กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 783

ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี

แม่นางหน้ากลมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา สายตามองตรงไม่เหลือบไปทางอื่น มองไปยังลำคลองหลงซวีที่อยู่ห่างไกลออกไป ร้องเรียกว่านี่เบาๆ หนึ่งที ถือว่าเป็นการทักทายแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างหันหน้ามามองทันที ยิ้มกว้างเจิดจ้า “มีเรื่องอะไรหรือ? ขอแค่แม่นางอวี๋บอกมา ต่อให้ต้องลุยทะเลเพลิง ข้าน้อยก็ยินดีทำให้ไม่มีเกี่ยงงอน!”

แม่นางชุดผ้าฝ้ายที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ถามชวนคุยว่า “ตำหนักคางคกหักกิ่งกุ้ย รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอะไร?”

หลิวเสี้ยนหยางกึ่งนั่งยองค้อมเอวไปจับเก้าอี้ไม้ไผ่ ขยับทั้งตัวเองและเก้าอี้ไปทางอวี๋เชี่ยนเยว่ ไม่คิดจะได้คืบแล้วเอาศอกมากเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการล่วงเกินสาวงาม เขาหัวเราะร่าตอบว่า “ก็อวยพรให้สอบติดในการสอบเคอจวี่อย่างไรล่ะ แม่นางอวี๋ ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวจริงๆ นะ บนภูเขาลั่วพั่วของเจ้าตะพาบน้อยเฉินผิงอันมีบัณฑิตคนหนึ่งชื่อว่าเฉาฉิงหล่างอยู่ อายุไม่มาก แต่เป็นคนจริงจังอย่างมาก ในอดีตตอนที่อยู่พื้นที่มงคลบ้านเกิด อายุอยู่ในวัยเด็กหนุ่มก็สอบได้อันดับหนึ่งในสามการสอบติดๆ กันแล้ว! พอมาอยู่ที่นี่ก็ยังร้ายกาจอยู่เหมือนเดิม เมื่อหลายปีก่อนเฉาฉิงหล่างก็เข้าเมืองหลวงไปสอบ แล้วก็สอบติดเป็นปั้งเหยี่ยน ปั้งเหยี่ยนของราชวงศ์ต้าหลีเชียวนะ! ก็คือปั้งเหยี่ยนที่บุกผ่านเส้นทางสายเลือดท่ามกลางเมล็ดพันธ์บัณฑิตของแจกันสมบัติทั้งทวีปมาได้ น้ำหนักนี้ จุ๊ๆ …”

เซอเยว่อดทนฟังหลิวเสี้ยนหยางพูดจาเหลวไหลไร้แก่นสารอยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม? ฟังแล้วก็ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย เจ้าจะคุยโวไปเพื่ออะไรกันแน่?”

แต่การพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางนั้นมีดีอยู่อย่างหนึ่ง เจ้าหมอนี่กล้าด่าเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วผู้นั้นที่สุดแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางเหลือบมองแม่นางอวี๋ จากนั้นกะพริบตาปริบๆ เห็นว่าดูท่าแม่นางอวี๋จะฟังไม่เข้าใจจริงๆ หลิวเสี้ยนหยางก็ได้แต่กระแอมหนึ่งที แล้วเริ่มอธิบายถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ “บอกตามตรง ความสามารถในการสอบเคอจวี่ของเฉาฉิงหล่างนั้น ข้าไม่กล้าพูดมาก แต่อย่างน้อยก็มีคุณความชอบของข้าอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่ข้าแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่วจะต้องพูดคุยถึงประสบการณ์จากการศึกษาหาความรู้กับเจ้าเด็กนี่อยู่เสมอ แม่นางอวี๋ เจ้าเองก็รู้ว่า หากพูดถึงการออกเดินทางหมื่นลี้ ข้าก็แค่ด้อยกว่าเจ้าตะพาบน้อยนั่นเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากจะพูดถึงการอ่านตำราอริยะปราชญ์หมื่นเล่มล่ะก็ เหอะ ข้าคืออย่างนี้ เฉินผิงอันคืออย่างนี้”

หลิวเสี้ยนหยางพูดมาถึงตรงนี้ก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง แล้วค่อยกระดกนิ้วก้อยชี้ไปทางภูเขาลั่วพั่ว

ดูเหมือนว่าคุยกันไปคุยกันมากลับคุยจนลืมเรื่องจริงจังไปเสียแล้ว

เซอเยว่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเรื่องจริงจังอะไรให้ทำอยู่แล้ว วันเวลาที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี้ไม่ต่างจากลำคลองหลงซวีสักเท่าไร ล้วนไหลรินผ่านไปอย่างเนิบนาบ

นางพลันพูดเสียงเบาขึ้นมาหนึ่งประโยค ยังคงเป็นการพึมพำกับตัวเองอยู่เหมือนเดิม “เป็ดผัดหน่อไม้แห้งอร่อยมากเลย”

หลิวเสี้ยนหยางลำบากใจเล็กน้อย “ซื้อเป็ด ราคาไม่ถูกเท่าไร”

เซอเยว่ถาม “เก็บหินริมลำคลองก็ต้องจ่ายเงินด้วยหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกระอักกระอ่วน ช่วงนี้คิดจะหาเป็ดจากริมลำคลองยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เซอเยว่ลังเลอยู่นาน ยังคงข่มกลั้นข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจไม่ไหวจนต้องถามออกมา “ทำไมเฉินผิงอันถึงต้องกลัวเจ้าขนาดนั้น?”

เจ้าหมอนั่นคือคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงจริงๆ นะ

ถึงขนาดกล้าผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ อยู่ที่นั่นเขาต้องเป็นเพื่อนบ้านกับหลงจวิน แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับแผนการของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ เฝ้าอยู่ที่นั่นเพียงลำพังมานานหลายปีขนาดนั้น แล้วเขายังมีชีวิตรอดกลับคืนมาบ้านเกิดได้อีก

หลิวเสี้ยนหยางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดสองขา ยืดแขนบิดขี้เกียจ “นั่นไม่เรียกว่ากลัวกระมัง”

เซอเยว่ถาม “แล้วเรียกว่าอะไร?”

หลิวเสี้ยนหยางขบคิดก่อนเอ่ยว่า “บอกได้ยาก เฉินผิงอันเป็นคนที่แปลกมากคนหนึ่ง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ยากจะเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ เป็นเพื่อนบ้านกับซ่งปันไฉมานานหลายปีก็ไม่เคยเอาเปรียบเขาแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ไม่รู้สึกอิจฉา เจ้าว่าเป็นเพราะเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ นับตั้งแต่ที่ข้ารู้จักเขา ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องวางแผนว่าจะหาเงินอย่างไร ข้าล่ะแปลกใจนัก จะรีบร้อนหาเงินแบบนั้นไปทำไม ตอนที่เพิ่งได้เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อายุน้อยๆ เงินเหรียญทองแดงแต่ละเหรียญที่มีอยู่ก็ขาดแค่ว่าไม่ได้ตั้งชื่อให้พวกมันเท่านั้น แต่ก็ไม่เหมือนว่าอยากจะเก็บเงินไว้แต่งเมียนะ เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันก็คือตอไม้ทึ่มทื่อที่ไม่เข้าใจเรื่องอะไรสักอย่าง แม้แต่จะไปแอบฟังข้างกำแพงก็ไม่เคยทำ”

เซอเยว่ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “พวกเจ้าสองคนต่างกันขนาดนี้ ทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกันได้”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ปีนั้นตอนอยู่ในตรอกหนีผิง ถือว่าเฉินผิงอันเคยช่วยชีวิตข้าหนึ่งครั้ง ข้าหน้าบาง ไม่เคยพูดขอบคุณเขา ก็เลยเปลี่ยนวิธีการใหม่ บอกกับเขาว่า ขอแค่เขามาอยู่กับข้า รับรองว่าจะมีกินอิ่มหนำสำราญ แต่พอเฉินผิงอันได้ไปเป็นลูกศิษย์ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มแล้ว กลับกลายเป็นข้าที่ใช้เงินมือเติบส่งเดช ทุกครั้งที่ได้เงินเดือนหากไม่เอาไปเลี้ยงคนอื่นก็ซื้อของมั่วซั่ว ดังนั้นจึงมักจะมาขอยืมเงินจากเขาบ่อยๆ เขาบันทึกลงบัญชีทีละก้อนทีละก้อนก็จริง และตอนนั้นเขาก็มีท่าทางของนักบัญชีแล้ว แต่กลับไม่เคยเอ่ยปากทวงเงินจากข้าเลยสักครั้ง”

เซอเยว่กะพริบตาปริบๆ หันหน้ามาถาม “ในเมื่อคิดบัญชีกันอย่างชัดเจนแล้ว ก็คงต้องหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะใช้คืนกระมัง?”

หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “แม่นางอวี๋ เรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจ เขาจดลงบัญชี แค่จดว่าตัวเองหาเงินมาได้กี่มากน้อย ไม่เคยอยากจะให้ข้าใช้คืนเลยจริงๆ พวกลูกศิษย์และคนงานเตาเผามังกรหลายคนที่เคยมายืมเงินจากเฉินผิงอัน เขาก็ไม่เคยหวังว่าพวกเขาจะใช้คืน หากใช้คืนได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่คืนก็ไม่ถามถึง แต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่ข้าไม่เหมือนกับคนอื่น ข้าไม่คืนเงิน คราวหน้าที่ยืมเงิน เฉินผิงอันยังคงมอบให้อย่างไม่ลังเล มีแค่ไหนก็ให้แค่นั้น แต่หากเป็นคนอื่น ขอแค่ยืมครั้งหนึ่งแล้วไม่คืน เฉินผิงอันก็จะจดลงบัญชีไว้ในใจโดยไม่สนว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร อย่างมากสุดก็ให้ยืมอีกแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางให้ยืมอีก แม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ไม่ยอมให้”

เซอเยว่กระตุกมุมปาก โอ้โห เรื่องนี้ก็ต้องเอามาโอ้อวดด้วยหรือ หน้าหนาจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกลาว “จะเล่าเรื่องหนึ่งให้แม่นางอวี๋ฟังก็แล้วกัน ปีนั้นพวกเราสามคนไปขโมยแตงด้วยกัน เจ้าขี้มูกยืดน้อยรับผิดชอบเด็ดแตง ข้าเป็นคนขนย้าย เฉินผิงอันช่วยดูต้นทาง พอขโมยแตงมาได้แล้วก็หาสถานที่มาหลบแบ่งของกัน เจ้าเดาดูว่าเป็นอย่างไร เจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นไม่เคยกินแม้แต่ครั้งเดียว เอาแต่มองข้ากับกู้ช่านกินกันอย่างเมามัน ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรเขาก็ไม่ยอมกิน ขโมยแตงมาแต่กลับไม่กิน ทว่ายินดีดูต้นทางให้ เจ้าว่าเขาต้องการอะไร? มีครั้งหนึ่งถูกเจ้าของสวนแตงจับได้ ข้ากับกู้ช่านรีบชักเท้าเผ่นหนีทันที หันกลับมามอง ดีนักนะ เจ้าเด็กนั่นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะหนีเลยสักนิด”

เซอเยว่เอ่ย “ไม่ค่อยเหมือนกับอิ่นกวานในตอนหลังสักเท่าไร”

หลิวเสี้ยนหยางถาม “ไม่เหมือน? ไม่ใช่ว่าเหมือนมากเลยหรอกหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!