กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 782

ตรงริมตลิ่งของแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในช่วงน้ำแห้งขอด พวกเขาได้เห็นหน้าผาแกะสลักใต้น้ำที่โผล่ออกมาพอดี เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่โบราณ วังมังกรตั้งอยู่ในจุดลึก

ในร้านเหล้าแห่งหนึ่งได้เจอกับคนหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นเด็กหนุ่มเหนือคน กำลังยกพู่กันเขียนตัวอักษรลงบนกำแพง และยังมีลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พึมพำแผ่วเบาว่า อยากถามว่ากระบี่เก่ายามยากจนนั้นอยู่ที่ใด ด้านนอกร้านมีชายร่างสูงใหญ่ที่หน้าอกมันเลื่อมคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองไกลๆ ไปยังเด็กสาวร่าเริงคนหนึ่งที่เขย่งปลายเท้าหมุนตัวเหวี่ยงกระโปรงเบาๆ คิ้วตาของนางเรียวบาง บุรุษรู้สึกว่าปีนี้ก็คือนางแล้ว ไม่เสียแรงที่ตนขายตำราที่มีมากมายถึงสี่แสนสี่หมื่นตัวอักษรไป ทั้งในตำราและนอกตำราล้วนมีสาวงามดุจหยก

เด็กชายผมขาวที่กำลังตบโต๊ะโหวกเหวกว่าจะดื่มสุราชั้นดีปิดปากฉับทันที

เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินออกมานอกร้านเหล้า แหงนหน้ามองม่านฟ้า

ตรงสระบัวของนครหรงเม่าแห่งนั้น คนสองคนที่ไปเยือนนครเซิงเซ่อมาก่อนได้แหวกพันธนาการภูเขาสายน้ำออก แล้วมาปรากฎตัวในที่แห่งนี้โดยตรง

อู๋ซวงเจี้ยง ข้างกายคือเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัวคนนั้น

ในศาลา สิงกวานนั่งอยู่เพียงลำพัง

ตู้ซานอินลูกศิษย์ผู้สืบทอดและสาวใช้จี๋ชิงต่างก็ไม่อยู่ที่นี่

ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่จะกำลังรอคอยผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จากตำหนักสุ้ยฉูผู้นี้อยู่

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวป๋าย เจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนเถอะ”

ป๋ายลั่วคนเฝ้าปีตำหนักสุ้ยฉูพยักหน้ายิ้มรับ “ใต้เท้าสิงกวานไม่ได้มีฟ้าดินเล็กมากมายขนาดนั้นมาคอยช่วยปกปิดขอบเขตสิบสี่ให้เจ้าหรอกนะ”

อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “ก็แค่ต่อสู้กับสิงกวานเท่านั้น ไม่ใช่อิ่นกวาน ไม่จำเป็นต้องใช้ขอบเขตสิบสี่”

ป๋ายลั่วจากไปแล้ว

อู๋ซวงเจี้ยงก็เอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้าไปเบื้องหน้า กระบี่เซียนจำลองสี่เล่มพากันออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “บุปผาผลิบานในกรง”

วิชาอภินิหารกระบี่จำลองนกในกรง วิชาอภินิหารกระบี่จำลองจันทร์ในบ่อ บวกกับคาถาคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’

ระหว่างฟ้าดินล้วนมีแต่อู๋ซวงเจี้ยง ล้วนมีแต่กระบี่จำลองกระบี่เซียน

ส่วนเหตุใดวันนี้ต้องมาตีกัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง ตอนที่คู่รักในใจของอู๋ซวงเจี้ยงอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าจะถูกสิงกวานผู้นี้ใช้กระบี่บินไล่ฆ่าอยู่เป็นประจำ

ครู่หนึ่งต่อมา

เรือราตรีถูกแสงกระบี่ฟันออกเป็นสองส่วน

เวลาเดียวกันนั้นในใจของเฉินผิงอันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ช่วยมาที่ศาลบุ๋นสักรอบได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ใช่หลี่เซิ่งหรือไม่?”

หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว เฉินผิงอันก็ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “รบกวนหลี่เซิ่งแล้ว”

……

ตอนนั้นหลังจากที่อาเหลียงไปจากลานกว้างศาลบุ๋นก็คล้ายว่าจะกลายร่างเป็นรุ้งยาวเดินทางไกล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแอบไปเยือนพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในสวนกงเต๋อ พูดดีก็แล้วพูดขู่ก็แล้ว จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องกินน้ำแกงปิดประตูจากอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชา แต่สุดท้ายก็ยังต้องเอาคุณความชอบครั้งหนึ่งไปแลกเปลี่ยนอยู่ดี ถึงได้พบกับจอมยุทธเคราดกผู้นั้น บอกว่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม แต่กลับไม่มีตราผนึกค่ายกลใดๆ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีใครมาควบคุมดูแล เป็นเพียงแค่พื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่งเท่านั้น ภูเขาเขียวน้ำใส หลิวชากำลังนั่งยองอยู่ริมน้ำ ในมือถือคันเบ็ดตกปลา

อาเหลียงเดินมาอยู่ข้างกายหลิวชา ไม่พูดอะไร หลิวชาก็ไม่เปิดปาก อาเหลียงทอดถอนใจอยู่พักหนึ่งก็ส่ายหน้า ขยับไปอยู่ด้านหลังหลิวชาแล้วถีบเข้าที่ก้นของมือกระบี่ผู้นี้ด้วยแรงที่ไม่เบา หลิวชาเกือบจะหน้าทิ่ม เพียงแต่ว่ายังคงใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถือคันเบ็ด มืออีกข้างยันพื้น ไม่ถึงกับหน้าคะมำ กลับมานั่งยองเหมือนเดิมอีกครั้ง บนใบหน้าของชายฉกรรจ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แม้แต่น้อย

อาเหลียงยืนท่าไก่ทองขาเดียว ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้มือขยี้ปลายเท้า โอดครวญไม่หยุดว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนที่ก้นแข็งปานเหล็กแบบนี้ได้

กระโดดดึ๋งๆ ขาเดียวมาอยู่ข้างกายหลิวชา นั่งแปะลงกับพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ เด็ดหญ้าต้นหนึ่งมาปัดเศษดินออกแล้วคาบไว้ในปาก เคี้ยวต้นหญ้าช้าๆ พูดเสียงอู้อี้ว่า “พี่หลิว ทางฝั่งศาลบุ๋นว่าอย่างไร?”

หลิวชาเอ่ย “หลี่เซิ่งแค่บอกให้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้พูดเรื่องอื่น”

“สามารถออกกระบี่ให้ป๋ายเหย่ได้ ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

“แม่ทัพผู้พ่ายแพ้มิกล้าเอ่ยถ้อยคำห้าวหาญ”

เกราะทองทวีปเคยมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ฉายม้วนภาพเดียวซ้ำไปซ้ำมา ก็คือภาพที่หลิวชาเงื้อกระบี่ฟันป๋ายเหย่

ถูกพวกสอดรู้สอดเห็นใช้เวทลับบนภูเขาคัดลอกเอาไว้ ดังนั้นทุกครั้งที่ม้วนภาพเปิดออก รอกระทั่งมือกระบี่เคราดกปรากฎตัว ก่อนที่จะปล่อยกระบี่นั้นออกไป คนที่มองดูอยู่ก็มักจะอดตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงไม่ได้ หลิวชา!

นานวันเข้า ‘หลิวชา’ ที่เดิมทีเป็นแค่ชื่อจึงค่อยๆ กลายมาเป็นคำกล่าวที่มีความหมายถึงความทึ่งตะลึง คล้ายคำพูดติดปาก อักษรสองคำ คำพูดคำเดียว แต่กลับซุกซ่อนความหมายไว้มากมาย

ส่วนเวทกระบี่ของตัวหลิวชาเอง โดยเฉพาะบทกลอนทั้งหลายของเขา กลับกลายเป็นว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบชื่อที่เป็นดั่งฟ้าผ่าสะเทือนหูนี้ได้ติด ถึงขั้นที่ว่าทุกวันนี้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สองคำว่าหลิวชานี้ยังมีแนวโน้มว่าแม้แต่เด็ก สตรีและคนชราล่างภูเขาต่างก็รับรู้กันหมดแล้ว

เวลานี้อาเหลียงยกสองมือกุมหัว ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง พูดเสียงเบาว่า “หากรู้แต่แรกว่าจะมีเรื่องแบบนี้ ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าฆ่าเจ้าให้ตายไปเลยยังดีกว่า”

นี่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หลิวชาใช้กระบี่สังหารป๋ายเหย่ แต่เป็นที่ริมกุยซวี ถูกเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ขัดขวางเอาไว้

และเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็ถูกชะตากับอาเหลียงอย่างมาก แน่นอนว่าเรื่องของการถูกชะตานี้ ก็อาจเป็นแค่อาเหลียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น

หลิวชาเอ่ยว่า “อย่าเอาเรื่องการแลกชีวิตมาพูดเสียน่าฟังขนาดนั้น”

จับคู่เข่นฆ่ากับอาเหลียง จุดจบย่อมหนีไม่พ้นต้องแลกชีวิตกัน

อาเหลียงยกขาไขว่ห้างแล้วแกว่งเบาๆ “ชั่วชีวิตนี้ข้ามีสหายรักอยู่สามคน ล้วนเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ยากทั้งสิ้น คนหนึ่งคือซิ่วไฉเฒ่า ในท้องเต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ จึงจำต้องยกย่องชื่นชม”

“คนหนึ่งคือเฉินผิงอัน คนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพง คนหนึ่งหมอบอยู่ใต้ภูเขา ได้แต่มองสบตากันไกลๆ ชะตากรรมน่าสงสารเหมือนกันเลย”

“นอกจากนั้นก็เป็นเจ้าแล้ว พวกเราทั้งสองต่างก็ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน”

หลิวชาเอ่ย “พูดจบแล้ว?”

อาเหลียงกล่าว “เจ้ายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!