินเอย ทรงมวยวิญญาณงูเอย ทรงมวยย้อนเอย แล้วยังมีตัวอักษรเขียนคำอธิบายเอาไว้ด้วย สาวงามทั้งหมดยี่สิบสี่คน เด็กชายผมขาวไล่มองไปทีละคนพลางจุ๊ปากทอดถอนใจพูดไม่หยุดไปด้วย “ดีๆๆ แม้ภูเขาวสันต์จะเล็ก แต่ก็ยังก่อกำเนิดเมฆได้…รอยขวานตำหนักดวงจันทร์ซ่อมแล้วหายไป ถึงได้ไปปรากฏอยู่บนคิ้วสาวงาม…เซียนบิน เซียนบิน บินลงตรงหน้าจักรพรรดิ…มารดาข้า ยังคงเป็นประโยคนี้ที่ดี เป็นประโยคนี้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด หันมาเห็นท่านอยู่หลังม่าน ท่านอยากโอบกอด กลับเหมือนควันจางหาย…”
เด็กชายผมขาวเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อบรรพบุรุษอิ่นกวานเชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษร ก็ไม่สู้คัดลอกลายคิ้วแบบต่างๆ ลงไปบนกระดาษจดหมาย วันหน้าหากพวกคู่รักบนภูเขาใช้ห่านหงส์ส่งจดหมายหรือใช้กระบี่บินส่งข่าวอะไร คนทั่วทั้งใต้หลาไพศาลก็ต้องมีถึงครึ่งหนึ่งที่จะใช้กระดาษจดหมายที่มาจากภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแน่นอน! ก็เพราะจะได้สอดคล้องกับประโยคที่ว่า ‘หลางจวิน (คำที่ภรรยาใช้เรียกสามีของตน) ไกลห่างหมื่นลี้เห็นลายคิ้ว เหมือนพบพานกันหน้าบุปผาอีกครา’ ไงล่ะ ข้ารู้สึกว่าทำได้ ต้องทำได้แน่นอน เงินทองต้องไหลมาเทมาแน่ๆ!”
เฉินผิงอันชมเชยด้วยคำหนึ่งว่า “ไสหัวไป!”
เงินจากสตรีที่ผิดต่อมโนธรรมในใจเช่นนี้ ต้องเป็นจูเหลี่ยนหรือไม่ก็หมี่อวี้ถึงเหมาะสมที่จะทำ
เด็กชายผมขาวทำหน้าเสียใจ ช่างทำลายขวัญกำลังใจกันเหลือเกิน
หยิบเอากิ่งเหมยแห้งเหี่ยวมัดสุดท้ายนั่นขึ้นมา มันชั่งน้ำหนักอยู่สองสามทีก็ถามอย่างสงสัยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน นี่คือของเล่นอะไร?! พวกเราเก็บของผุพังมาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันโยนสมุดเล่มนั้นให้เด็กชายผมขาว มันเปิดไปเจอหน้าที่เป็นรายการของกิ่งเหมยก็ค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นเบาะแสสองเส้นสายที่ต่างก็มีโชควาสนาทั้งคู่ สามารถเลือกหนึ่งในนั้นมาได้ เบาะแสเส้นหนึ่งในนั้นคือตำหนักซ่างหยาง เหมยจิง ‘บทเจ้าหนัน’ กลางเจียงหลาง คนเมาสระมังกร รองเท้าประดับมุกอะไรนั่น
ส่วนอีกเส้นหนึ่งคือร้านหนังสือ ศพ แขกที่มาเยือนในหน้าร้อนของใต้หล้า ฝูผิงเซวียน
เด็กชายผมขาวเห็นแล้วก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด ถึงอย่างไรมันก็มาจากใต้หล้ามืดสลัว เห็นอักษรพวกนี้แล้วก็มึนงงไปอย่างสิ้นเชิง ปิดสมุดเล่มเล็กลง พูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “บรรพบุรุษอิ่นกวาน มามัวเปลืองแรงเช่นนี้ทำไม ไม่สู้พวกเราแย่งชิงมาซึ่งๆ หน้าเลยไม่ดีกว่าหรือ? หากถูกคนจับได้คาหนังคาเขาก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นบรรพบุรุษอิ่นกวานแค่เผ่นหนีไปก็พอ ทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว จะตีจะด่า จะฟันจะหั่น ข้าน้อยจะแบกรับไว้ทั้งหมดเอง!”
หนิงเหยาถามอย่างใคร่รู้ “กิ่งเหมยแห้งนี้คืออะไร?”
เฉินผิงอันอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักซ่างหยาง ฉายาว่าเหมยจิงนี้พูดถึงสนมคนหนึ่ง นางมีน้องชายชื่อว่าเจียงไฉ่ฉิน คนในตระกูลเป็นหมอกันมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนคนเมาสระมังกรนั้นกลับพูดถึงความคิดที่แตกต่างกันของอ๋องเจ้าเมืองสองคนที่คนหนึ่งเมาคนหนึ่งตื่นมีสติ เอาเป็นว่าวกไปวนมา สุดท้ายโชควาสนาที่ได้ไป เกินครึ่งก็คือของที่จับต้องได้บางอย่างที่ได้รับมอบมาจากเทพีบุปผาอีเยว่แห่งพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ไม่อย่างนั้นก็จะมีความเกี่ยวข้องกับถัวเหยียนฮูหยินของสวนดอกเหมยภูเขาห้อยหัว ดังนั้นจึงไม่ได้มีความหมายอะไร”
“แต่เบาะแสอีกเส้นหนึ่ง ข้ากลับสนใจอย่างมาก เพราะข้ามีใจที่เห็นแก่ตัว หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ คือต้องไปร้านหนังสือสวนเจี้ยจื่อของนครเถียวมู่ก่อน เพราะหลี่สือหลางเชี่ยวชาญการทำหน้าต่างดอกเหมยอย่างมาก ในบท ‘ส่วนห้องนั่งเล่น’ หลี่สือหลางก็ยิ่งกล่าวว่าสิ่งนี้คือ ‘ผลงานที่ดีที่สุดในชีวิต’ ดังนั้นต่อจากนี้เกรงว่าคงต้องซื้อ ‘วิชาวาดภาพ’ ที่เป็นฉบับจัดพิมพ์ฉบับแรกเล่มหนึ่งมาเป็นสะพานเชื่อม ไปหาหวังไก้พ่อค้าหนังสือที่หาตัวได้ยากคนนั้น และคนผู้นี้ก็เคยมีฉายาว่า ‘แขกผู้มาเยือนในหน้าร้อนของใต้หล้า หวังอันเจี๋ย’ ถึงได้ไปสนิทสนมกับหวังซือสหายของเขา และชื่อเดิมของคนผู้นี้คือหวังซือ (ศพ/ซาก ออกเสียงซือเหมือนกัน แต่คนละตัวอักษรกับชื่อแรก) เชี่ยวชาญการทำตราประทับและวาดภาพบุปผาไร้กระดูก (วิธีการวาดดอกไม้อย่างหนึ่งในสมัยโบราณ คือการใช้สีวาดเป็นรูปดอกไม้โดยไม่ใช้หมึกดำวาดลายเส้นแบ่งกลีบดอกไม้) ดังนั้นนี่จึงเกี่ยวพันไปถึงอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่ข้านับถือเลื่อมใสอย่างยิ่ง เขาเชี่ยวชาญการวาดดอกเหมย ฝีมือเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า และเขาก็เป็นเจ้าของเรือนดอกเหมยและเรือน้อยฝูผิงเสวียนพอดี ไม่เพียงเท่านี้ ยังเล่าลือกันว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ยังเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในการแกะสลักตราประทับหินอีกด้วย มีโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบเช่นนี้ ข้าหรือจะยอมพลาด จะต้องไปเยี่ยมเยือนอาจารย์ผู้เฒ่าให้จงได้ หากมีโชควาสนาอะไรจริงๆ ข้าก็สามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นตราประทับชิ้นหนึ่งจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าได้”
กล่าวมาถึงตรงนี้สีหน้าของเฉินผิงอันก็สดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง เหมือนตอนก่อนหน้านั้นที่เอ่ยเรียก ‘หลี่สือหลาง’ เป็นครั้งแรก
ก็เหมือนอย่างเจียงซ่างเจินที่ยามอยู่บนเรือราตรีลำนี้ก็มีคนที่อยากพบเจอ เช่นฝนโปรยลมแรง เช่นบนหาบของคนขายดอกไม้ เช่นจอกเหล้าลึกเหล้าสีอำพันรสร้อนแรง เช่นเพิ่งจะหายจากหว่างคิ้ว แต่กลับไปพัวพันอยู่ในใจ เช่นคนรอคอยอย่างยาวนานแต่ก็ยังมิอาจได้พานพบ เช่นคนหลังม่านที่ผอมบางกว่าบุปผาเหลือง
อันที่จริงคนโบราณอริยะปราชญ์ในตำราที่เฉินผิงอันอยากพานพบกลับมีมากยิ่งกว่า
สำหรับความสามารถในการไขปริศนาของเฉินผิงอัน หนิงเหยาเคยชินมานานแล้ว
พูดถึงแค่ว่าโชควาสนากับผู้อาวุโสของเฉินผิงอันนั้นได้มาอย่างไร ก็ได้มาอย่างนี้นั่นเอง
เผยเฉียนก็ยิ่งทำสีหน้าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
ส่วนโจวหมี่ลี่ฟังแล้วก็ยังงงอยู่ แต่ขอแค่เจ้าขุนเขาคนดีไม่ประลองบทกวีกับผู้อื่น ทุกเรื่องก็ล้วนเก่งกาจ!
มีเพียงเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นที่ฟังประโยคซึ่ง ‘เกี่ยวพันเชื่อมโยง’ ‘สืบสาวเบาะแส’ และ ‘แวะเวียนไหลรื่น’ พวกนี้ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ถึงกับเอ่ยชมจากใจจริงว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน เรือราตรีลำนี้ควรจะให้ท่านเป็นเจ้าของเรือที่ควบคุมเรือได้นะ!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังห่างชั้นอีกไกลนัก ก็แค่ชั้นวางหนังสือสองขาเท่านั้น” (เปรียบเปรยถึงคนที่อ่านตำรามามาก แต่ยังไม่เชี่ยวชาญการนำความรู้ในหนังสือมาปรับใช้)
ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกตัวเอง แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เพียงแค่นครเถียวมู่แห่งเดียวของเรือราตรีก็ทำให้เฉินผิงอันทึ่งมากแล้ว หากไม่เป็นเพราะมิตรหรือศัตรูยากจะแยกแยะ อีกทั้งยังมีภาระติดตัว เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาจริงๆ ที่จะเดินเล่นไปตามสิบสองนครบนเรือข้ามฟากลำนี้ให้ครบถ้วน ต่อให้ต้องเสียเวลาสองสามปีไปอย่างเปล่าประโยชน์ก็ไม่เสียดายเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!