สายฝนค่อยๆ แรงขึ้น ม่านฝนหนาหนัก กลางวันเหมือนยามค่ำคืน สายฝนไหลลงมาตามขั้นบันได เหมือนลำธารสายหนึ่งที่ไหลริกๆ อย่างมีชีวิตชีวา
ตรงหน้าประตูใหญ่ของร้านฉ่าวโถวมีม้านั่งยาวตัวหนึ่งตั้งวางอยู่ เด็กชายชุดเขียวใบหน้าเบิกบานสดใสกำลังคุยเล่นอยู่กับนักพรตเฒ่าตาบอดคนหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งไขว่ห้าง คุยโม้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากมองเห็นหวังจู เฉินหลิงจวินก็เหมือนเห็นผี นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงที่พอจะรู้สถานะและรากฐานของสตรีผู้นั้นคร่าวๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร สองพี่น้องขยับก้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่งไหล่ชนกันเพื่อปลุกความกล้าหาญให้กันและกัน
คนทั้งสองนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้ยกขาไขว่ห้างแล้ว
รอกระทั่งสตรีที่ไม่จำเป็นต้องกางร่มที่สุดในใต้หล้าผู้นั้นเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงไปทีละก้าวจนจากไปไกลอย่างสิ้นเชิงแล้ว สองพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากถึงได้รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวเราะฮ่าๆ อย่างองอาจห้าวหาญ
เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรลูบหนวดพูดทอดถอนใจ “รู้จักคนทั่วใต้หล้า คนรู้ใจจะมีได้สักกี่คน? ได้พบเจอกับน้องหลิงจวินช่างเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตจริงๆ”
เฉินหลิงจวินสะท้อนใจไม่หยุด “น่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเราสองพี่น้องจะขอบเขตสูง แต่เงินในมือมีน้อย มีเงินแล้วคำพูดน่าเชื่อถือ ไม่มีเงินพูดอะไรไปใครก็ไม่เชื่อ ดังนั้นข้าถึงได้เงยหน้าไม่ขึ้นตอนอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ย หากมีเงินก็ดีน่ะสิ แต่เงินช่างหายากยิ่งนัก หากเงินเทพเซียนเหมือนกับฝนที่ตกลงมาก็คงจะสบายกว่านี้แล้ว”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “พวกเราสองพี่น้องแค่มีเงินพอใช้ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่คนมากความสามารถอย่างเจ้าขุนเขา เรื่องของการหาเงินก็ปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพวาสนาเถอะ ถึงอย่างไรคนที่ไร้เรื่องขอร้อง ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่มีใครดูแคลน ไม่ดื่มเหล้า ไยต้องสนว่าค่าเหล้าเพิ่มขึ้นสูงมากเท่าไร”
หวังจูเดินไปถึงตรอกหนีผิงแล้วก็ก้าวเร็วๆ เดินต่อไป จากนั้นก็พลันชะงักฝีเท้า มายืนอยู่ข้างนอกบ้านบรรพบุรุษของใครบางคนพอดี
และประตูบ้านของเรือนที่อยู่ติดกันก็มีคนหนุ่มลักษณะคล้ายบัณฑิตตกอับ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยากจนนั่งอยู่ วางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งพาดไว้บนหัวเข่า คล้ายกับรอคอยให้หวังจูปรากฏตัว
หากเฉินหลิงจวินที่อยู่ตรอกฉีหลงเห็นคนผู้นี้เข้า รับรองว่าจะต้องกระโดดตบหัวอีกฝ่ายแน่นอน ล้วนเป็นคนแซ่เฉิน เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันนี่นะ
เฉินจั๋วหลิว
ก่อนหน้านี้ที่ไปเยือนสกุลเจียงอวิ๋นหลินซึ่งตั้งอยู่จุดที่ลำน้ำฉีตู้ไหลลงสู่ปากทะเลอย่างเงียบเชียบ ก็แค่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้น
แต่ต่อให้เขาแค่ปรากฏกายอยู่ไกลๆ ก็ยังทำให้หวังจูจิตใจไม่สงบสุข จำต้องออกจากด่านมาอีกครั้ง สุดท้ายก็เลือกหวนกลับมาที่เมืองเล็ก
บัณฑิตชุดเขียวคนนั้นลุกขึ้นยืน ใช้ร่มค้ำยันพื้นเอาไว้ ยิ้มถามว่า “ผู้ที่รู้จักแม่น้ำและทะเลสาบ มักเป็นคนอายุสั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่มองสภาพแวดล้อมทางสังคมออกอย่างกระจ่างแจ้ง ส่วนใหญ่ชีวิตมักจะพบเจอแต่อุปสรรค) กากเดนตัวน้อยๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า?”
หวังจูหน้าซีดขาว เงียบงันไปครู่หนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ไปต่อสู้กันที่อื่น”
เฉินจั๋วหลิวยิ้มเอ่ย “ยังไม่มีความคิดเช่นนั้น ไม่สู้ไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วยกันดีไหม?”
หวังจูถาม “หนิงเหยาไปหรือไม่?”
เฉินจั๋วหลิวส่ายหน้า “เกินครึ่งคงไม่ไป”
กว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับใต้หล้าไพศาลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเหตุผลให้ต้องถูกนครบินทะยานลากเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง
หวังจูเอ่ย “ข้ายิ่งไม่มีทางไป”
เฉินจั๋วหลิวถาม “ข้าตกลงแล้วหรือ?”
หวังจูกำร่มกระดาษน้ำมันในมือแน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินจั๋วหลิวหัวเราะ “เอาล่ะ วันนี้แค่มารำลึกความหลังเท่านั้น ถือโอกาสเอ่ยเตือนเจ้าหนึ่งคำ อย่าคิดว่าจะอาศัยกุยซวีไปวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ จะต้องตาย”
หวังจูยังคงไม่เอ่ยคำใด
เฉินจั๋วหลิวส่ายหน้า “โง่ก็โง่ไปหน่อยจริงๆ เหมือนอย่างปีนั้น ไม่มีพัฒนาการแม้แต่น้อย ความฉลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือรู้จักอาศัยลางสังหรณ์หลบมาอยู่ที่นี่ รู้ว่าหนีไปยังกุยซวีต่อหน้าต่อตาข้าจะต้องถูกฟันตายแน่นอน”
หวังจูถาม “ทางฝั่งของกุยซวีมีกับดักหรือ? คือผู้ฝึกลมปราณสายเวทเลี้ยงมังกร?”
เฉินจั๋วหลิวจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “ถือว่าไม่โง่จนตาย”
บัณฑิตชุดเขียวกางร่ม เดินสวนไหล่ผ่านหวังจูไปในตรอกเล็ก
หวังจูไม่ได้หันไปมอง เพียงถามว่า “ทำไมถึงช่วยข้าครั้งหนึ่ง?”
บัณฑิตผู้นั้นเดินย่ำทีละก้าวอยู่ในดินโคลน ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวทพิฆาตมังกรเมื่อเทียบกับเวทเลี้ยงมังกรแล้วหวังให้บนโลกมีมังกรที่แท้จริงมากกว่า อีกอย่างก็คือเจ้าผอมเกินไปแล้ว”
หวังจูขมวดคิ้วแน่น
ความนัยในคำพูดของคนผู้นี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ขุนให้อ้วนพีก่อนค่อยปล่อยให้เขามาฆ่า
พอคนผู้นั้นเดินออกไปจากตรอกหนีผิงแล้ว ดวงตาสีทองของหวังจูก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ส่วนเฉินจั๋วหลิวที่เดินไปถึงตรอกฉีหลงก็เดินลงบันไดไป
เฉินหลิงจวินที่นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตงพลันตกตะลึง กระโดดพรวดขึ้นยืน หัวเราะฮ่าๆ สองมือเท้าเอวยืนอยู่บนธรณีประตูร้าน “น้องเฉิน มารดาเถอะ เป็นเพราะเจ้าไม่มีเงินค่าเดินทางใช่หรือไม่ ถึงต้องอาศัยสองขาเดินมาถึงอำเภอไหวหวงแห่งนี้ หา? ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้เชียวหรือ? ให้นายน้อยอย่างข้านับดวงดาวนับแสงจันทร์รอนานถึงเพียงนี้! บอกกับเจ้าไปตั้งนานแล้วว่าล้วนอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ข้ากับซานจวินใหญ่เว่ยเป็นเพื่อนรักกัน ขอแค่เจ้าบอกชื่อของข้าไป ดื่มเหล้าก็ไม่ต้องจ่ายเงิน นั่งเรือก็ได้อยู่ห้องชั้นหนึ่ง!”
คาดว่าในบรรดาเผ่าพันธุ์น้ำเจียวหลงในหลายๆ ใต้หล้า คงมีแค่นายท่านใหญ่เฉินเท่านั้นที่กล้าพูดคำว่ารอนานแล้วกับคนสังหารมังกรคนหนึ่ง
บัณฑิตท่าทางยากจนที่ขากางเกงเปื้อนดินโคลนเต็มเปรอะวิ่งเหยาะๆ ลงบันไดมา ไปถึงใต้ชายคาของร้านฉ่าวโถวแล้วก็หุบร่ม ยิ้มเอ่ย “ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
เฉินหลิงจวินตบหัวบัณฑิตดังป้าบ พูดอย่างขุ่นเคือง “ลืมเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ลืมเรื่องนี้ได้หรือ? เจ้าเป็นคนต่างถิ่นต่างทวีปคนหนึ่ง หากเจอเรื่องไม่คาดฝันบนภูเขาที่อันตรายเข้าจริงๆ ให้คนอื่นรู้ว่าสหายของพี่น้องเจ้าคือเว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นก็จะได้ช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าได้อย่างไรเล่า!”
บัณฑิตพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ จากนั้นเอ่ยขออภัยว่า “ข้าไม่อาจอยู่ได้นานนัก ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อก็ต้องออกเดินทางไกลแล้ว”
เฉินหลิงจวินสีหน้าหม่นหมอง อุตส่าห์คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะรับรองพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมกันผู้นี้อย่างไร จะไปเดินเล่นบนภูเขาลั่วพั่วบ้านตนอย่างไร ฝั่งภูเขาพีอวิ๋นควรจะปรึกษากับเว่ยป้ออย่างไรถึงจะสามารถพาสหายไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนอกไม่อาจไปเยือนได้ เหตุใดแค่ดื่มเหล้ามื้อเดียวก็จะจากไปแล้วเล่า
แต่เพียงไม่นานเฉินหลิงจวินก็คลี่ยิ้มกว้าง พี่น้องนี่นะ ต้องอภัยให้กัน
เฉินหลิงจวินรีบหันไปตะโกนพูดกับนักพรตเฒ่าทันที “พี่เจี่ย จัดสุราอาหารมาโต๊ะหนึ่ง!”
นักพรตเฒ่าไว้หน้ากันอย่างมาก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “น้องหลิงจวินพูดขนาดนี้แล้ว ต้องจัดของดีมาให้เลยล่ะ!”
บัณฑิตถือร่มเดินข้ามธรณีประตู จู่ๆ ก็ถามว่า “หากบนโลกมีมังกรที่แท้จริงได้แค่ตัวเดียว เจ้าคิดว่าเป็นใครถึงจะค่อนข้างเหมาะสม?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ดูสินี่ ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็เริ่มพูดจาใหญ่โตแล้ว ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องที่รักของข้า ไม่ดื่มเหล้าก็เป็นแบบนี้แล้ว พอดื่มเหล้าเข้าไป นับดูวีรบุรุษมากมายในใต้หล้าก็มีแค่ไม่กี่คนที่ได้นั่งบนโต๊ะเหล้าร่วมกันแล้ว”
เขายักคิ้วหลิ่วตา จงใจกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “รู้จักสตรีที่ชื่อหวังจูผู้นั้นไหม มังกรที่แท้จริง! นางคือคนที่เดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ของพวกเรา! นี่นางก็เพิ่งจะเดินผ่านตรอกฉีหลงไปเจ้าก็มาถึงเลยไม่ใช่หรือ นางยังทักทายข้าด้วยนะ เรียกพี่ชายน้อยหลิงจวินคำแล้วคำเล่า ทำเอาข้ารู้สึกลำบากใจไม่น้อย รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงสนิทกับนาง? นายท่านของข้าเป็นเพื่อนบ้านกับนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร เหมยเขียวม้าไม้ไผ่จะนับเป็นผายลมอะไรได้ คืออย่างนี้…”
เฉินหลิงจวินยื่นสองมือออกมา เอานิ้วโป้งชนกัน
บัณฑิตยากจนคลี่ยิ้มรับ
เขายื่นมือมาลูบหัวของเฉินหลิงจวิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!