อาเหลียงกระซิบถามเบาๆ “เจ้าทึ่มจั่ว นังหนูมัดผมแกละคนนั้นล่ะ?”
จั่วโย่วกล่าว “ไม่รู้ว่าทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงจัดการอย่างไร นางได้รับบาดเจ็บ หากไม่ถึงสิบปี ก็คงยากจะกลับคืนสู่ยอดเขาสูงสุดได้”
ไม่ได้บอกว่าพลังพิฆาตยามที่เซียวสวิ้นออกกระบี่ไม่รุนแรงมากพอ แต่เมื่อมาเจอกับจั่วโย่ว เวทกระบี่ของนางยังคงไม่ได้ความ ผลัดกันฟันจึงไม่ได้เปรียบใดๆ
เพราะถึงอย่างไรคนที่กล้าพูดว่าเวทกระบี่ของจั่วโย่วยังไม่สูงพอก็มีเพียงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ฝึกตนอยู่บนหัวกำแพงเมืองมานานหมื่นปีอย่างเฉินชิงตูเท่านั้น
ต่อให้เป็นอาเหลียง หากพูดถึงแค่เวทกระบี่ จั่วโย่วก็ยังสูงกว่าเขาหนึ่งระดับ
ในความเป็นจริงแล้วเรื่องที่เวทกระบี่ของจั่วโย่วล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไพศาล ยังคงเป็นอาเหลียงที่ช่วยป่าวประกาศออกไป ถึงอย่างไรเขากับพวกบรรพจารย์ของสำนักทั้งหลายที่รับผิดชอบเรื่องรายงานขุนเขาสายน้ำก็ล้วนเป็นสหายรักที่ดื่มเหล้าไม่ต้องจ่ายเงินต่อกัน
ถูกเรียกขานว่าเวทกระบี่ล้ำเลิศที่สุดในใต้หล้า จั่วโย่วทั้งไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธ
เพราะเหตุใด เพราะจั่วโย่วมีความมั่นใจมานานแล้วว่า ขอแค่ตนได้เจอกับเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ถ้าอย่างนั้นเผยหมิ่นก็ต้องสูญเสียคำว่า ‘เวทกระบี่’ ไป
ก่อนหน้านี้ที่ออกมหาสมุทรไปเยี่ยมเยือนเซียน คิดจะถามกระบี่ต่อเผยหมิ่น ก็เพื่อประลองฝีมือ
แต่ทุกวันนี้หากตนหาตัวเผยหมิ่นเจอ ถ้าอย่างนั้นก็ฟันเขาให้ตายไปเลยแล้วกัน
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ฝึกกระบี่มานานหลายปี ถึงกับมีหน้ามาถามกระบี่ต่อผู้เยาว์ที่เพิ่งเป็นขอบเขตหยกดิบได้แค่ไม่กี่ปีงั้นหรือ?
“ก็ไม่แน่หรอก แม้จะบอกว่าร้อยปีนี้เป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงที่นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง แต่จากนิสัยของน้องอวี๋คนนั้นของข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต่อสู้กับเจ้าคนมัดผมแกละจนฟ้าถล่มดินทลาย จากนั้นค่อยย้ายไปตีกันที่ฟ้านอกฟ้าจนเละเทะ จะต้องตีจนแม่นางน้อยร้องไห้โยเยเป็นแน่ แล้วเจ้าคนมัดผมแกละก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ คาดว่าอีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงต้องค้างเติ่งอยู่ที่นั่นแล้ว”
อาเหลียงถอนหายใจ ใช้ฝ่ามือขยี้ปลายคางแรงๆ “ทว่าเจ้าลู่ขนมหนิวผี (ขนมหนิวผีหรือขนมคอเป็ด เปรียบเปรยถึงคนที่ดื้อด้าน ไร้ยางอาย พูดไม่ฟัง) ผู้นั้นคือคนที่ไม่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวาย ประเด็นสำคัญคือลู่เหล่าซานอิจฉาในตำแหน่งคนเท่ห์สง่างามของข้าเป็นพิเศษ คราวก่อนข้าไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิง เขาป้องกันข้าราวกับป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น แทบอยาจะเอาถุงผ้าป่านมาครอบหัวบังเทพธิดาทุกคนในห้านครสิบสองหอเรือน สิ่งของกลัวการเปรียบเทียบเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่แข่งเรื่องรูปโฉมและบุคลิก พ่ายแพ้เสียยับเยิน จะต้องหาวิธีทุเรศๆ มาทำให้คนสะอิดสะเอียนอีกแน่นอน”
จั่วโย่วสายตาเย็นชา เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากนางย้อนกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ข้าก็จะไปถามกระบี่กับนาง”
อาเหลียงเอ่ยเสียงเบา “ถามกระบี่ไม่มีปัญหา ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็ยังได้ ที่นั่นข้าคุ้นเคยดี เป็นงูเจ้าถิ่น ไม่ต่างจากถิ่นบ้านตัวเองแม้แต่น้อย แต่บอกไว้ก่อนว่าแค่แบ่งแพ้ชนะก็พอ อย่าได้แบ่งเป็นตายกันเชียว ไม่ได้มีความหมายอะไร หากเอาตามความเห็นข้า เซียวสวิ้นที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แท้จริงแล้วจะสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ใคร ยังบอกได้ยาก วันนี้เห็นใครแล้วเกลียดขี้หน้า นางก็ต่อยด้วยหนึ่งหมัดให้ร่อแร่ปางตาย พรุ่งนี้เห็นใครขวางหูขวางตา ก็ค่อยฟันให้ตายด้วยกระบี่เดียว ภูเขาทัวเยว่ไม่อาจควบคุมนางได้เลย”
คำตอบของจั่วโย่วมีแค่คำเดียว “ต้องแบ่ง”
อาเหลียงตบหน้าผาก รำคาญจั่วโย่วที่เป็นแบบนี้ที่สุดเลย
ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะปรึกษากับเจ้าเด็กเฉินผิงอันก่อน จากนั้นค่อยร่วมมือกันไปเป็นลมที่พัดข้างหูของซิ่วไฉเฒ่า ความสามารถในการประจบสอพลอของเฉินผิงอันนั้นเป็นอันดับหนึ่ง บวกกับการปักบุปผาลงบนผ้าแพรของข้าอาเหลียง มารดามันเถอะ พวกเราสองพี่น้องร่วมแรงร่วมใจกัน ความจริงใจนั้นตัดทองให้ขาดได้เลย สองกระบี่ร่วมเป็นหนึ่งใต้หล้าไร้ศัตรูทัดเทียม แล้วยังจะต้องกลัวว่าจั่วโย่วจะไม่ยอมอีกหรือ?
จั่วโย่วเอ่ย “แนะนำเจ้าว่าอย่าลากเฉินผิงอันมาเกี่ยวแล้วพากันไปพูดจาเหลวไหลให้อาจารย์ข้าฟัง”
อาเหลียงเอ่ยอย่างน้อยใจ “ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ ใส่ร้ายข้าชัดๆ”
จั่วโย่วไม่ได้เอ่ยอะไร เจ้าเด็กเฉินผิงอันคล้ายจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉีถิงจี้ใจลอยไปหมื่นลี้ ลู่จือก็ไม่กล้ามองตนแม้แต่แวบเดียว
อาเหลียงได้แต่ทรุดตัวลงนั่งยอง จิบเหล้าอึกเล็กๆ ดื่มต่อไป
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจยิ้มถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าฝู ว่าอย่างไร?”
ฝูเซิ่งยิ้มย้อนถาม “ว่าอย่างไรอะไร? รบกวนเหวินเซิ่งช่วยกล่าวเตือนสักหน่อยเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดบ่น “พวกเราสองพี่น้องคือใครกับใคร รู้ดีแก่ใจแล้วยังแกล้งถามอีกหรือ?”
รีบชื่นชมลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าเข้าสิ
ข้าเหวินเซิ่งผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ฝู เปลี่ยนมาเรียกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าฝูแล้ว ความรู้มีอยู่เต็มท้องยังจะมัวซ่อนไว้ทำไม เอาออกมาตากแดดเสียสิ
ฝูเซิ่งจนใจ คิดแล้วก็ได้แต่เอ่ยเนิบช้าว่า “มีความรู้หาใช่ต้องชื่นชมแต่ปาก นั่งอยู่ด้านข้างรับฟังคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ นั่นจึงจะสำคัญที่สุด”
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ เอ่ยอย่างเลื่อมใส “สุดยอดเลย”
ฝูเซิ่งคลี่ยิ้ม ในที่สุดก็ยอมปล่อยตนไปเสียที
เส้นสายตาของหลี่เซิ่งขยับขึ้นด้านบนเล็กน้อย
จุดที่เขามองไปเห็นไม่ใช่ม้วนภาพฝั่งตรงข้าม แต่เป็นภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
พริบตานั้น ท่ามกลางภาพวาดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีคนร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่งทิ้งตัวลงบนพื้น ความเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงเกินไปฝุ่นผงจึงตลบคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน วัตถุที่อยู่รอบด้านล้มกองระเนระนาดไปแถบใหญ่
ถึงกับเป็นเซียวสวิ้นผู้นั้นที่แหวกผ่าม่านฟ้าพุ่งออกจากใต้หล้ามืดสลัวชนเข้ามาในใต้หล้าไพศาล หล่นลงบนภูเขาทัวเยว่โดยตรง
ทุกคนของศาลบุ๋นเห็นเพียงว่า ‘แม่นางน้อย’ มัดผมแกละสองข้างคนนั้นงอเข่าทั้งคู่ลง ก้นแนบพื้น ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวขึ้นช้าๆ นางตบฝุ่นที่อยู่บนร่าง ชูสองหมัดขึ้นแกว่งส่ายเบาๆ ตบผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนสองสามคนที่อยู่ข้างกายปลิวกระเด็นออกไป นางดีดปลายเท้าหนึ่งทีมาลอยตัวอยู่กลางอากาศ มองสองข้างฝั่งแล้วก็เตะเท้าอีกสองครั้ง ‘บินทะยาน’ สูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย รอกระทั่งยืนอยู่สูงกว่าทุกคนแล้ว นางถึงได้ยกสองแขนกอดอก
เซียวสวิ้นหลุบตาลงต่ำมองจั่วโย่วที่อยู่บนแนวเส้นฝั่งตรงข้าม สายตาเฉียบคม ชูแขนเล็กบางที่ขาวนวลราวกับรากบัวข้างหนึ่งตั้งขึ้น จากนั้นก็ใช้แขนอีกข้างวางเป็นแนวนอนเคาะลงไป นางน่าจะกำลังแสดงให้เห็นว่าจะฆ่าเจ้าจั่วโย่วให้ตาย
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บสีหน้า มองเฝ่ยหรานที่คล้ายจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ได้นานแล้ว
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หนิวเตาที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน เกินครึ่งคงถูกภูเขาทัวเยว่โยนไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
ไม่แน่ว่าเฝ่ยหรานผู้นั้นยังมอบเมล็ดพันธ์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบางส่วนให้กับป๋ายอวี้จิง ช่วยให้เต๋าเหล่าเอ้อรวบรวมห้าร้อยหลิงกวานให้ครบถ้วนด้วย
เซียวสวิ้นเหลือบมองจางลู่ที่ตำแหน่งยืนอยู่ห่างไปค่อนข้างไกลแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่โยนเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งไปให้อีกฝ่ายไกลๆ
จางลู่รับมาไว้ในมือ แกะผนึกดินออกแล้วเริ่มดื่มเหล้า
เฝ่ยหรานมองไปยังเจ้านครจักรพรรดิขาว ยิ้มถาม “อาจารย์เจิ้ง? ดูพอแล้วหรือยัง?”
เจิ้งจวีจงพยักหน้ารับ “พอสมควรแล้ว”
เพิ่งจะขาดคำ ร่างของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งบนภูเขาทัวเยว่ก็ระเบิดแตก โอสถทอง ก่อกำเนิด เนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณล้วนแหลกสลายสิ้น
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ “ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง”
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอีกคนหนึ่งที่เป็นราชครูของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งของเปลี่ยวร้างก็มีจุดจบเดียวกัน
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบางส่วนที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย มือไม้วุ่นวายเป็นพัลวันอย่างเห็นได้ชัด สบถด่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของใต้หล้าไพศาลดังขรม
ทว่าที่มากกว่านั้นกลับเป็นความกริ่งเกรง
ไม่เพียงแต่เผ่าปีศาจของภูเขาทัวเยว่เหล่านี้ ทางฝั่งของศาลบุ๋นเองก็มีคนไม่น้อยที่รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ผู้ฝึกตนที่สามารถเดินขึ้นยอดเขาได้ ไม่มีใครที่สมองไม่ดี อีกทั้งแต่ละคนยังมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ทักษะบางอย่าง วิชาอภินิหารก้นกรุบางอย่าง บ้างก็เป็นท่าไม้ตาย ล้วนทำให้ศัตรูไม่ทันป้องกันทั้งสิ้น
ทว่าเผชิญหน้ากับเจ้านครจักรพรรดิขาวที่เป็นเช่นนี้ ขอแค่เป็นคนที่มีสำนัก มีครอบครัว มีผู้สืบทอด ใครบ้างที่ไม่ตกอกตกใจ
เจิ้งจวีจงเคยเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งที่ลำพองตนอย่างยิ่งและทำให้คนชิงชังอย่างยิ่ง ‘ชั่วชีวิตนี้ ข้าดูแคลนคนที่มีสมองแต่กลับไม่ยอมใช้สมองมากที่สุด’
หลังจากที่เซียวสวิ้นปรากฏตัว ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งไม่ทราบชื่อคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินมาเนิบช้า คล้ายว่าเพิ่งมาถึงภูเขาทัวเยว่ ผู้เฒ่าเลือกตำแหน่งยืนที่อยู่ห่างไกลอย่างง่ายๆ จากนั้นก็มองฝูลู่อวี๋เสวียนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ แล้วคลี่ยิ้ม กอดไม้เท้าไว้ในอ้อมอก ก้มหัวคารวะนักพรตเต๋าสองคนตามขนบของลัทธิเต๋า จากนั้นจึงหันหน้าไปยังภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธที่เข้าร่วมการประชุมในศาลบุ๋น วางฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งไว้ตรงหน้าอก ก้มหน้าลงเบาๆ สุดท้ายจึงประสานมือคารวะหลี่เซิ่ง
หลี่เซิ่งผงกศีรษะตอบรับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!