กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 783

“เห็นดีในตัวเฉินผิงอันขนาดนี้เลยหรือ?”

“ข้าแค่เห็นดีในตัวอู๋ซวงเจี้ยงทุกคน”

อู๋ซวงเจี้ยงพลันหัวเราะ คล้ายนึกถึงเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ป๋ายลั่วสงสัยเล็กน้อย

“คือผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาที่เชิญตัวจางเถียวเสีย ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าใครเป็นคนเชิญเฉินผิงอัน?”

“หนึ่งหลักสองรอง หนึ่งในสามเจ้าลัทธิศาลบุ๋นงั้นหรือ? หรือว่าจะเป็นอาจารย์ต่งที่มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมที่สุดกับเหวินเซิ่ง?”

อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ

ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ท่านนี้ขี่ปลาอ๋าวเดินทางไกลไประหว่างฟ้าดิน

สิ่งที่เขามองเห็นก็คือสิ่งที่คู่รักในใจจะได้เห็นในอนาคต

อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลังแล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ ในใจยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า

ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง (หรือหากแปลตรงตัวก็คือเต๋าสูงหนึ่งฉื่อ มารสูงหนึ่งจั้ง)

……

อุตรกุรุทวีป ยอดเขาพาตี้

ในที่สุดจางซานเฟิงก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรได้สำเร็จ กำลังจะฝ่าทะลุขอบเขตออกจากด่าน

นักพรตหนุ่มผู้นี้ยังต้องการเวลาอีกสองสามชั่วยามเพื่อทำให้ขอบเขตมั่นคง

อาจารย์ของเขาที่พิทักษ์มรรคาให้เขาอยู่นอกถ้ำจวนเซียนพึมพำเสียงเบาว่า “วิชามังกรจำศีลวิชาหนึ่ง อันดับแรกใจหลับก่อน แล้วค่อยตาหลับ จากนั้นจึงเป็นวิญญาณหลับ การนอนหลับก็คือการกลับสู่รากใหญ่ การทำสมาธิคือการกลับสู่รากเล็ก ระหว่างที่หายใจนั่งสมาธิสามารถรวบรวมดวงจิตให้กลายเป็นเมล็ดงาหนึ่งเมล็ด ก็คือการกลับสู่รากบน นี่ก็คือสรรพสิ่งที่มีมากมายหลายหลาก ต่างก็ต้องกลับคืนสู่รากฐานต้นกำเนิดเดิมของตัวเอง…”

ฮว่อหลงเจินเหรินขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ป๋ายอวิ๋น เถาซานสองสาย หยวนจื่อเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน ศิษย์พี่ทั้งหลายเหล่านี้ รวมไปถึงเจ้ายอดเขาคนใหม่ของสายไท่เสีย ต่างก็พิทักษ์มรรคาให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งอยู่นอกถ้ำ…

พวกเขาเอาโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งมาตั้งวางไว้นานแล้ว บนโต๊ะมีสุรา มีกับแกล้ม มีผลไม้สดตระกูลเซียนถาดใหญ่ รอคอยข่าวดีอยู่ตรงนี้อย่างสงบ

ศิษย์พี่สายเถาซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์น้องเล็กฝ่าขอบเขตได้ไม่ธรรมดา ไม่สามัญเลยจริงๆ ภาพบรรยากาศมากมายนับพันหมื่น น่าชื่นชม น่ายินดี”

แต่ในความเป็นจริงแล้วการฝ่าทะลุขอบเขตของจางซานเฟิงไม่มีภาพบรรยากาศใดๆ ให้พูดถึงเลย มีเพียงแค่ความลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น

เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ถึงอย่างไรความองอาจหล่อเหลาของศิษย์น้องเล็กเจ้าก็เหนือกว่าเฉินผิงอันไประดับหนึ่ง นี่ไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธ”

ศิษย์พี่สายป๋ายอวิ๋นบ่นว่า “อาจารย์ เรื่องจริงที่เห็นกันได้ชัดเจนเช่นนี้ พูดออกมาจากปากก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”

เดิมทีหยวนหลิงเตี้ยนคิดอยากจะพูดคล้อยตามอาจารย์สักสองสามคำ แต่กลับถูกศิษย์พี่ชิงพูดตัดหน้าไปก่อน มาลองคิดอีกทีก็รู้สึกว่ายังคงเป็นคำพูดประโยคนี้ของศิษย์พี่ที่แสดงให้เห็นว่าตบะสูงยิ่งกว่า

เจินเหรินผู้เฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ “ก็จริงนะ”

“ศิษย์น้องเล็กที่อยู่บนเส้นทางการฝึกตนสามารถลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง ต่อสู้ได้อย่างมั่นคง จิตแห่งมรรคาใสกระจ่างมาโดยตลอด นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

เจินเหรินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็พยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ

หยวนหลิงเตี้ยนอยากจะพูดว่าเป็นเพราะอาจารย์สอนได้ดี

คิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์พี่เอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า “อันที่จริงความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของศิษย์น้องเล็กยังคงเป็นสายตาในการเลือกอาจารย์ อาจารย์ โปรดอภัยที่ศิษย์พูดจาไม่เคารพ แล้วก็เป็นเพราะว่าอาจารย์โชคดีถึงได้รับซานเฟิงมาเป็นลูกศิษย์ได้”

หยวนหลิงเตี้ยนหมดคำจะกล่าวทันใด

เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “มีอะไรก็พูดอย่างนั้นเถอะ เพราะเป็นเช่นนี้จริง”

เจ้าหมอนั่นหยิบจอกเหล้าที่ว่างเปล่าขึ้นมา “ล่วงเกินอาจารย์แล้ว ศิษย์ต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”

เจินเหรินผู้เฒ่าผลักเหล้าชิงเสินกาหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองออกไป “จอกเดียวไม่พอ ลงโทษตัวเองสามจอก”

หยวนหลิงเตี้ยนจึงคล้ายคนนอกที่มาร่วมวงเพื่อให้ครบจำนวนคนเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูดแม้แต่น้อย

มารดามันเถอะ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็คงต้องถ่อมตัวขอความรู้จากเฉินผิงอันมาสักหน่อยแล้ว

บนภูเขาลั่วพั่ว ขนบธรรมเนียมไม่เป็นรองยอดเขาพาตี้เลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่เจ้าขุนเขาไปจนถึงนักเรียนถึงลูกศิษย์ แล้วก็ไปจนถึงผู้ถวายงาน เค่อชิง แต่ละคนพูดเก่งไม่แพ้กัน

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ต้องรีบไปเยือนศาลบุ๋นแล้ว ครั้งนี้คงไม่พาซานเฟิงไปด้วยแล้ว คนสนิทมีเยอะเกินไป ง่ายที่จะเผยพิรุธ พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องปกป้องเขาให้ดี”

ทุกคนพากันลุกขึ้นตาม ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าส่งอาจารย์เดินทางไกลไปยังแผ่นดินกลาง

ฮว่อหลงเจินเหรินเหล่ตามองหยวนหลิงเตี้ยนที่ทำตัวเหมือนคนใบ้ “หมายถึงเจ้านั่นแหละ!”

หยวนหลิงเตี้ยนอับจนคำพูด

ร่างของฮว่อหลงเจินเหรินเปล่งวูบหนึ่งทีก็ข้ามทวีปเดินทางไกล ช่วยไม่ได้ ภูเขายากจน ซื้อเรือข้ามฟากข้ามทวีปไม่ไหว ก็เลยได้แต่อาศัยตบะน้อยนิดแค่นี้แล้ว

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จวนอริยะแห่งหนึ่ง

ทายาทรุ่นหลังสายหนึ่งของอริยะได้พักอยู่ที่นี่สืบต่อกันมาหลายรุ่น

จวนหย่าเซิ่งแห่งนี้กินอาณาบริเวณหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าไร่ มีห้องสี่ร้อยกว่าห้อง

ที่พักสร้างขึ้นติดกับศาล ด้านข้างจวนก็คือศาลหย่าเซิ่งที่ควันธูปโชติช่วง

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งทะยานลมมาพลิ้วกายลงหน้าประตูเมืองที่ตั้งของจวน แล้วเลือกเดินเท้าต่อไป

ผู้ดูแลเฒ่าคนหนึ่งของจวนมารออยู่ล่างบันไดจวนนานมากแล้ว พอเห็นชายฉกรรจ์คนนั้นก็รีบเดินเร็วๆ ก้าวไปหา

คนทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน ประตูบานใหญ่ทาสีน้ำมันสีดำขอบแดง ฝังเลื่อมรูปปั้นซวนหนี (หรือพญาสิงห์ สัตว์ในตำนานจีน เป็นบุตรตัวที่ห้าในบรรดาเก้าบุตรของมังกร) เหนือประตูบานใหญ่แขวนกรอบป้ายพื้นสีฟ้าตัวอักษรสีทองคำว่า ‘จวนหย่าเซิ่ง’

เขียนด้วยลายมือของหลี่เซิ่ง

อ้อมผ่านกำแพงบังตาสีขาวหิมะไป ประตูชั้นที่สองก็คือประตูอี๋เหมิน สองข้างประตูมีภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสแปะอยู่ฝั่งละสองภาพ ล้วนมีความสูงเท่าตัวคน คือสี่ในสิบปราชญ์ของศาลบู๊ผู้มีคุณูปการไร้ข้อด่างพร้อย

ชายฉกรรจ์ที่ค่อนข้างเงียบขรึมเดินเข้ามาจากประตูเย่เหมินพร้อมกับพ่อบ้านผู้เฒ่า เดินผ่านภาพแขวนของหย่าเซิ่งภาพหนึ่ง ด้านข้างสองฝั่งเป็นคำกลอนคู่ ‘หลักแห่งการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์คือหยินและหยาง หลักแห่งการวางตัวเป็นคนคือจิตเมตตาและคุณธรรม’

กลางลานบ้านขนาดใหญ่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าอยู่ต้นหนึ่ง พุ่มใบเขียวชอุ่ม และยังมีแท่นสี่เหลี่ยมโล่งกว้างสูงกว่าลานบ้านอยู่แห่งหนึ่ง สองด้านมีตานฉือ (พื้นที่ว่างโล่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางขั้นบันไดแดงที่ทอดไปสู่ตำหนักใหญ่ พื้นที่ว่างนี้มักจะแกะสลักเป็นรูปมงคล) ที่ตั้งวางเสาหินขุยหลงและอิฐเขียวสลักรูปบุปผาเป็นกำแพงล้อมป้องกันเอาไว้ ตรงหัวมุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีนาฬิกาแดด ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้มีเครื่องชั่งเจียเลี่ยง ตรงกลางคือห้องโถงใหญ่ห้าเสา แล้วก็เป็น ‘ห้องโถงใหญ่’ ของจวนหย่าเซิ่งด้วย กรอบป้ายที่แขวนหน้าโถงคือ ‘กฎระเบียบเจ็ดบท’ ตัวอักษรสีทองขอบเป็นลายมังกร แน่นอนว่ายังมีกลอนคำขวัญอยู่ด้วย

ด้านหลังโถงรองคือโถงสาม เป็นสถานที่ ‘รวมตัว’ ยามที่หย่าเซิ่งจัดการกิจธุระภายในตระกูล

ชายฉกรรจ์ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แหงนหน้ามองกลอนคู่บทนั้น การที่เขาหยุดเท้ายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะถูกใจคำขวัญนี้มากที่สุดจากในบรรดากลอนคู่หลายสิบบทของจวน แต่เป็นเพราะตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากศาลบรรพชนของตระกูลแล้ว ก็เป็นที่แห่งนี้ที่เขาถูกลงโทษมากที่สุด เนื้อความในคำขวัญบทล่างก็คือ ชื่อเสียงของตระกูลยังคงเป็นการอ่านตำรา

ขยับถัดต่อไปจากนั้นก็คือเรือนพักฝ่ายในของจวนอริยะแห่งนี้แล้ว ดังนั้นฝั่งขวาของประตูใหญ่บานนี้จึงมีหินน้ำไหลเผยให้เห็นด้านนอกกำแพง เพราะว่าเหล่าสตรีของตระกูลที่พักอยู่เรือนฝ่ายใน ยามที่ต้องใช้น้ำมักจะต้องให้คนตักน้ำเอาน้ำเทราดหินน้ำไหลจากตรงจุดนี้ และอีกฝั่งหนึ่งก็จะมีสาวใช้มาคอยรับน้ำไป

ชายฉกรรจ์ที่นามว่า ‘อาเหลียง’ เลื่องลือระบือไกลไปหลายใต้หล้ายิ่งกว่าชื่อจริงของตัวเองผู้นี้ตบแขนพ่อบ้านผู้เฒ่า ยิ้มพูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามประโยคก็เดินก้าวเข้าไปด้านในเพียงลำพัง

ระหว่างที่เดินมาเหล่าลูกหลานเด็กรุ่นหลังของจวนหย่าเซิ่งที่พบเห็นชายฉกรรจ์ผู้นี้จะต้องหยุดเดินทันที แล้วประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม อาเหลียงเองก็ประสานมือคารวะกลับไปทุกคน บ้างก็สอบถาม บ้างก็ให้กำลังใจสองสามประโยค ยกตัวอย่างเช่นถามว่าศึกษาหาความรู้ไปถึงไหนแล้ว

อาเหลียงเข้าไปในเรือนชั้นใน ไม่ได้ไปยังที่พัก แต่เดินผ่านระเบียงตรงไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังสุด มีพุ่มดอกไม้ที่เรียกภาษาบ้านๆ ว่าข้าวต้าม่าย (ข้าวบาร์เลย์) สุก แต่แท้จริงแล้วมันมีชื่อที่ไพเราะอย่างมาก ฉัตรทอง

เคยมีเด็กคนหนึ่ง หนังสือก็อ่าน แต่ชอบฝึกกระบี่มากกว่า มักจะมาถามกระบี่กับกิ่งไม้และพุ่มฉัตรทองอยู่ที่นี่

ปีนั้นไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจวนอริยะที่กฎระเบียบเข้มงวดที่สุดแห่งนี้ ในกาลข้างหน้าจะมีมือกระบี่คนหนึ่งชื่ออาเหลียงที่ออกจากบ้านเดินทางไกลอยู่ตลอด ไม่ค่อยชอบกลับบ้านเท่าใดนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!