สองใต้หล้ายังคงคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ เพียงแต่บัดนี้ แนวเส้นตรงของใต้หล้าไพศาลนั้น ทุกคนล้วนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
คาดว่าคงมีคนประมาณสามส่วนที่จะติดตามอิ่นกวานหนุ่มซึ่งสวมชุดกว้าสีเขียว สวมรองเท้าผ้าไปต่อสู้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกครั้งทันที
คนอีกเจ็ดส่วนที่เหลือต่างก็เดินก้าวตามหลี่เซิ่งไป
สามส่วน น้อยมากหรือ? เยอะมากแล้ว
อีกทั้งในสามส่วนนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สามคนที่เป็นบินทะยานสามคน เซียนเหรินหนึ่งคน มีฝูลู่อวี๋เสวียนที่กำลังจะผสานมรรคากับธารดวงดาว เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ มีเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ไม่เคยทิ้งคำอาฆาตพยาบาท มีเจ้านครจักรพรรดิขาวที่สามารถซ่อนหมากสองตัวไว้ในภูเขาทัวเยว่ มีคู่อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างเผยเปย เฉาสือ มีคนหนุ่มอย่างหยวนพาง สวี่ป๋ายที่จะเป็นเสาคานของใต้หล้าไพศาลในอนาคต แล้วนับประสาอะไรอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาและสำนักศึกษาศาลบุ๋นที่คนมากมายหาใช่ว่าไม่อยากเดินก้าวออกไป แต่จำเป็นต้องรอให้หลี่เซิ่งเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่ใช่สามส่วน อย่างน้อยที่สุดจะต้องเป็นห้าส่วน
นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลอาจเปิดฉากทำสงครามได้ทุกที่ทุกเวลา มอบของขวัญกลับคืนแก่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แบ่งแยกใต้หล้าแห่งหนึ่งออกมาได้อย่างแท้จริง
อีกทั้งขอแค่ทำสงครามกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องดุเดือดรุนแรงอย่างมาก ไม่ใช่แค่การต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนไม่มีพื้นที่ให้ถอยกลับ เพราะนี่ไม่ใช่อาจารย์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของศาลบุ๋นวางท่าข่มขู่เพราะต่อรองราคาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอริยะปราชญ์คนใดคนหนึ่งของลัทธิขงจื๊อเลือดร้อนๆ พุ่งขึ้นหัว จากนั้นก็ต่อยตีกันแบบไม่เจ็บไม่คัน ช่วงชิงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาให้ใต้หล้าไพศาลได้แล้วก็จะหยุดเมื่อพอสมควร
ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงต้องไปหาผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ปากไร้หูรูดผู้นั้นแน่นอน ส่วนจั่วโย่วก็ต้องถามกระบี่ต่อเซียวสวิ้น แบ่งเป็นตาย
จ้าวเทียนซือจะต้องพกตราประทับเทียนซือ สะพายกระบี่เซียนว่านฝ่าตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางของเปลี่ยวร้าง ไปหาหย่วนโส่วเพื่อประลองมรรคกถา ส่วนก่อนจะไปเจอตัวหยวนโส่ว ระหว่างที่เดินทางไกลท่องไปตามขุนเขาสายน้ำ เทียนซือใหญ่ท่านนี้จะทำอะไร แน่นอนว่าต้องถือโอกาสกำจัดปีศาจปราบมารไปด้วย
ยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำไม่เคยแสดงฝีมืออย่างเจิ้งจวีจงก็จะยิ่งเป็นดั่งปลาได้น้ำ กระทำการไร้ยำเกรง เผยเปย เฉาสือ ซ่งจ่างจิ้ง หรือถึงขั้นที่ว่าอาจเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางทุกคนของใต้หล้าไพศาล ที่ต่างทยอยกันเดินทางไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่ยิ่งหมายความว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคนที่กลับคืนมายังบ้านเกิดแล้วจะหวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง รบเคียงบ่าเคียงไหล จับมือกันขี่กระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้อีกครั้ง
จะมีผู้ฝึกยุทธปล่อยหมัด มีเซียนกระบี่ปล่อยกระบี่
วลีบทความของหลิ่วชี ซูจื่อจะทยอยกันสำแดงมหามรรคาในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
จวี้จื่อแห่งสำนักโม่จะสร้างนครอีกแห่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ของสามเปี๋ยโม่ก็จะมีศัตรูร่วมกันอีกครั้ง ยินดีสละชีวิตไม่กลัวตายอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้จะสอนให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้รู้ว่าอะไรคือคำกล่าวที่ว่าผินเต้าพอจะเข้าใจเวทคาถาสองบทอย่างน้ำและไฟอยู่บ้าง
หากสนามรบเปลี่ยนตำแหน่ง ไปอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง ถึงอย่างไรสี่ด้านแปดทิศก็ล้วนมีแต่ศัตรู ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาลทุกคนย่อมไม่รู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอีกต่อไป
อีกทั้งกลัวก็แต่ว่าเวทคาถา กระบี่บินจากบนยอดเขาและหมัดเท้าจากปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่มาจากใต้หล้าไพศาลเหล่านี้ การรวมตัวกัน การผลักดันรุดหน้า การเฝ้าพิทักษ์แล้วค่อยจู่โจมรุดหน้าอีกครั้งของกองทัพใหญ่แต่ละกองจะต้องผ่านการวางแผนและจัดวางกำลังอย่างประณีติแม่นยำมาก่อน แต่ละขั้นตอนร้อยเรียงต่อกัน ทุกช่วงทุกตอนล้วนเต็มไปด้วยสีสันแห่งทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศที่ ‘แสวงหาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าใครก็ล้วนตายได้’ ไม่ต้องแบกรับภาระจากคำว่าเมตตาธรรมคุณธรรมไว้อีกต่อไป พิทักษ์ไพศาล ใครจะอยู่ใครจะตาย ต้องทบทวนถามใจตัวเอง มีเรื่องให้ต้องลำบากใจทุกเรื่อง ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ทุกจุด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนอืดอาดเยิ่นเย้อ โจมตีเปลี่ยวร้าง ยังจะมีอะไรให้ต้องคิดมากอีกเล่า ถึงอย่างไรก็มาอยู่ในสนามรบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือกองทัพฝีมือดีล่างภูเขา ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันจากการที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายตกอยู่ในอันตาย หรือการล่อลวงจากคุณความชอบในการบุกเบิกพื้นที่ หรือการแก้แค้นที่ไม่สนใจค่าตอบแทน ล้วนหนีไม่พ้นต้องตัดสินเจ้าตายข้ารอดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เท่านั้น
ลู่จือสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าสดชื่นแจ่มใส นิ้วหัวแม่มือลูบด้ามกระบี่เบาๆ ถามว่า “อาเหลียง จั่วโย่ว ไม่สู้พวกเราสามคนไปเยือนภูเขาทัวเยว่ด้วยกัน?”
เลียนแบบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หลงจวิน กวานจ้าวของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สามคนจับมือกันไปถามกระบี่ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ถึงอย่างไรทุกวันนี้ฉีถิงจี้ก็คือเจ้าประมุขของสำนักหนึ่ง ไม่สะดวกที่จะไปถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่โดยพลการ หากสำนักกระบี่หลงเซี่ยงขาดเพียงแค่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไป ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
จั่วโย่วเอ่ย “ข้าจะถามกระบี่ต่อเซียวสวิ้นก่อน หากยังออกกระบี่ได้ก็จะไปภูเขาทัวเยว่ด้วย”
อาเหลียงก้มหน้าใช้นิ้วบิดชายเสื้อ พูดบ่นอย่างไม่พอใจ “พี่หญิงลู่ไม่เรียกน้องอาเหลียงสักคำ ข้าเสียใจจนเกือบจะยกกระบี่ไม่ขึ้นแล้ว”
สีหน้าของลู่จือไม่ค่อยน่ามองนัก คำกล่าวว่า ‘ยกกระบี่ไม่ขึ้น’ นี้ เดิมทีใครเล่าจะคิดมาก? แต่ก็เพราะเจ้าชาติสุนัขผู้นี้ที่เมื่อก่อนตอนอยู่บนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แพร่คำพูดนี้ออกไป กลายเป็นคำพูดสัปดน จากนั้นระหว่างคู่รักผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง คำกล่าวนี้ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องตลกขำขันบางอย่าง ขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกอาเหลียงจับมาผสมรวมกัน เหมือนน้ำตกที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มากลางอากาศแล้วพลันร่วงหล่นลงมา จากนั้นก็มีเถ้าแก่รองมาอีก น้ำตกนั้นจึงร่วงลงแล้วร่วงลงอีก เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเขาดูสำรวมกว่าก็เท่านั้น
ลู่จือเอ่ย “สร้างสำนักเบื้องล่างอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อเทียบกับเลือกที่ตั้งเป็นฝูเหยาทวีปแล้วจะดีกว่าหรือไม่?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ไม่ต้องเลือกหรือสละทิ้ง ล้วนทำได้ทั้งสองอย่าง”
ลู่จือสามารถรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างในฝูเหยาทวีป ส่วนตัวเลือกคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักเบื้องล่างในใต้หล้าเปลี่ยวร้างในอนาคต ก็สามารถเลือกเอาเซียนกระบี่สักคนที่เดินทางไปเยือนทิศใต้ก็ได้แล้ว
อาเหลียงจ้องเขม็งไปบนพื้นดิน ราวกับกำลังลังเลว่าจะเดินออกไปข้างหน้าอีกก้าวก่อนใครให้มีหน้ามีตาดีหรือไม่
พอสวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่กล้าพูดมาก แล้วก็ไม่กล้าดื่มเหล้ามากจริงๆ เกรงว่าชื่อเสียงอันองอาจที่สั่งสมมาจะถูกทำลายลงภายในวันเดียว
อาเหลียงน้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “พี่หญิงลู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าเดินไปเป็นเพื่อนข้าก้าวหนึ่งดีไหม?”
ลู่จือชมเชยมาโดยตรง “ทำไมเจ้าไม่เดินตรงไปฝั่งตรงข้ามเลยเล่า?”
อาเหลียงเหลือบมองฝั่งตรงข้าม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!